Hero : ผู้ชนะ (ตอนที่สอง)
เรื่องเล่าของไร้นามเกี่ยวกับกระบี่หักและหิมะเหินได้จบลง แต่การชิงไหวชิงพริบระหว่างองค์ฉินอ๋องและไร้นามยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ฉินอ๋องสรุปว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นความเท็จซึ่งตัวไร้นามอุปโลกโป้ปดขึ้น ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ตัวเองคิดว่าเป็นความจริง
ผู้กำกับถ่ายทอดเรื่องเล่าของฉินอ๋องออกมาด้วยโทน
สีฟ้าเรื่องราวเริ่มขึ้นในห้องสมุดที่ไร้นามกำลังสำแดงความเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ของตนต่อหน้ากระบี่หักและหิมะเหิน หลังจากที่ฟ้าเวิ้งได้ยอมสละชีวิตตนเพื่อภารกิจนี้ไปก่อนหน้านั้นแล้ว ไร้นามทดสอบขีดความสามารถในการใช้กระบี่ของตนในระยะสิบก้าวเพื่อให้นักฆ่าที่เหลืออีกสองคนยอมปลงใจสละชีวิตเข้าร่วมในภารกิจนี้ด้วย
การใช้กระบี่ของไร้นามเป็นไปอย่างเฉียบขาดและว่องไว วัดเวลาในการทดสอบด้วยการโยน ถ้วยน้ำขึ้นไปในอากาศ แล้วทะยานไปตัดเชือกในมัดหนังสือไม้ไผ่ที่กองเรียงอยู่รอบๆห้องสมุดได้อย่างครบถ้วนก่อนที่ถ้วยน้ำจะหล่นถึงพื้น การทดสอบดังกล่าวประสบความสำเร็จ กระบี่หักและหิมะเหินไว้วางใจไร้นามจนยอมเข้าร่วมในภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วย
การทดสอบกระบี่ของไร้นามด้วยการตัดเชือกที่มัดม้วนหนังสือนี้ คล้ายกำลังกระซิบบอกสารอะไรบางอย่างแก่นักฆ่าทั้งสองด้วย ว่าหากเหล่านักฆ่าผู้เยี่ยมยุทธทั้งสี่ไม่ร่วมกันผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวในการสังหารฉินอ๋องแล้ว ความล้มเหลวของภารกิจย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ( เชือกที่ถูกตัดในมัดหนังสือนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความสามัคคี ) ชีวิตของประชาชนในรัฐต่างๆก็ยังต้องล้มตายลงไปอีกเหมือนกองหนังสือที่ล้มระเนระนาดอยู่ตรงหน้า
ตามหมายจับของทางการระบุต้องการตัวแค่กระบี่หักหรือหิมะเหินเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองไม่อาจตกลงกันได้ว่าใครจะต้องเสียสละในการถูกสังหารต่อหน้าเหล่าทหารเพื่อให้ไร้นามได้รับโอกาสในการเข้าเฝ้าฉินอ๋องอย่างใกล้ชิดในระยะสิบก้าว ทางออกสุดท้ายจึงกลายเป็นว่าทั้งสองคนยอมเข้าร่วมในภารกิจแห่งชีวิตนี้ด้วยกัน
แม้ว่ากระบี่หักและหิมะเหินจะมีความรักต่อกันอย่างมั่นคง ความรักที่เป็นดั่งสายใยซึ่งผูกพันแนบแน่นจนไม่อาจที่จะพรากออกจากกันได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ แต่ด้วยอานุภาพของความรักอันยิ่งใหญ่นี้เอง หิมะเหินจึงไม่อาจยอมให้กระบี่หักต้องมาตายร่วมไปกับตนด้วยแม้ว่าทั้งสองจะเคยกำหนดหัวใจให้กับภารกิจการสังหารฉินอ๋องนี้มาอย่างแน่วแน่แล้วก็ตามที
ระหว่างเดินทางในเช้าที่ต้องเริ่มภารกิจ หิมะเหินใช้อาวุธของตนแทงกระบี่หักจนได้รับบาดเจ็บเพื่อกระบี่หักจะได้ไม่ต้องเข้าร่วมในภารกิจนี้ การตัดใจแทงคนรักของหิมะเหิน ถือได้ว่าเป็นการแทงที่ตัวหิมะเหินเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
หิมะเหินมอบบาดแผลแห่งการเสียสละนี้ให้กับกระบี่หักพร้อมๆกับมอบชีวิตของตนให้กับภารกิจนี้อย่างเต็มใจ
ไร้นามลำบากใจเป็นอย่างมากที่ต้องมาฆ่าเพื่อนด้วยกันเอง แต่ด้วยความยืนยันของหิมะเหินที่ให้คำนึงถึงภารกิจเป็นหลัก ไร้นามจึงจำต้องฆ่าอีกครั้งเหมือนเช่นที่เคยทำกับฟ้าเวิ้งมาก่อน ( ฉากนี้คืออีกรูปแบบหนึ่งของการต่อสู้ภายในจิตใจของไร้นาม )
การเสียสละของหิมะเหินเป็นเรื่องที่ทรงเกียรติ ดังนั้น ก่อนที่ไร้นามจะเดินทางไปยังพระราชวังตามแผนที่วางไว้ ไร้นามและกระบี่หักได้ทำการต่อสู้กันในจิตใจเพื่อเป็นเกียรติแก่การตายของหิมะเหิน ภาพการต่อสู้นี้บรรจงสร้างขึ้นอย่างวิจิตรประณีต ณ ศาลากลางน้ำในทะเลสาบอันเลื่องชื่อของจีน ซึ่งมีทิวทัศน์อันงดงามประหนึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความจงใจของธรรมชาติเช่นกัน
ผืนน้ำที่ปราศจากการพัดผ่านของสายลมเป็นเสมือนแผ่นกระจกที่เรียบนิ่ง การต่อสู้ในจิตใจของทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น หากแต่ความเย็นเยียบในจิตใจของกระบี่หักจากการสูญเสียหญิงคนรักทำให้เขาไม่มีกระจิตกระใจในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเต็มที่ ละอองน้ำที่กระเซ็นไปตกลงบนใบหน้าของหิมะเหิน ชักนำให้กระบี่หักหันหลังให้กับการต่อสู้ดังกล่าว แล้วทะยานไปซับหยดน้ำที่เป็นดั่งน้ำตาแห่งความเศร้าโศกนั้นแทน ( การต่อสู้ภายในจิตใจของฉากนี้เป็นเสมือนการต่อกรกับความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจที่แสนยะเยือกเย็น เป็นอารมณ์ที่เกาะกินจิตวิญญาณจนไม่เหลือกำลังใจในชีวิต และหากอารมณ์ที่เศร้าโศกนั้นมีชัยเหนือเหตุผลแล้ว ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป )
การต่อสู้ในจิตใจนี้ต้องยุติลงเพราะกระบี่หักถอนตัวออกกลางคัน
ผู้กำกับถ่ายภาพในฉากนี้เพื่อสื่อถึงความหนาวเย็นของธาตุน้ำ โดยนำกล้องไปถ่ายใต้ผืนน้ำจริงๆ (ปกติในภาพยนตร์เรื่องอื่นหากใช้กล้องถ่ายใต้น้ำก็จะพยายามจับภาพใต้น้ำนั้นเป็นหลัก แต่ในภาพยนตร์เรื่อง Hero นี้กลับแหงนหน้ากล้องมาจับภาพการต่อสู้ซึ่งดำเนินอยู่บนอากาศแทน เป็นเทคนิคที่เดินตามวิธีการถ่ายย้อนแสงในฉากสีแดงแต่ในฉากสีฟ้านี้เป็นการถ่ายโดยมองผ่านน้ำ )
วันต่อมาในระหว่างที่ไร้นามเดินทางไปปฏิบัติภารกิจสุดท้าย ณ พระราชวัง ปานเดือนนำอาวุธของกระบี่หักมามอบให้ไร้นามและนำข่าวการฆ่าตัวตายของเขามาบอกด้วย
หิมะเหินและกระบี่หักไม่อาจแยกจิตวิญญาณออกจากกันและกันได้ อันเป็นเสมือนสายน้ำ ที่ไม่ว่าจะพยายามตัดให้ขาดด้วยอาวุธใดก็ไม่อาจที่จะแยกมันออกจากกันได้สำเร็จ ความรักของนักฆ่าทั้งสองนี้ก็เช่นกัน
บทบาทของปานเดือนในฉากนี้ทำหน้าที่สะท้อนรัศมีแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของกระบี่หักและหิมะเหินให้ผู้ชมได้ประจักษ์ ว่ารักแท้อันบริสุทธิ์จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป แม้ว่าชีวิตกายเนื้อของทั้งสองคนนั้นจะลาลับไปแล้วก็ตามที
ฉินอ๋องจบเรื่องเล่าของตนด้วยการยกย่องคารวะความเสียสละของนักฆ่าทั้งสาม แต่ความจริงในภารกิจนี้ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างสิ้นเชิง ไร้นามได้ทำหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่ปราศจากการปรุงแต่งหรือคาดเดาใดๆ ต่ออีกเรื่องหนึ่ง ผู้กำกับให้ภาพในเรื่องเล่าของไร้นามครั้งนี้เป็นโทน
สีขาวเรื่องราวเริ่มขึ้นในห้องสมุด ไร้นามกำลังแสดงความเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ของตนให้กระบี่หัก หิมะเหินและปานเดือนได้ดูชม การทดสอบทำโดยการโยนพู่กันนับร้อยๆอันขึ้นในอากาศ โดยไร้นามต้องใช้กระบี่เพื่อเสาะหาพู่กันที่แตกต่างซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งอันนั้นให้ได้ก่อนที่พู่กันทั้งหมดจะหล่นลงบนพื้นห้อง
ไร้นามสามารถทำการทดสอบนี้ได้สำเร็จ เขาแสดงให้เห็นว่านอกจากการใช้กระบี่ของตนจะมีความว่องไวเป็นเลิศแล้วยังมีความแม่นยำอันไร้ที่ติอีกด้วย การทดสอบที่เพิ่งผ่านไปนี้ยังแฝงไว้ซึ่งข้อความเพื่อจะบอกอะไรบางอย่างว่า การเสาะหาพู่กันที่แตกต่างจากอันอื่นๆ ให้พบเพื่อทำลายเสียนั้น คือการค้นหาผู้ที่มีความคิดเห็นแตกแยกในภารกิจนี้ว่าจะต้องถูกขจัดให้สิ้นไปเช่นกัน
คนผู้นั้นก็คือกระบี่หัก
กระบี่หักมีความเห็นที่แตกต่างกับหิมะเหินหญิงคนรักอย่างไม่อาจหลอมรวมความคิดเข้าด้วยกันได้ หิมะเหินยืนยันให้ภารกิจการสังหารฉินอ๋องนี้ต้องดำเนินต่อ แต่กระบี่หักกลับมองว่า ฉินอ๋องผู้นี้จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยเหตุผลบางอย่างที่หิมะเหินไม่เข้าใจ แม้กระบี่หักและหิมะเหินจะมีความรักต่อกันอย่างแท้จริง แต่สำหรับเรื่องนี้แล้วทั้งสองถือว่าเป็นปฏิปักษ์ทางความคิดกันเลยทีเดียว
หิมะเหินต่อสู้กับกระบี่หักจนกระบี่หักได้รับบาดเจ็บ ส่วนไร้นามเองก็ต่อสู้กับปานเดือน (หญิงสาวผู้เป็นเสมือนบริวารของกระบี่หักซึ่งภักดีต่อนายไม่เปลี่ยนแปลง) กำลังยุทธของปานเดือนไม่อาจทัดเทียมกับไร้นามได้ จนในที่สุดการประฝีมือที่ไม่คู่ควรนั้นก็ยุติลง
ลึกลงไปในจิตใจของหิมะเหินแล้วมีความห่วงหาอาทรกระบี่หักอยู่ไม่น้อย แต่เพื่อภารกิจอันเป็นการล้างแค้นแทนครอบครัว อารมณ์ส่วนตัวดังกล่าวก็ไม่อาจปล่อยให้เป็นอุปสรรคได้
ไร้นามใช้วิธีการสังหารหลอกเพื่อตบตาเหล่าทหารของฉินอ๋องในกรณีของฟ้าเวิ้งได้สำเร็จก่อนหน้านั้น ในครั้งนี้ก็เช่นกัน การสังหารหลอกครั้งที่สองโดยมีหิมะเหินเป็นเป้าหมายได้ดำเนินไปและจบลงด้วยดี จนทหารที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นยอมเชื่อจนสนิทใจให้ไร้นามได้เข้าเฝ้าฉินอ๋องในระยะสิบก้าว
ในระหว่างการเดินทางของไร้นามเพื่อไปปฏิบัติภารกิจสุดท้าย กระบี่หักยอมฝืนกายที่บาดเจ็บมาหาไร้นามด้วยความดูแลของปานเดือนเพื่อจะยุติภารกิจนี้ให้จงได้
อีกหนึ่งเรื่องเล่าผ่านมุมมองของกระบี่หัก ถูกถ่ายทอดออกมาในโทน
สีเขียวก่อนนั้น กระบี่หักและหิมะเหินอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านป่าชนบท ฝึกปรือฝีมือการใช้กระบี่และการเขียนอักษรไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตของทั้งคู่เป็นไปอย่างสมถะ งดงามและเรียบง่ายตามแบบอย่างของธรรมชาติ ทั้งสองปฏิญาณต่อกันว่าเมื่อสำเร็จภารกิจการสังหารฉินอ๋องแล้วจะมาใช้ชีวิตอันสงบสุขที่นี้ด้วยกัน
ภาพชีวิตของทั้งสองที่นี่ ดำเนินไปตามแนวทางปรัชญาแห่งลัทธิเต๋าหรือเล่าจื๊อ ( แนวคิดที่เน้นการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองหรือทางรัฐศาสตร์เหมือนเช่นแนวคิดของสำนักขงจื๊อ ) นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับแนวคิดแห่งนิกายเซ็นของญี่ปุ่น ( การยกย่องจิตเดิมแท้ที่ไม่ปรุงแต่งว่ามีคุณค่าประหนึ่งนิพพาน ) กระบี่หักและหิมะเหินขยับเข้าใกล้ธรรมชาติและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาตินั้นอย่างสุขสงบ ความรักอันบริสุทธิ์ของทั้งสองงอกงามและเติบโตขึ้นเสมือนความอุดมของสิ่งแวดล้อมที่รายรอบ
ระหว่างนั้น กระบี่หักได้เรียนรู้ถึงแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณของตัวอักษร เมื่อเขาบรรลุแล้วซึ่งความหมายที่แท้จริงของกระบี่ จิตใจที่เคยหมกมุ่นอยู่กับภารกิจการสังหารได้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง จนสงบและไม่คิดที่จะฆ่าฉินอ๋องอีกต่อไป แต่ถึงกระนั้นด้วยความรักอันล้นเหลือที่มีต่อหิมะเหิน กระบี่หัก ได้บุกเข้าวังไปพร้อมกับหิมะเหินด้วยในภารกิจสังหารฉินอ๋อง เพราะจิตใจของหิมะเหินนั้นยังคงแน่วแน่ต่อภารกิจนี้ไม่แปรเปลี่ยน
ทั้งสองบุกเข้าวังอย่างองอาจไม่หวั่นเกรงต่อทัพทหารนับพันที่ปกป้ององค์ฉินอ๋องอยู่ในขณะที่หิมะเหินจัดการอยู่กับเหล่าทหารองครักษ์ กระบี่หักได้เข้าไปประจันหน้าต่อสู้กับฉินอ๋องภายในท้องพระโรง
ภาพภายในท้องพระโรง ปรากฏผืนผ้าขนาดยาวสีเขียวประดับอยู่เป็นจำนวนมาก เสมือนผืนป่าจำลองที่ยกมาไว้ภายในพระราชวัง ความลึกลับและดงดิบของป่าจำลองนั้นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมใน การหลบซ่อนตัวของนักฆ่าเช่นกระบี่หัก (ในภาพยนตร์เรื่อง Rashomon ของอาคิระ คูโรซาว่า เหตุการณ์ส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นในป่าอันสะท้อนให้เห็นถึงความดงดิบและลึกลับซับซ้อนภายในจิตใจมนุษย์ )
สายลมที่พัดกรรโชกแรงกระชากให้ผืนผ้านั้นพลิ้วไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา สะท้อนถึงภาวะจิตของกระบี่หักในขณะนี้ที่ต้องต่อสู้ภายในจิตใจ ว่าจะสังหารฉินอ๋องเพื่อให้หิมะเหินหญิงคนรักบรรลุความปรารถนา หรือจะปล่อยตัวฉินอ๋องไปตามเสียงเรียกร้องของความรู้สึกในเบื้องลึก
การประดาบดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้น แต่ในท้ายที่สุดเมื่อฉินอ๋องพยายามตัดผืนผ้าที่แขวนห้อยอยู่นั้นให้ขาดลงเพื่อเบิกมุมมองที่ทึบทึมให้กระจ่างขึ้น ภาวะจิตที่เคยสับสนของกระบี่หักก็ได้เริ่มผ่อนคลายและสงบลงอีกครั้ง
ผืนผ้าที่ร่วงกรูลงสู่พื้นท้องพระโรงแสดงถึงภาวะการปลดปล่อยความคิดที่เคยยึดมั่นถือมั่นให้วางลงสู่ความนิ่งสงบ และขณะนี้เองที่กระบี่ในใจของกระบี่หัก ( อันเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธแค้น ) ได้หักสะบั้นลงแล้วอย่างแท้จริง
วิธีการเล่าเรื่องโดยอาศัยภาพการปล่อยผ้าให้ร่วงลงพื้นนี้จางอี้โหมวเคยใช้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Ju Dou ( เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ) แต่เป็นการใช้คนละเหตุผลกับเรื่อง Hero นี้ นั่นคือในฉากที่กงลี่กำลังสมสู่อยู่กับชู้รักซึ่งเป็นคนงานของสามีในโรงย้อมผ้า ทั้งคู่ประกอบกามกิจกันจนไปดึงเอาปลายผ้าที่ม้วนแขวนไว้บนขื่อให้หลุดลงมา ผ้าสีแดงจัดที่ถูกม้วนไว้อย่างแน่นหนาคลายตัวออกอย่างรวดเร็วและไหลลงตามแรงดึงดูดของธรรมชาติเสมือนการปลดปล่อยอารมณ์เพศที่ทำไปตามสัญชาตญาณดิบ ไร้ซึ่งข้อคำนึงถึงศีลธรรมหรือความถูกต้องใดๆ
กระบี่หักทะยานเข้าไปประชิดตัวและลงกระบี่ไปที่คอของฉินอ๋อง ปรากฏแผลเป็นรอยถาก เพียงเล็กน้อย การที่กระบี่หักมีโอกาสทองอันจะบรรลุภารกิจที่มุ่งหวังมานานนี้หากแต่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป สร้างความรู้สึกงุนงงให้แก่หิมะเหินและตัวฉินอ๋องเองเป็นอย่างมาก ภาพการต่อสู้ในวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงของฉินอ๋องตลอดเวลาแต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจให้กระจ่างขึ้นได้ถึงเจตจำนงอันแท้จริงของกระบี่หัก
หิมะเหินโกรธกระบี่หักมากและทั้งคู่ก็ไม่ยอมพูดจากันอีก
เรื่องเล่าในมุมมองของกระบี่หักจบลงพร้อมกับข้อสรุปที่ว่าฉินอ๋องจะต้องไม่ถูกฆ่า ด้วยเหตุผลของอักษรหนึ่งคำที่กระบี่หักมอบให้ไร้นาม นั่นคือคำว่า “ใต้หล้า” ( Our Land )
กระบี่หักเขียนคำนี้ลงบนพื้นทราย อันเป็นวิธีเขียนที่ให้ความหมายคำว่า “ใต้หล้า” ได้อย่างชาญฉลาด (ในฉากสีแดงกระบี่หักได้เขียนคำว่า กระบี่ ลงบนพื้นกระบะทรายเช่นกัน อันแสดงถึงแผ่นดินจีนในยุคที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและนองเลือด )
กระบี่หักควบม้าจากไร้นามไปแล้ว แต่ปานเดือนยังคงย้ำเตือนให้ไร้นามเห็นถึงคุณค่าของคำพูดที่กระบี่หักได้กล่าวไว้ นางยืนยันว่าเจ้านายตนเป็นคนดีมีคุณธรรมและมีเหตุมีผล ปานเดือนในฉากนี้ ทำหน้าที่สะท้อนความสำคัญของคำว่า “ใต้หล้า” ให้ไร้นามได้ตระหนักอีกครั้งผ่านมุมมองของหญิงรับใช้ที่อยู่กับกระบี่หักมานานและเข้าใจถึงเจตจำนงอันยิ่งใหญ่นั้นเป็นอย่างดี