ตอนที่ 37. อาถรรพ์ตราแผ่นดิน
โจหอง พาโจโฉข้ามแม่น้ำขึ้นฝั่งแล้วหนีต่อไปอีกสามสิบเส้น เห็นฟ้าสว่างและอิดโรยเต็มทีจึงพากันหยุดพัก พอดีซีเอ๋งคุมทหารติดตามไปอย่างไม่ลดละทันกันแล้ว ซีเอ๋งจึงให้ทหารล้อมโจโฉ โจหองไว้ หวังจะจับเป็นมอบแก่ตั๋งโต๊ะเอาความชอบ
ขณะ นั้นแฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนซึ่งพลัดกับโจโฉแล้วพากันติดตามหาโจโฉมาพบเข้า เห็นโจโฉ โจหอง กำลังถูกล้อมอยู่จึงเข้ารบด้วยซีเอ๋งได้สิบเพลง แฮหัวตุ้น ก็เอาทวนแทงซีเอ๋งตกม้าตาย ทหารซีเอ๋งก็แตกหนีไป
ฝ่าย โจหยิน ลิเตียน และงักจิ้น สามทหารเอกของโจโฉ ซึ่งพลัดกันตั้งแต่กลางคืนติดตามหาโจโฉพบกับทหารโจโฉซึ่งแตกหนีมาคุมกันได้ สามร้อยคนเศษ จึงติดตามหาโจโฉต่อไป พบกับทหารซีเอ๋งซึ่งแตกหนีมานั้น จึงเข้าจับกุมตัวแล้วสอบถามได้ความแล้วก็ตามไปตามเส้นทางที่ซีเอ๋งไล่ตามโจ โฉนั้น เมื่อโจโฉได้พบกับทหารเอกพร้อมหน้ากันก็คลายใจจึงยกทหารที่เหลือเหล่านั้นไป ทั้งหลักที่เมืองโห้ลาย
ฝ่าย กองทัพเมืองเตียงสาของซุนเกี๋ยนในเมืองลกเอี๋ยงนั้น ได้ตั้งค่ายลงที่บริเวณศาลเทพบิดรแห่งราชวงศ์ฮั่น เห็นสุสานหลวงถูกขุดรื้อกระจัดกระจายก็รู้สึกสงสารดวงพระวิญญาณของอดีตพระ มหากษัตริย์ พระราชวงศ์และขุนนางที่ถูกรื้อสุสานนั้น จึงสั่งให้ทหารเอาดินกลบหลุมฝังศพทั้งนั้นเสีย แล้วให้ทหารทำความสะอาดพื้นที่บริเวณจนเป็นที่เรียบร้อย
แล้ว ซุนเกี๋ยนจึงให้ทหารไปเชิญเจ้าเมืองต่าง ๆ มากระทำพิธีถวายสักการะและขอขมาต่อดวงพระวิญญาณและวิญญาณของอดีตพระมหา กษัตริย์ พระราชวงศ์และขุนนาง โดยตั้งโรงพิธีขึ้นที่ฐานร้างของศาลพระเทพบิดร เป็นการแสดงความจงรักภักดี เสร็จพิธีแล้วต่างคนต่างแยกกันกลับค่ายของตน
ค่ำ ลงล่วงใกล้เพลาเที่ยงคืนแล้วซุนเกี๋ยนยังนอนไม่หลับ ออกมาเดินนอกค่ายพร้อมด้วยทหารติดตาม ครุ่นคิดถึงการบ้านเมือง ขณะนั้นเป็นกึ่งปักษ์ข้างขึ้น ดวงดาวทอแสงเต็มท้องฟ้ารายรอบพระจันทร์เสี้ยว สายลมเย็นกระทบกายซุนเกี๋ยนสะท้านตัวเป็นระยะ ๆ แลเห็นดาวประจำพระองค์พระมหากษัตริย์เศร้าหมอง ซุนเกี๋ยนก็ร้องไห้ด้วยรำลึกว่าบัดนี้แผ่นดินเป็นจลาจลวุ่นวาย จอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะเผาราชธานีเสีย บังคับเอาฮ่องเต้ไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เมืองเตียงอัน ฮ่องเต้พระองค์น้อยคงจะตรอมพระทัยหนัก ทั้งราษฎรที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นจำนวนมาก คงจะตกทุกข์ระกำลำเค็ญเป็นที่สาหัส
ใน ขณะที่ซุนเกี๋ยนร่ำไห้อยู่นั้น ทหารติดตามได้ร้องบอกซุนเกี๋ยนให้ดูไปทางทิศใต้ของทางพระราชวังเดิม ปรากฏแสงคล้ายดังผีพุ่งใต้ แต่พุ่งจากพื้นสู่ท้องฟ้าเป็นที่ประหลาดนัก
ซุน เกี๋ยนจึงสั่งให้นำทหารสามสิบคนออกจากค่าย จุดคบไฟแล้วพากันตรงไปยังตำแหน่งที่เห็นแสงนั้น พบบ่อน้ำบ่อหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้บริเวณพระตำหนักที่ประทับเดิมของพระเจ้าเลนเต้ ซุนเกี๋ยนมีความสงสัยจึงให้ทหารเอาไม้ยาวขนาดสี่วาแทงลงไปในบ่อน้ำ กระทบเข้ากับของสิ่งหนึ่ง จึงให้ทหารช่วยกันงมขึ้นมา ปรากฏเป็นศพของนางกำนัลไม่เน่าเปื่อย ยังสดอยู่
เมื่อ ยกเอาศพนางกำนัลขึ้นจากบ่อน้ำแล้ว จึงเห็นที่คอของนางกำนัลมีถุงแพรผูกคล้องอยู่ จึงแกะถุงแพรออกพบกล่องไม้สีชาดเข้ม มีกุญแจทองคล้องไว้ เมื่องัดออกดูพบดวงตราหยกรูปสี่เหลี่ยม ยอดตราแกะเป็นลายมังกรห้าตัวเกี่ยวกัน ด้านข้างของตรามีรอยชำรุดแต่เลี่ยมทองปิดไว้ ดวงตราแกะสลักเป็นอักษรจีนแปดคำมีความว่า “พรสวรรค์บัญชา อายุยืนหมื่นปี”
ซุน เกี๋ยนเห็นดวงตราหยกแล้วสงสัยว่าจะเป็นดวงตราพระลัญจกรสำหรับพระมหากษัตริย์ แต่ไม่แน่ใจ จึงถามเทียเภาว่ารู้จักตราหยกนี้หรือไม่ และเหตุใดจึงตกมาอยู่ในสภาพดั่งนี้
เทีย เภาจึงว่าข้าพเจ้ารู้จักตราหยกนี้แล้วเล่าความให้ซุนเกี๋ยนฟังว่ายุคสมัย ก่อนราชวงศ์จิ๋น มีพรานป่าชื่อเบ๊งโหไปเที่ยวบนเขาเห็นหงส์จับอยู่ที่ก้อนหินใหญ่เป็นที่ ประหลาด จึงทุบหินนั้นออกดูพบแท่งหยกขนาดใหญ่
เบ๊งโหจึงนำแท่งหยกนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าฌ้อบุนอ๋องแต่ไม่ทันไรพระเจ้าฌ้อบุนอ๋องก็เสด็จสวรรคต
ครั้นพระ เจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสวยราชย์ ได้แท่งหยกนี้มา จึงโปรดให้ช่างหลวงแกะแท่งหยกเป็นตราแผ่นดิน แล้วโปรดให้หลี่ซืออัครมหาเสนาบดี คิดอักษรประจำตราแผ่นดินนั้น หลี่ซือคิดเป็นอักษรจีนแปดคำถวายเป็นที่ทรงโปรด และให้จารึกอักษรแปดตัวนั้นเป็นเนื้อความในตราแผ่นดิน และใช้เป็นตราพระลัญจกรสำหรับประทับพระบรมราชโองการแต่นั้นมา
ครั้นพระ เจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสวยราชย์สมบัติได้ยี่สิบแปดปี ฤดูใบไม้ผลิได้เสด็จทางชลมารคประพาสทะเลสาปตังเท้ง เกิดพายุใหญ่พัดกล้าเรือพระที่นั่งโคลงเอียงลง ทรงเกรงว่าเรือพระที่นั่งจะล่ม และแคลงพระทัยว่าเนื่องมาแต่ตราแผ่นดินนี้ จึงโปรดให้เอาตราแผ่นดินโยนลงในทะเลสาปนั้น คลื่นลมก็สงบเป็นปกติ
ครั้นพระ เจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เสวยราชย์ได้สามสิบแปดปี ได้เสด็จทางสถลมารคเพื่อตรวจงานสร้างกำแพงเมืองจีน ปรากฏมีชายผู้หนึ่งเอาตราหยกนี้มาถวายต่อพระหัตถ์ พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงรับตราหยกไว้แล้วชายนั้นก็หายไป
หลัง จากเสด็จทางสถลมารคไปตรวจงานกำแพงเมืองจีนกลับมาแล้ว ก็เสด็จสวรรคต แผ่นดินเกิดจลาจลเป็นสงครามระหว่างหัวเมืองของราชอาณาจักรจิ๋น ในที่สุดพระเจ้าฮั่นโกโจปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น จึงมีผู้นำตราหยกนี้มาทูลเกล้าฯ ถวาย ใช้เป็นตราพระลัญจกรติดต่อมาถึงสิบสองรัชกาล
จน กระทั่งอองมังกบฏต่อราชสมบัติ พระนางตังไทเฮาถูกคุกคามถึงในพระตำหนัก จึงทรงหยิบตราหยกนี้ขว้างอองสิม ขุนนางทรยศ แต่พลาดไปกระทบผนังพระตำหนัก ตราหยกจึงบิ่นไป ต่อมาโซเสียม ขุนนางของอองมังได้จัดซ่อมตราหยกนี้ เลี่ยมทองปิดที่บิ่นนั้นไว้
ครั้นพระ เจ้าฮั่นกองบู๊ยึดราชสมบัติกลับคืนพระราชวงศ์ฮั่นได้สำเร็จ ก็ทรงใช้เป็นตราพระลัญจกรต่อมาจนถึงแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้ ครั้งนั้นเกิดจลาจลและเพลิงไหม้ในพระราชวังหลังจากโฮจิ๋นผู้สำเร็จราชการ แผ่นดินถูกสิบขันทีสังหาร สิบขันทีได้จับฮ่องเต้เป็นตัวประกันหลบหนีออกไปจากพระราชวัง ครั้นเสด็จนิวัติกลับพระนครแล้ว มีการสำรวจท้องพระคลังจึงพบว่าตราพระลัญจกรนี้สูญหายไป จึงเข้าใจว่านางกำนัลในตำหนักที่ประทับมีความจงรักภักดี เกรงคนร้ายจะลักเอาตราพระลัญจกรนี้ไป จึงเอาตราหยกนี้ผูกคอแล้วกระโดดน้ำตาย
แล้ว เทียเภาจึงเสนอความเห็นแก่ซุนเกี๋ยนว่า ซึ่งบัดนี้ตราพระลัญจกรตกแก่มือท่าน ย่อมเป็นนิมิตที่สวรรค์บอกชี้ว่าราชสมบัติจะตกได้แก่ท่าน ดังนั้นอย่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเลย รีบกลับแคว้นกังตั๋งของเราคิดการใหญ่สืบไปเถิด
ซุน เกี๋ยนฟังนิทานเรื่องตราพระลัญจกรแล้ว ก็เชื่อตามความเห็นของเทียเภา เกิดตัวพองขนลุกคิดเห็นเป็นวาสนาที่ได้ครองตราพระลัญจกรนั้น ความจงรักภักดีที่เคยมีต่อราชวงศ์ฮั่นก็ดับวูบลง เกิดความคิดตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าครองแผ่นดิน ณ บัดนั้น
เป็น ธรรมเนียมของจีนแต่โบราณที่มีการใช้ตราประจำตัวแทนการลงชื่อ และธรรมเนียมนี้ยังคงตกทอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งแม้ว่าความนิยมในการลงลายมือชื่อมีมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีผู้นิยมใช้ตราประทับแทนตัว หรือใช้ประทับคู่กับการลงลายมือชื่อเป็นจำนวนมาก
ตรา ประจำตัวนี้ถ้าเป็นฮ่องเต้จะเรียกว่าตราพระลัญจกร ถ้าเป็นขุนนางข้าราชการจะเรียกว่าตราประจำตำแหน่ง และถ้าเป็นบุคคลธรรมดาจะเรียกว่าตราประจำตัว สำหรับแผ่นดินจีนในยุคนั้นถือตราพระลัญจกรและตราแผ่นดินเป็นตราเดียวกัน
เมื่อ ประเทศไทยได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนแต่ครั้งสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ฮ่องเต้ของจีนเข้าใจว่าไทยยอมเป็นประเทศราช จึงพระราชทานตราประจำตำแหน่งทุกครั้งที่มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเรียกว่า “โลโต” พร้อมกับถวายพระสมัญญามีคำลงท้ายว่า “อ๋อง”
ครั้น แผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ทำตราแผ่นดินขึ้นสำหรับใช้ใน ราชการ และให้ทำตราพระลัญจกรขึ้นสำหรับพระมหากษัตริย์อีกดวงหนึ่ง หลังจากได้รูปแบบตราแล้วทรงเห็นว่าสมควรมีถ้อยคำจารึกในตราแผ่นดินนั้น จึงโปรดให้สมเด็จพระสังฆราช (สา)วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามฯ ทรงคิดความกำกับตรา สมเด็จพระสังฆราช ทรงคิดถวายเป็นภาษาบาลีว่า “สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฒิสาธิกา”ซึ่งแปลว่า “การใหญ่ของแผ่นดินจักสำเร็จได้ด้วยความสามัคคี” ซึ่งมีความไพเราะงดงามและได้ความหมายดีกว่าตราหยกที่หลี่ซืออัครมหาเสนาบดีคิดขึ้นเอาใจจิ๋นซีฮ่องเต้มากมายนัก
พระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพอพระทัยในความนี้โปรดให้ใช้เป็นคำจารึกในตราแผ่นดินมาจนถึงทุกวันนี้ อันควรที่ชนชาวไทยพึงต้องรำลึกและเทิดมาปฏิบัติ ย่อมจักบังเกิดความสวัสดีทุกประการ
แต่ น่าอนาถนักที่บัดนี้แทบไม่มีหน่วยราชการใดใช้ตราแผ่นดินดังกล่าวเสียแล้ว เพราะหันไปนับถือเอาสิงห์สาราสัตว์มาเป็นตราประจำกระทรวงทบวงกรม จนสัตว์เดรัจฉานเกลื่อนกลาดไปแทบทุกหน่วยงาน
คง เหลือแต่ศาลยุติธรรมที่ยังคงใช้ตราแผ่นดินนี้ประทับหมายต่าง ๆ ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ส่วนตำรวจคงใช้เฉพาะติดอยู่กับหน้าหมวก แม้กรมป่าไม้ก็คงใช้เพียงสำหรับใช้ประทับไล่ผีและรุกขเทวดาในเวลาตัดต้นไม้ ใหญ่ที่คนไม่กล้าตัดเท่านั้น การใช้ตราแผ่นดินดังนี้จะมีใครสักกี่คนที่ยังคงระลึกถึงความอันจารึกไว้นั้น
ซุน เกี๋ยนเมื่อได้ตราพระลัญจกรแล้ว ความโลภในยศและวาสนาได้เข้าสิงใจ ละทิ้งอุดมการณ์ที่จะกำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้ บำรุงราษฎรเสียสิ้น คิดหักหลังหัวเมืองทั้งปวงถอนตัวออกจากกองทัพปฏิวัติ ยกกลับแคว้นกังตั๋ง เพื่อจะตั้งตัวเป็นเจ้าซึ่งผิดอาการจากครั้งที่ลิฉุย เป็นทูตแทนตัวตั๋งโต๊ะมาเจรจาซื้อตัวซุนเกี๋ยนด้วยการยกลูกสาวให้กับซุนเซ็ก เพื่อจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน แล้วร่วมกันทำนุบำรุงบ้านเมืองแลราษฎรให้เป็นสุข แต่ซุนเกี๋ยนไม่ยอมกลับโกรธเคืองยิ่งนัก แต่มาครั้งนี้เต็มใจที่จะทรยศต่ออุดมการณ์และพันธมิตรร่วมรบ
ความจริงมิใช่เป็นการเปลี่ยนใจ หากเนื่องเพราะการตีราคาค่าตัวของ ซุน เกี๋ยนเอง ครั้งนั้นตั๋งโต๊ะให้ราคาไม่ถึงขนาดที่ต้องการจึงไม่ยอมขายตัว แต่ครั้งนี้สิ่งที่เทียเภาได้บอกกล่าว ซุนเกี๋ยนประเมินแล้วว่าเกินราคาค่าของตัว จึงยอมขายตัวให้กับยศศักดิ์อัครฐานนั้น
เมื่อ ตัดสินใจเช่นนี้ซุนเกี๋ยนจึงสั่งทหารว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะยกกองทัพกลับเมือง เตียงสา คิดอ่านการใหญ่ตามที่เทียเภาแนะนำต่อไป แล้วกำชับทหารทั้งปวงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ อย่าได้แพร่งพรายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้เป็นอัน ขาด จะเสียการใหญ่ของเราไป
แต่ สวรรค์ทรงความยุติธรรม ไม่ประทานโชคเคราะห์อย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว หากย่อมประทานทั้งสองสิ่งพร้อมกันเสมอ ดังเช่นที่ประทานความงามอันสะคราญแก่สตรีใดแล้ว ก็ย่อมประทานเพทภัยอันเกิดแต่ความมีโฉมสะคราญนั้นควบคู่กันด้วย
เมื่อสวรรค์ประทานโชคแก่ซุนเกี๋ยนแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ต้องประทานเคราะห์แก่ซุนเกี๋ยนควบคู่ไปด้วยเช่นเดียวกัน.
ขอบคุณ
ที่มา
บทความ สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ของ เรืองวิทยาคม
.
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=589709.