ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จิตในพุทธศาสนา กับ ควอนตัมฟิสิกส์  (อ่าน 5906 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
ได้พูดได้เขียนเรื่องของจิตมานาน โดยเฉพาะจิตในพุทธศาสนา และจิตในจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือจิตวิทยาจิตวิญญาณ (spiritual psychology)-ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณที่จะไล่ต่อๆ ไปจนถึงนิพพาน-บนพื้นฐานของปรัชญาของพุทธศาสนาตามที่ผู้เขียนเข้าใจ พร้อมๆ กันนั้นก็ได้ศึกษาและเขียนเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์ที่ไม่ค่อยมีคนเชื่อตามหลังคุณอนุช อาภาภิรมย์ มาตั้งแต่ร่วมยี่สิบปีก่อน แต่ไม่เคยเขียนบทความที่เปรียบเทียบกันของทั้งสองวินัย ที่ใช้วิธีการเข้าถึงความรู้ที่ทางพุทธศาสนาแน่ใจว่าเป็นความจริงที่แท้จริง ที่ได้จากการปฏิบัติสมาธิมาอย่างลึกซึ้ง กับความจริงทางควอนตัมที่ได้มาจากการสังเกตด้วยการทดลองและคณิตศาสตร์ของนักฟิสิกส์ ซึ่งทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เชื่อกันแทบเป็นเอกภาพ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า-ในความเห็นของผู้เขียนเช่นกัน-ทั้งสองวินัย พุทธศาสนากับควอนตัมเมคานิกส์ต่างนำไปสู่ความจริงที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลผลิตของจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาล คือทั้งคู่เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเพียงความสอดคล้องแนบขนานกันตามที่ ฟริตจอฟ แคปรา เป็นคนแรกที่สังเกตไว้อย่างเป็นกิจจะลักษณะในปี 1975 ซึ่งต่อมานักฟิลิกส์แห่งยุคใหม่หลายๆ คนกล่าวไว้เหมือนๆ กันเท่านั้น แต่ผู้เขียนไปไกลกว่านั้นคือ เชื่อว่าทั้งคู่เป็นเรื่องเดียวกันทั้งทางด้านของทฤษฎีและทางด้านปฏิบัติ (experiments) จริงๆ แล้วเนื่องจากควอนตัมฟิสิกส์ก็เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) ที่รับรู้โดยบุคคลที่สามเหมือนกับวิทยาศาสตร์กายภาพทั่วๆ ไป แต่ควอนตัมเมคานิกส์ใช้ชี้วัด (measurement) สสารที่เล็กละเอียดที่สุดระดับอะตอมหรือต่ำกว่านั้น สสารที่เรามองไม่เห็นและไม่มีทางที่เราจะมองเห็น-ไม่ว่าจะเมื่อใด-ด้วยความรู้ของนักวิทยาศาสตร์กายภาพ เพราะฉะนั้นการชี้วัดที่ว่าจึงเป็นการชี้วัดทางอ้อม ด้วยการทำปฏิกิริยาระหว่างกันของสสารที่เล็กและละเอียดที่สุดเหล่านั้น (interface) หรือไปยังข้อสันนิษฐานที่นักฟิสิกส์ใหม่ นักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ รวมทั้งแพทย์หลายต่อหลายคนคิดว่าจิตก็เป็นคลื่นที่ละเอียดยิ่ง-ละเอียดยิ่งกว่าคลื่นอนุภาคในฟิสิกส์ใดๆ และทำงานด้วยกลไกคล้ายหรือเหมือนกับควอนตัม/ซูเปอร์ควอนตัมที่อยู่ในสภาพของคลื่นตลอดเวลา เพราะจิตของผู้นั้นจะไปพังพาบสภาพคลื่นนั้น (wave function collapse)-เพราะในศาสนาพุทธไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า (ที่อยู่ภายนอกจักรวาลทั้งหมด) ขึ้นมาอธิบายกลไกต่างๆ ใดๆ อันเป็นความลี้ลับตรงนี้ได้ ซึ่งหากไม่ต้องสร้างพระเจ้าเพื่ออธิบายความลึกลับเหล่านี้ แต่อธิบายว่าเป็นจิต (ไร้สำนึกสากลของจักรวาลที่เข้าอยู่ในกายในสมองของบุคคลนั้นๆ) แล้วถูกบริหารโดยสมองของผู้นั้น สมองก็จะเป็นประหนึ่งกลไกคล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นผู้บริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาล (quantum computer)-ที่นักคอมพิวเตอร์หรือวิทยาศาสตร์กายภาพบางคนคิด-ให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้นั้นๆ
 
แต่ขอพูดที่นี่เสียเดี๋ยวนี้เลยว่า ความเป็นเรื่องเดียวกันของพุทธศาสนากับควอนตัมเมคานิกส์-ศาสนากับวิทยาศาสตร์ตามที่ผู้เขียนกำลังเขียนอยู่นั้น-เป็นคนละเรื่องกับที่เราเข้าใจกัน หรือพูดว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ (เก่า) ซึ่งท่านผู้อ่านก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์ หรือในที่นี้กับวิทยาศาสตร์กายภาพเก่าๆ นั้น เป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมากัน คือมีหลักการและเหตุผลที่เข้ากันไม่ได้เลยมานับตั้งแต่เรามีวิทยาศาสตร์มานับหลายๆ ร้อยปีมานี้ เพราะฉะนั้นที่มีคนพูดๆ กันว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ (เฉยๆ ซึ่งคงหมายถึงวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม หรือวิทยาศาสตร์กายภาพเก่า) (materialistic or physical sciences) อย่างที่คนเขาพูดๆ กันนั้น ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร? แม้แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เอง ที่มีคนอินเดียทำการวิจัยไว้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับพุทธศาสนา ก็แทบว่าจะไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องเดียวกันเลย ยกเว้นความจริงที่พุทธศาสนาบอกว่า สรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรารับรู้ว่าดำรงอยู่ข้างนอกนั้น ไม่เคยเลยที่ดำรงอยู่จริงตามที่เรารับรู้นั่น ทั้งหมดที่เรารับรู้ว่ามีอยู่เป็นเพียงความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เท่านั้น ซึ่งไปตรงกับทฤษฎีความสัมพัทธ์พิเศษของไอน์สไตน์ เพราะฉะนั้นและในความเห็นของผู้เขียน จึงใคร่ขอร้องไม่ให้คนไทยเอาพุทธศาสนาไปเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ (กายภาพ) อย่างเด็ดขาด เพราะพุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นความจริงที่แท้จริง ซึ่งต่างออกไปและเป็นอกาลิโก ส่วนวิทยาศาสตร์เฉยๆ ก็คือวิทยาศาสตร์กายภาพนั้น ให้ความจริงแต่เฉพาะทางโลกที่ไม่จริงแท้แก่เรา แถมบางครั้งอาจเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำ วิทยาศาสตร์เก่าที่ว่านั้นให้ความจริงได้แค่ 99.0% หรือไม่ถึงด้วยซ้ำ ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของจักรวาล หรือเมื่อเราพูดกันถึงอะตอมหรืออนุภาคที่เล็กละเอียดยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ ซึ่งเปรียบเทียบกับฟิสิกส์ใหม่ที่ให้ความจริงถึง 99.999%
 
การเป็นเรื่องเดียวกันระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่นั้น ผู้เขียนไม่ได้พูดเอง แต่เป็นนักฟิสิกส์ยุคใหม่ที่มีชื่อเสียง-แทบว่าจะทุกคนกระมัง-พูด ลองคิดดูว่าพวกอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์และนักศึกษาร่วม 3,000 คนจะคิดอย่างไร? เมื่อเบิร์กเลย์ได้จัดประชุมใหญ่ในเรื่องศาสนากับวิทยาศาสตร์เมื่อเดือนพฤษภาคมในปี 1996 นักฟิสิกส์ควอนตัมจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน อมิต โกสวามี ผู้อภิปรายคนหนึ่งได้พูดว่า ในฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ของปัจจุบัน ความจริงทางศาสนากับความจริงควอนตัมนั้นเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ (in complete agreement)
 
ในการประชุมในโครงการจิตกับชีวิตครั้งที่ 7 ที่เปรียบเทียบพุทธศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา (การประชุมมี 5 วันที่จัดให้มีขึ้นในทุกๆ 2 ปี) ระหว่างองค์ทะไล ลามะ ฝ่ายหนึ่ง กับนักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ นักปรัชญาและศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วโลก (ซึ่งบางทีมีพระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายต่างๆ แต่ส่วนมากมาจากนิกายวัชรญาณ พุทธศาสนาของทิเบต ซึ่งมักจะจัดขึ้นที่ธรรมศาลา อินเดีย (Arthur Zajonc, editor: The New Physics and Cosmology, dialogue with Dalai Lama, 2004)
 
ซึ่งมีแอนตอน ไซลิงเจอร์ เป็นนักฟิสิกส์ชั้นนำ (Anton Zeilingtr) ไซลิงเจอร์นั้นเป็นนักฟิสิกส์มีชื่อเสียงที่สุดในโลกผู้หนึ่ง ในด้านพื้นฐานของการทดลองทางควอนตัมฟิสิกส์ ตอนนั้นยังอยู่ที่อินสบรูกในออสเตรีย (ในปี 2006 ไซลิงเจอร์ได้รับเลือกเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยเวียนนาที่ เออร์วิน ชโรดิงเจอร์ เคยครอง) แอนตอน ไซลิงเจอร์ ตอนที่ยังอยู่ที่อินสบรูก เป็นผู้ที่แสดงในห้องทดลองได้ว่าเราสามารถส่งอะตอม-ตัวเดียวกันหรือเหมือนกันทุกประการ-จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป (quantum telecommunication) การทดลองที่จะนำไปสู่การย้ายคนจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งเหมือนในภาพยนตร์สตาร์เทรก หรือด้วยเวทมนตร์ในหนังจักรๆ วงศ์ๆ ได้ ซึ่งเป็นผลของความจริงทางควอนตัมอย่างหนึ่ง (quantum non-locality) ที่เป็นความลึกลับที่ปัจจุบันสามารถรู้ได้ด้วยทฤษฎีของจอห์น สจวต เบลล์ (Bells' Theorem) ซึ่งเกิดจากการพัวพันกันอย่างอีนุงตุงนังของคลื่นอนุภาคและอะตอมตามที่ชโรดิงเกอร์เรียก (entanglement)
 
การประชุมที่มีถึง 5 วันในครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้กับวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ควอนตัมและนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ และนักวิชาการจำนวนมากที่ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น และส่วนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ดังๆ ของโลก การสนทนากับความเข้าใจย่อมทำให้นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการทั่วไปที่ไม่เชื่อหันมามองใหม่ ควอนตัม เมคานิกส์ เป็นการเฉพาะ กับจักรวาลวิทยาในสายตาที่ผิดจากเมื่อก่อน ซึ่งนักวิชาการทั่วไปมักจะคิดว่าควอนตัมฟิสิกส์ อย่างดีที่สุดเป็นเพียงทฤษฎี หรือคณิตศาสตร์ที่เป็นนามธรรมที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการที่อยู่ในที่ประชุมในครั้งนั้นต่างก็พิศวงใจว่า องค์ทะไล ลามะ ที่ไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยในเรื่องของควอนตัมฟิสิกส์หรือจักรวาลวิทยา และนักฟิสิกส์นักวิชาการตะวันตกที่มาร่วมประชุมกันในครั้งนี้แทบทั้งหมดก็ว่าได้ ต่างก็ไม่รู้เรื่องของพุทธศาสนาเลยสักนิดเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็แลกเปลี่ยนความรู้กัน เหมือนกับว่าทั้งสองฝ่ายได้พูดเรื่องเดียวกัน ซึ่งไม่เพียงแต่หลักการเท่านั้น แม้แต่รายละเอียดก็แทบว่าไปด้วยกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ตัวอย่างในทางวิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกย่างที่เห็นและคิดว่าจริง (objective)
 
เป็นวัตถุ-พลังงานที่เปลี่ยนกันไปมาได้พอดีเปี๊ยบ ซึ่งประกอบขึ้นด้วยควอนตาเป็นเม็ดๆ เป็นอิสระต่อกันและกัน ปล่อยออกมาเป็นชุดๆ ที่ติดต่อกัน ที่เล็กละเอียดแยกจากกันไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดาๆ เมื่อเป็นเม็ดจะเรียกว่าอะตอม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กำลังลบ 8 ซม. ซึ่งเฉพาะในควอนตัมฟิสิกส์ (ในขณะที่ฟิสิกส์เก่าจะไม่เกี่ยวกับจิตเลย) เท่านั้นที่บอกว่าการชี้วัด (measurement) ต้องใช้จิตของผู้ที่กำลังชี้วัดอยู่นั้น ในทางพุทธศาสนาบอกไว้อย่างเดียวกันเปี๊ยบ แต่จะบอกว่าปรมาณูที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ยกกำลังลบ 9 ซม.(เปรียบเทียบ) และบอกด้วยว่าจะเห็นได้ก็ด้วยจิตของผู้นั้นๆ สังเกตเสมอไป (Leo Pruder (แปลจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลจากวสุพันธ์อีกที):Ahidharmkosabhavasyam,1991) พุทธจักรวาลวิทยาบอกว่าจักรวาลมีบิ๊กแบงและมีบิ๊กครันช์ (วิวัตตา-สังวิวัตตา) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเหมือนกับรูปแบบหนึ่งในสองรูปแบบที่เชื่อกันในฟิสิกส์ใหม่โดยเกิดมาจากที่ว่าง (ultimate space) ที่ให้ลม (motility) ไฟ (heat) น้ำ (fluidity) ดิน (solidity) โดยโผล่ปรากฏออกมา (emerge) เองจากสิ่งที่มีมาก่อนหน้านั้น
 
โดยควอนตัมฟิสิกส์ นักฟิสิกส์เคยคิดว่าเวลาก็เป็นเม็ดๆ-เหมือนแสง (โฟตอน) แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้นักฟิสิกส์บางคนยังคิดว่าแรงโน้มถ่วงก็เป็นเม็ดๆ ได้ (แกรวิตรอน)-เรียกว่า โครนอน (chronon) โดยมีความยาวของเวลาราวๆ 10 ยกกำลังลบ 24 ถึงลบ 36 วินาที (David Fingelstein: Emptiness and Relativity, 2003) ซึ่งพุทธศาสนาทุกๆ นิกายย่อยของมหายานและวัชรญาณต่างก็กล่าวว่าเป็นเม็ดๆ เหมือนกัน (กษณะ) แต่ความเร็วของเวลากล่าวไว้ไม่เหมือนกันในคัมภีร์พุทธศาสนาหลายคัมภีร์เหล่านั้น ส่วนมากเป็นการเกิดและเปลี่ยนความคิด เช่น คิดว่าความคิดที่เปลี่ยนไปในคนนั้น จะมีความเร็วประมาณ 10 กำลังลบ 3 วินาทีเท่านั้น แต่บางตำราก็บอกว่าความคิดเปลี่ยนไปเร็วมาก คือเท่ากับ 16 หรือ 17 เท่าของความเร็วที่สุดในโลกกายโลกียกาม ซึ่งก็คือความเร็วของแสง แต่บางตำรายิ่งเร็วกว่านั้นไปอีก คือเร็วมากกว่าสายฟ้าแลบถึงพันล้านๆ เท่าทีเดียว
 
เช่นเดียวกับในควอนตัมเมคานิกส์ พุทธศาสนาเชื่อว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นวัตถุหรือสรรพปรากฏการณ์ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่จริง หรือเป็นมายาซึ่งเกิดจากศักยภาพความน่าเป็นไปได้ (Potentiality) ที่เป็นการเลือก (choices) ของจิตมนุษย์หรือมนุษยชาติ ส่วนความจริงที่แท้จริงเบื้องหลังคือแสงที่สว่างไสว (แสงในสภาพคลื่น) เช่นเดียวกับเวลา และการเลือก (choices) โดยจิตของผู้สังเกตที่ทำให้สภาพคามเป็นคลื่นพังพาบ (wave function collapse) กลายเป็นอนุภาคข้อมูล (Information) ที่เป็นพลังงานเป็นคลื่นก็ถูกจิตของมนุษย์เปลี่ยนเป็นอนุภาค (bits) ซึ่งพุทธศาสนาเรียกกว่า "อักษาระ" (อักษร) ที่เราเอามาใช้กันผิดๆ.


http://www.thaipost.net/sunday/280609/6925
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...