ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ถึงจะไร้เหตุผล-ถ้าเป็นนักวิชาการก็ต้องฟัง  (อ่าน 1227 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ถึงจะไร้เหตุผล-ถ้าเป็นนักวิชาการก็ต้องฟัง
 
ที่ยกเป็นหัวข้อของบทความของวันนี้ ขอให้ผู้อ่านคิดให้ถ้วนถี่ว่าเหตุผลที่เรามีเราใช้ ในการกำหนดและกำกับวิถีชีวิตของเราอยู่ทุกวันนั้น คืออะไร? และคิดว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวของโลกหรือไม่? คิดให้ดีแล้วถึงค่อยอ่านต่อให้จบ เพราะบทความวันนี้น่ากลัวแถมยังเป็นไปได้ และต้องรู้ว่าที่ยกมานั้นไม่ใช่คำพูดของผู้เขียน หากแต่เป็นของศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด จิตแพทย์จอห์น อี. แม็ก ที่เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 60 ปีต้นๆ ในคำนำหนังสือของเขา (John E. Mack: Abduction, 1995)-ซึ่งผู้เขียนได้นำเนื้อหามาเขียนลงในไทยโพสต์ในปีนั้น และปีต่อๆ มาสองหรือสามบทความ โดยเฉพาะข้อสงสัยของผู้เขียนที่เขียนลงในบทความชื่อว่า ทำไม? การลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวถึงเกิดกับฝรั่ง-เพิ่งมารู้คำตอบในเว็บไซต์ www.abovetopsecret.com ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2008 นี่เองที่บอกว่า มนุษย์ต่างดาวมักจะลักพาตัวหรือเลือกคนที่มีเลือดเป็นชนิด Rh-negative โดยเฉพาะมาจากครอบครัวฝ่ายแม่ทั้งตระกูล ซึ่งคนฝรั่งมีหมู่เลือดเช่นนี้มากถึง 15% แต่คนเอเชียมีน้อยมาก คือมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า-ดังที่ได้เขียนมาตลอด-คนมองโกลอยด์รวมทั้งไทยเรามาจาก โฮโมอีเรกตัส ที่อพยพไปและวิวัฒนาการไปด้วยกัน-เป็นโฮโมซาเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบัน-ที่เอเชียหรือทางตะวันออก แทนที่จะรอให้มีวิวัฒนาการที่แอฟริกาก่อนถึงจะอพยพในทีหลัง เช่น คอร์เคเซียนและนิโกร ซึ่งทำให้สามารถอธิบายกำเนิดการของมนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง (Java man and Peking man) ซึ่งเป็นโฮโมอีเรกตัสได้ทั้งหมด
 
กลับมาที่จอห์น อี. แม็ก อีกครั้ง ตอนนั้นหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ที่บ้านเราได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในเรื่องหนังสือ (เรื่องที่ว่า) ของเขาหลังจากหนังสือวางตลาด เพราะอาจารย์ที่เป็นนักวิชาการได้ไปฟ้องอธิการบดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในตอนนั้นว่า หนังสือของเขาไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง อธิการบดีจึงตั้งคณะกรรมการ ส่วนมากเป็นนักวิทยาศาสตร์มาสอบสวน คณะกรรมการได้ทำการตรวจงานวิจัยอันเป็นที่มาของหนังสือดังกล่าว ปรากฏว่าคณะกรรมการต่างเห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่างานวิจัยและหนังสือของเขาเป็น "วิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง" ทำให้อธิการบดีและคณะกรรมการต้องออกหนังสือเป็นทางการ พร้อมกับเดินทางไปพบจอห์น อี. แม็ก ถึงบ้านเพื่อขอโทษ และได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่หนังสือพิมพ์บ้านเราต้องเอามาลง
 
ที่เอาเรื่องทั้งหมดมาลงที่นี่ ก็เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์หัวเก่าไม่ว่าที่ไหนรวมทั้งบ้านเรา ที่จอห์น อี. แม็ก เรียกว่า คนที่อยู่ในยุควัตถุนิยมจ๋า (material paradigm) ที่กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนมาสนับสนุนวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่-ซึ่งส่วนใหญ่มากๆ กลับเป็นตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์เก่าเดิม ซึ่งให้ความจริงน้อยกว่ามากนัก-โดยที่วิทยาศาสตร์ใหม่จะให้ความจริงที่เหมือนกับความจริงทางศาสนาที่เกิดขึ้นมาจากทางตะวันออก ซึ่งไม่มีเหตุผลดังที่นักฟิสิกส์ใหม่หลายๆ คนบอกเรื่องที่ปราศจากตรรกะและไร้เหตุผลอย่างนี้ ก็เหมือนกับคำทำนายของศาสนาและลัทธิความเชื่อในวัฒนธรรมต่างๆ เช่นเรื่องของความล่มสลายระดับโลกในปี 2012 ตามปฏิทินของชาวมายาที่อเมริกากลางบอกไว้ (the crash of 2012!) ซึ่งตรงกับปีมะโรง พ.ศ.2555 อันเป็นปีที่พระเถระอาวุโสมากหลายในพุทธศาสนาและของศาสนาใหญ่ต่างๆ แทบจะทุกศาสนาเตือนให้ชาวโลกระวังไว้เหมือนๆ กัน ทั้งยังตรงกับผู้เขียนอายุครบ 84 ปี ซึ่งที่ผู้เขียนได้บอกกับเพื่อนๆ หลายคนว่าผู้เขียนน่าจะตายในปีมะโรงนั้น จริงๆ แล้วไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะไม่มีตรรกะและเหตุผล มองไม่เห็น อันเป็นที่มาของเหตุผล ไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิดของเหตุการณ์นั่น ทั้งยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งในพุทธศาสนา และทั้งในทางฟิสิกส์ใหม่หรือควอนตัมเมคานิกส์ ซึ่งทั้งสองวินัยที่บอกไว้เหมือนๆ กันว่า เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นศักยภาพของความ "น่าจะเป็นไปได้" หรือทางเลือกของผู้สังเกต (choice) หรือจิตของเรา (Henry Stapp: Mind, Matter and Quantum Mechanics, 2004; Arthur Zajonc editor: New Physics, Cosmology and Buddhism (dialogue with Dalai Lama), 2004) เนื่องจากภาวะล่มสลายของสภาพความเป็นคลื่น (wave-function collapse)
 
เพราะฉะนั้น ตรงนี้เราต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากคำทำนาย ไม่ได้หมายความว่าผู้ทำนายอย่างผิดๆ หรือคาดการณ์เอาเอง แต่โดยที่ทางเลือกของความ "น่าจะเป็นไปได้" มีหลายๆ อย่างทำให้เหตุการณ์ ซึ่งเกิดจากการเลือกหรือความล่มสลายของคลื่นไปเป็นอย่างอื่น อย่าลืมว่าควอนตัมเมคานิกส์นั้นไม่มีทั้งตรรกะและเหตุผลเช่นในคลาสิคัลฟิสิกส์ของนิวตัน ที่เป็นความจริงทางโลกแห่งกายวัตถุโลกที่เรามองเห็นหรือรับรู้ อันเป็นที่มาของตรรกะและเหตุผล (ซึ่งเป็นไปเพื่อใช้กับมนุษย์ด้วยกันเอง) การเกิดของเหตุที่ก่อผลซึ่งทำนายได้ (cause and effect; and determinism) ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของมนุษย์ในโลกแห่งกายวัตถุที่มีเหตุผล และกฎแห่งคลาสิคัลฟิสิกส์กำหนด ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับควอนตัมเมมานิกส์ ดังที่ เดวิด ฟิงเกลสไตน์ นักฟิสิกส์มีชื่อจากเอ็มไอที (MIT) ที่กล่าวว่า "เราจะหาตรรกะเหตุผลในควอนตัมเมคานิกส์ไม่ได้หรอก ต้องหาตรรกะทางควอนตัมถึงจะได้" (cited by Nick Roberts: Quantum Reality, 1985)
 
เพราะฉะนั้น คำทำนายในศาสนาใหญ่ๆ ต่างๆ รวมทั้งคำทำนายของนอสตราดามุส เอดการ์ เคซี รวมทั้งปฏิทินชาวมายาในเรื่อง 2012 และเรื่องการย้ายแผนที่โลกหรือย้ายขั้วโลก (geographical reversal & pole shift) ก็คล้ายๆ กับเรื่องของ 5-5-2000 ที่ดาวมาเข้าแถวกันถึง 7 ดวง ซึ่งในวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดขึ้นในวันและเวลานั้นๆ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการทำนายที่ผิด แต่จะเป็นไปตามกฎทางเลือกแห่งควอนตัมที่อธิบายว่าความ "น่าจะเป็นไปได้" ที่กล่าวมาข้างบนนั้น อย่าลืมว่าศาสดาอรหันต์ หรือเซนต์นะบี หรือนักบุญในศาสนาต่างๆ นั้น ต่างก็รับรู้เหตุการณ์ทั้งหลายในสมาธิหรือเป็นญาณหยั่งรู้ (intuition) ในขณะที่จิตของผู้สังเกตเผชิญกับทางเลือกหลายๆ อย่างพร้อมกัน แต่ละคนที่เป็นศาสดาอรหันต์หรือเซนต์นะบี หรือนักบุญนั้นๆ ย่อมเห็นหรือรับรู้เหมือนๆ กัน แต่การสลายคลื่นศักยภาพของความน่าจะเป็นไปได้ (wave-function collapse) ขึ้นกับจิตในขณะนั้น และยังขึ้นกับสิ่งแวดล้อมขณะนั้นด้วย แต่ผู้ทรงศีลหลายคนรวมทั้งผู้ที่มีความสามารถต่างก็เห็นหรือรับรู้เช่นเดียวกัน แม้เวลาจะต่างกัน เช่น ปรากฏการณ์ที่จะเกิดในปี 2012 หรือปีมะโรง 2555 จึงมีความน่าจะเป็นไปได้สูงมากกว่าปกติ ที่นักวิชาการจะต้องฟังเพื่อเตรียมบอกประชาชนว่า จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด
 
ริชาร์ด มูลเลอร์ (Richard Muller: Nemesis, 1988) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ คิดว่าดวงอาทิตย์ของเราเป็นหนึ่งของดาวคู่แฝด (binary-star system) ที่มีวงโคจรที่ดวงอาทิตย์ทั้งสองจะปรากฏให้เราเห็นในท้องฟ้า ว่าเรามีดวงอาทิตย์สองดวงในทุกๆ 26-30 ล้านปี ที่พ้องกันกับเหตุการณ์ล่มสลายของโลก (mass extinction) ที่เกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชนโลกเพราะดาวใหญ่จะเกี่ยวมา เช่น ที่เกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีก่อนพร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ และในยุคอีโอซีน พร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของแมมมอสยักษ์เมื่อราวๆ 30 ล้านปีก่อน จริงๆ แล้วภายใน 250-260 ล้านปีที่แล้ว โลกเราเกิดสภาวะล่มสลายทั้งหมดสิบครั้ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่าเกิดจากอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชน สังเกตได้จากช่วงเวลาที่พบอิริเดียมในชั้นดินแต่ละครั้งล้วนห่างกัน 26-30 ล้านปีทั้งนั้น ยกเว้นสองครั้งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ (periodic extinction) คาดว่าอุกกาบาตหรือดาวหางวิ่งเฉียดเฉี่ยวโลกไป (Raup and Salowski) เรื่องที่ริชาร์ด มูลเลอร์ กับหนังสือของเขา (Nemesis, (ผู้ล้างแค้น) 1988) นี้ ผู้เขียนได้เขียนเป็นบทความลงในไทยโพสต์ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ที่สำคัญคือ ทฤษฎีของริชาร์ด มูลเลอร์ เรื่องของดวงอาทิตย์คู่แฝดที่มีวงโคจรทำให้สองดวงต้องมาเจอกันในท้องฟ้าทุกๆ 26-30 ล้านปีที่เล่ามานี้-ซึ่งนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ-ไม่เพียงแต่ตรงกับสภาพล่มสลายโลกเป็นประจำ (periodic extinction) จากแรงโน้มถ่วงของดาวที่ไปเกี่ยวกับอุกกาบาต-ดาวหางให้มาชนโลกของสองคนดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังไปตรงกับรายงานของนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ปีเตอร์ วอร์โลว์ (Peter Warlow: Pole Flipping and Earth Magnetism, New Scientist, 1978) ที่คิดว่าการย้ายแผนที่โลก (geographical upheaval) ต่างหากที่เป็นสาเหตุของการสลับขั้วแม่เหล็ก ดวงอาทิตย์กับโลกในทุกๆ 26-30 ล้านปี ไม่น่าใช่ตามที่นักคอมพิวเตอร์ขององค์กรนาซาคิด นอกจากทางวิทยาศาสตร์แล้วยังตรงกับคำทำนายของศาสนาใหญ่ๆ เช่น พุทธ คริสต์ หรืออิสลาม และของนอสตราดามุส กับปฏิทินมายาที่เลิกไปในปี 2012
 
นอสตราดามุสเขียนในโคลง 2:41 ว่า
 
"ดาวใหญ่ดวงหนึ่งจะแผดเผาอยู่เจ็ดวัน
 
เมฆจะทำให้ดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นสองดวง"
 
และโคลงที่ 1:84 ที่มีว่า
 
"ดวงจันทร์จะเกิดความมืดอย่างที่สุด
 
พี่ชาย (ดวงอาทิตย์) ผ่านสิ่งที่มีสีแดงคล้ำเช่นสีเลือด
 
ดาวใหญ่ที่ซ่อนตัวมานาน
 
ทำให้เหล็ก (อาวุธ) ของเขาอุ่นชุ่มในฝนสีเลือด"
 
คำแปลโคลงของนอสตราดามุสโดย แอลเลน วอห์น (Alan Vaughn: Patterns of Prophecy, 1976) ได้แปลส่วนหนึ่งของคำทำนายในโคลงของนอสตราดามุส (2:41 and 1:84) ว่า "จะมีดาวใหญ่สีเลือดดวงหนี่ง (อีกดวง) ปรากฏให้เห็นซึ่งลุกไหม้อยู่เจ็ดวัน และเมฆจะทำให้เห็นดวงอาทิตย์มีสองดวง" แอลเลน วอห์น บอกว่าดวงอาทิตย์ที่มีสองดวงนั้น "เป็นเรื่องที่เหลวไหล" ทางด้านของดาราศาสตร์ แต่ก็จะอธิบายโคลง 1:84 ได้ (โคลงของนอสตราดามุสทั้งหมดไม่เคยเรียงลำดับก่อน-หลังกันเลย) (John White: Pole Shift, 1994)
 
ผู้เขียนได้เรื่องที่น่าคิดและน่ากลัวยิ่งนี้ ก็มีความลังเลใจว่าจะเขียนดีหรือไม่เขียนดี เพราะวันนี้เวลานี้ไม่เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนที่ผู้เขียนยังเรียนรู้น้อยกว่านี้ และผู้เขียนก็อายุมากขึ้นด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้เขียนคิดว่าวิทยาศาสตร์คือวินัยที่หาความจริง ทั้งเรื่องเช่นนี้ยังสนับสนุนชาวโลกให้มีการเปลี่ยนแปลงสู่ระดับจิตวิญญาณที่สูงกว่านี้ได้ จึงตัดสินใจเขียน อาจารย์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา พูดให้ที่ประชุมจิตวิวัฒน์ฟังว่าปี 2013 มนุษยชาติจะมีระดับจิตสูงกว่าเดี่ยวนี้ แต่ไม่บอกว่าประชากรโลกเหลือเท่าไร? หรือจะเป็นอย่างที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์การ์เดียนเมื่อต้นปีนี้ว่า โลกจะเหลือคนเพียง 18% หรือราวหนึ่งในห้าคนเท่านั้น.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/120709/7634
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...