ผู้เขียน หัวข้อ: ร่างกายตาย จิตใจไม่ตาย  (อ่าน 1649 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
ร่างกายตาย จิตใจไม่ตาย
« เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 04:07:12 am »
เทศน์อบรมฆราวาส

เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ทา จารุธัมโม

ณ วัดถ้ำซับมืด อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

เวลา ๑๖.๐๐ น.

ร่างกายตาย จิตใจไม่ตาย

วันนี้ ถ้าธรรมดาเรียกว่าเป็นวันโอกาสอันดี แต่วันนี้โอกาสไม่ค่อยดี เพราะเรื่องความพลัดพรากจากกันเป็นเรื่องที่สัตว์โลกทั้งหลายไม่ต้องการ แม้แต่สัตว์ไม่ได้เรียนหนังแส่หนังสือเหมือนเราเขาก็กลัวตายเหมือนกัน วันนี้มีต้นเหตุอันใหญ่หลวงคือหลวงพ่อทาท่านมรณภาพแล้ว จะบรรจุหรือจะเผาศพท่านในวันนี้ ให้ท่านทั้งหลายได้หันหน้าเข้าสู่เมรุนั้นดูทุกคนๆ ที่นั่งนี่ทั้งหมด เอา หันหน้าดูให้เห็นทุกคน เป็นอย่างไรดู นี่ละคือเราคนหนึ่งจะเข้าเมรุอย่างนั้น แต่ตายนั้นตายด้วยวิธีการต่างๆ เผาหรือฝังอะไรก็แล้วแต่วิธีต่างๆ แต่จะเข้าในจุดสุดท้ายได้แก่ความตาย

ให้พากันจำเอาไว้ อย่าพากันประมาท เรื่องความตายเห็นไหมคนมาทั่วแผ่นดินนี่ คนตายเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ แต่คนมาทั่วแผ่นดินเลยวันนี้ดูซิน่ะ กระเทือนไปหมด เรื่องความตายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไรพอที่จะนอนใจ หาอยู่หากินวันหนึ่งๆ ถึงค่ำแล้วก็นอน นอนหลับฝันครอกๆ แครกๆ ไป ไม่ได้คิดหน้าอ่านหลังว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร นี่ละดูเอาวันนี้เป็นพยาน ขอให้ท่านทั้งหลายได้พินิจพิจารณา

พระพุทธเจ้าที่จะเสด็จออกทรงผนวช ก็เห็นเรื่องความตายนี้เองเป็นต้นเหตุ จากนั้นก็เห็นเพศสมณะที่จะออกจากกองทุกข์ทั้งหลาย เห็นเพศแห่งความตายนี้แล้วก็เกิดความสลดสังเวช แล้วก็ไปเห็นเพศแห่งสมณะที่ท่านบำเพ็ญเพื่อความพ้นจากทุกข์ ท่านก็เสด็จออกทรงผนวชได้ตรัสรู้ขึ้นมา เพราะเทวทูตผู้บอกเหมือนกับเทวดา เทวทูตคือผู้บอกอันประเสริฐให้เราทั้งหลายได้พินิจพิจารณา

วันนี้ เป็นวันที่เราทั้งหลายจะได้หันหน้าดูความตายของตัวเอง ให้หันหน้าเข้าไปเมรุนี้จะเป็นแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น อย่าพากันประมาท การประมาทไม่ใช่เป็นของดิบของดีอะไรเลย คือความนอนใจ กินแล้วนอนก่อนแล้วกิน ตื่นมามื้อเช้าหาอยู่หากิน พอถึงค่ำก็มานอนหลับๆ ตื่นขึ้นมาหากิน วันนี้หากินวันนั้นสุดท้ายก็มาตายเหมือนกันกับเขานี่แหละ อย่าพากันนอนใจ

คุณงามความดีที่พระพุทธเจ้าองค์เลิศเลอประเสริฐ ไม่มีใครเสมอเหมือน สอนไว้แล้วขอให้นำเข้าไปสู่จิตใจ อย่าเอาตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เข้ามาสู่จิตใจมันจะเผาหัวใจให้เป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กันหมด ถามที่ไหนเป็นอย่างไรสบายดีเหรอ สบายอะไรมีแต่ไฟเผาหัวอก เรื่องธรรมไม่มีในใจแล้วหาความสบายไม่ได้ ขอให้ทุกท่านหันหน้าเข้าสู่อรรถสู่ธรรม ความตายมีด้วยกันทุกคน ถึงกาลเวลาจะตายแล้วเป็นอย่างนี้แหละ

ใครสร้างความดีความชั่วไว้มากน้อยก็จะเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าสร้างความชั่วไว้ก็คือสร้างพวกศัตรูคู่เวรติดตามตัวเองไป เผาตัวเองในแดนมนุษย์นี้แล้วยังจะไปเผาในแดนนรกอีก ว่านรกไม่มีเหรอ ใครเป็นคนสอนไว้นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน คนตาบอดหูหนวกสอนได้อย่างไร ไม่มีใครสอนได้ นอกจากศาสดาองค์เอกเท่านั้นเป็นผู้สอนไว้ด้วยความถูกต้องแม่นยำ เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เราทั้งหลายให้ฟังให้ถูกต้องตามอรรถตามธรรม ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ท่านตรัสไว้ชอบแล้ว ฟังให้ชอบ เอาไปพินิจพิจารณา

เรื่อง ความเป็นความตายมีอยู่กับทุกคน วันนี้ก็เอาศพนี้เป็นพยาน คือหลวงพ่อทาท่านก็บำเพ็ญความดีงามมา ท่านรู้สึกว่ามีความอบอุ่นภายในจิตใจของท่าน เรื่องตายตายด้วยกัน แต่ผู้หนึ่งทำความดีงามตายก็ไปด้วยความอบอุ่น แต่ผู้สร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามกใส่ตัวเองตายแล้วไฟเผาทั้งเป็นแล้วก็ไป เผาในเมืองผีอีก เรายังไปลบล้างว่าเมืองผีไม่มี เวลาไปเจอเข้าแล้วมันสายไปเสียแล้ว สายไปแล้ว จำเป็นต้องจมอยู่ในนรกกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะได้ฟื้นตัวขึ้นมา

นี่ คืออำนาจแห่งความมืดบอด ไม่ยอมฟังเสียงนักปราชญ์ฉลาดแหลมคมคือองค์ศาสดาสอนไว้ว่านรกมี มันไม่ยอมฟังเสียง เวลาตายแล้วไปเจอเอานรก เจอเอาอย่างจังๆ หลีกไม่ได้ มันสายเกินไป จมด้วยกันไป จนกว่าจะหมดบุญหมดกรรมอันนั้นแล้วก็จะได้เคลื่อนขึ้นมา ถ้าเคลื่อนขึ้นมายังลืมตัวอีกยังลงอีก ลงไม่หยุดไม่ถอย ขอแต่การสร้างความชั่วช้าลามก สร้างมากเท่าไรมีมากเท่านั้น ได้มากเท่านั้นเผามากเท่านั้น ตลอดไป ไม่มีคำว่าอิ่มพอ ไปตกนรกหลุมนี้อิ่มพอแล้วไม่มี จะให้เหมือนคนกินข้าว ไม่เหมือนนะ ตกลงหลุมนี้แล้วมาสร้างความชั่วอีกตกอีกๆ ผู้ที่ไปสวรรค์ พรหมโลก นิพพานก็เหมือนกัน เอาจนกระทั่งถึงนิพพานพอ นั่นละสร้างความดีงามต่างกันอย่างนี้

ท่าน ก็สอนไว้แล้วทั้งสองด้าน ด้านลงสู่ความล่มจม คือสร้างบาปสร้างกรรมท่านก็สอนไว้แล้ว แล้วสร้างความดีงามเพื่อขึ้นสู่ความสุขความเจริญ ตั้งแต่แดนมนุษย์ ผู้มีวาสนาบุญญาภิสมภารจนกระทั่งถึงสวรรค์ เทวโลก แล้วพรหมโลก ถึงนิพพาน นี่ก็ศาสดาองค์เอกสอนไว้ ไม่ใช่คนตาบอดหูหนวกมาสอน เราอย่าฟังแบบหูหนวกตาบอดฟัง ไม่สนใจที่จะนำมาคิดไตร่ตรองบ้างเลย ใช้ไม่ได้นะ ผู้สอนเป็นศาสดาองค์เอกมาสอนโลก ผู้ฟังเป็นอันธพาลฟังมันเข้ากันไม่ได้ ตายแล้วใครจะมาจมลงในนรก

พระพุทธเจ้าไม่ได้มาแบ่งสันปันส่วนกับพวกเรานะ สอนไว้ด้วยความเมตตาสงสารสัตว์ล้วนๆ ที่เรียกว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทำประโยชน์ให้แก่สัตว์โลกไม่มีประมาณ นั่นพระพุทธเจ้าท่านสอนด้วยความเมตตา เราอย่าสักแต่ว่าได้ยินได้ฟังแล้วก็แล้วไปๆ เพราะอำนาจของกิเลสตัณหามันท่วมท้นในหัวใจเลยลืมบาปลืมบุญไปหมด สร้างตั้งแต่บาปหาบตั้งแต่กรรมตายแล้วจมลงในนรก ลงไปแล้วก็ปิดทางเดินของตัวเอง ตกนรกกี่หลุมๆ มากี่ครั้งแล้วขึ้นมาอีกก็เหมือนว่าไม่ตกอีก สร้างบาปสร้างกรรมอีกไม่มีความเข็ดหลาบอิ่มพอ แล้วก็ไปจมอีกๆ อยู่อย่างนี้มีอย่างเหรอ ให้ฟังเสียงท่านผู้เป็นจอมปราชญ์ศาสดาของเรา ถึงจะถูกต้องดีงาม

วันนี้ ก็มีพยานแล้ว ท่านผู้ตายก็จะมาเผาที่นี่ เราทุกคนนั่งอยู่นี้ไม่มีใครเว้นได้เลย เป็นแต่เพียงว่าต่างกันช้ากับเร็วเท่านั้นเอง ให้สร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ อย่านอนใจ จิตนี้ตายไม่เป็น คำว่าจิตๆ ได้แก่ใจดวงรู้ๆ ครองร่างกายของเราอยู่นี้ ไม่มีคำว่าฉิบหาย ใจดวงนี้ไม่มีคำว่าตาย แม้จะไปตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ความทุกข์มากน้อยยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายก็คือใจดวงนี้ แล้วฟื้นตัวขึ้นมาแล้วมาสร้างความดีงาม สร้างจนเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนกระทั่งถึงสวรรค์ พรหมโลก ถึงนิพพาน ก็ไม่สูญ เสวยบรมสุขอยู่ในนิพพานก็คือใจดวงไม่สูญนี้แหละ

ให้พากันจำเอา ดวงไม่สูญนี้อยู่กับใครเวลานี้ อยู่กับเราทุกคน เราจะประคับประคองจิตใจดวงไม่สูญนี้ไปในทางไหน ถ้าไปในทางชั่วก็จะจมไปเรื่อย ไม่สูญแต่จม ไม่สูญแต่ทุกข์ ทุกข์ตลอดเวลาแต่ไม่สูญ เราก็ต้องได้รับความทุกข์ความทรมานไปตลอดเวลาทั้งๆ ที่จิตก็ไม่สูญ ยอมรับความทุกข์ไปตลอดมันสมควรแล้วเหรอ ให้พากันสร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่บัดนี้

การสร้างความดีนี้เป็นสิ่งที่ไว้ใจตายใจได้ เราอยู่ที่ไหนสบายๆ การสร้างความดี ขอให้พากันสร้างให้ดี อย่าเห็นแก่ได้แก่กิน เห็นแก่หลับแก่นอน เห็นแก่ความเพลิดความเพลินรื่นเริงบันเทิง ไม่เห็นแก่บาปแก่บุญที่ศาสดาองค์เอกสอนไว้ มันเป็นทั้งภัยทั้งเวร ทั้งบุญทั้งกุศล ภัยเวรก็คือความสร้างบาปสร้างกรรมนั่นละ สร้างภัยสร้างเวรให้ตัวเอง สร้างบุญสร้างกุศลคือสร้างคุณมหาคุณให้แก่ตัวเอง จะยกตนเองให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยลำดับลำดาจนกระทั่งถึงนิพพาน แล้วไม่ต้องกลับมาเกิดเสวยกองทุกข์อีกเหมือนสัตว์โลกทั้งหลาย ให้พากันจดจำเอานะพี่น้องทั้งหลาย

การบำเพ็ญการกุศลอย่าได้ตระหนี่ถี่เหนียว การทำบุญให้ทานอย่าตระหนี่ มีห้ามีสิบอะไรให้แบ่งทาน อย่ามีแต่กินอย่างเดียวๆ ใช้ไม่ได้ ลิ้นปากมันกลืนไปหมดแล้วก็หายไปเลยๆ ส่วนใจนี้เรียกว่าแห้งผากอยู่ที่ใจ ใจไม่ได้รับบุญรับกุศลเลย ร่างกายเอาไปกินหมด ได้มาเท่าไรก็เอามาหล่อเลี้ยงร่างกาย กินแล้วตายแล้วก็เน่าอืดขึ้นรา จากนั้นก็เอามาเผาอย่างนี้ ไม่เผาก็ฝัง ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเป็นเพียงดินน้ำลมไฟในร่างกายของคนของสัตว์แต่ละรายๆ พอส่วนผสมแตกกระจายออกจากกันแล้วก็เรียกว่าคนตายสัตว์ตายเท่านั้น

ให้สร้างบุญสร้างกุศลด้วย แบ่งสำหรับธาตุขันธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อให้อยู่ได้กิน ครองชีพไปถึงวันเวลาจนกระทั่งถึงวันตายด้วย แล้วสร้างบุญกุศล นำบุญกุศลนี้เข้าสู่ใจ ให้ใจได้เสวยความดีงามของตนเอง ร่างกายตาย จิตใจไม่ตาย ให้ใจได้อาศัยคุณงามความดีที่เราสร้างไว้นี้ด้วย ไปสู่สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ล้วนแล้วตั้งแต่ผู้มีบุญเป็นอาหารทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจของผู้นั้นละไปสู่ พรหมโลก สวรรค์ นิพพาน

ให้พากันสร้างนะ อย่าอยู่เฉยๆ เวลานี้ศาสนายิ่งจืดลงๆ กิเลสทับถมเข้าทุกวันๆ ว่าบาปคงจะไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ที่สร้างบาปกันหนาแน่นเต็มโลกเต็มสงสาร ว่าบาปไม่มีสร้างแต่บาปๆ สร้างแต่ฟืนแต่ไฟแล้วว่าบาปไม่มีๆ อันนี้ละจะเผาคนที่ว่าบาปไม่มี ผู้ที่ว่าบาปมียังมีขยะแขยงระมัดระวังแล้วไม่สร้าง เลือกเฟ้นในสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายออก ส่วนที่ดีก็ปฏิบัติตนให้เป็นคนดีเข้าไปคนนี้ก็จะมีความอบอุ่น ตายที่ไหนก็ตามเถอะคนมีบุญมีกุศลแล้วตายที่ไหนเป็นคนบุญทั้งนั้น คนเป็นบาปตายที่ไหนก็เป็นบาป เอาพระทั้งประเทศไทยมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ไม่มีความหมายนะ มันมีความหมายอยู่กับตนผู้สร้างบุญและบาปนี้เท่านั้น

ถ้าเราสร้างบาปนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา เท่าไรก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเราสร้างบุญสร้างกุศลไม่นิมนต์พระมาก็ตาม บุญกุศลที่เราสร้างนั้นสำหรับเป็นเครื่องหนุนเรา กุสลา ธมฺมา ธรรมยังบุคคลให้เฉลียวฉลาดสร้างบุญสร้างกุศล แล้วไปสวรรค์นิพพานได้ ไม่จำเป็นต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา ก็ได้ เอาให้มันชัดๆ อย่างนี้ซิพวกเราทั้งหลาย

การปฏิบัติธรรมอย่าพากันย่อหย่อน เวลานี้ศาสนาแทบจะไม่มีในชาวพุทธเราแล้วนะ มีตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความไม่รู้จักเป็นจักตายเต็มหัวใจทุกคน มันจึงพากันดีดกันดิ้นทั้งเขาทั้งเรา ไปที่ไหนก็ว่าโลกเจริญๆ มันเจริญที่ไหน เจริญตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจ เหล่านี้หรือมันเป็นน้ำเป็นท่าพอจะให้ชุ่มเย็น มันเป็นฟืนเป็นไฟกันทั้งนั้น ให้พากันระมัดระวัง สร้างความดีงามซิ

เรา ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วเป็นคนหมดราคานะ หมด หมดทั้งๆ ที่ยังไม่ตายอยู่นี้แหละ หมดราคา ลงไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นคนไร้ค่าไร้ราคา ไม่มีราคา ตายแล้วก็จมไปเลย ถ้าคนเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นคนมีค่ามีราคา ถึงจะทุกข์จนข้นแค้นขนาดไหนหัวใจเต็มไปด้วยอรรถด้วยธรรม ความเชื่อความเลื่อมใสในธรรมสร้างคุณงามความดี มีมากมีน้อยสร้างไปๆ คนนี้ละจะเป็นเศรษฐีในอนาคตกาล แต่คนที่ลืมเนื้อลืมตัวว่ามั่งมีศรีสุข มีเงินเป็นหมื่นๆ แสนๆ ประสากระดาษ ประสาแร่ธาตุต่างๆ ตายแล้วไม่เห็นไปเผาคนได้นะ ฟืนไฟนั่นแหละมาเผา เจ้าของก็จมไปเปล่าๆ เกิดประโยชน์อะไร

ให้พากันพิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้ เขา สมมุติอะไรมาก็เป็นบ้ากับเขาๆ ส่วนความดีงามที่ศาสนาสอนไว้ถูกต้องแม่นยำไม่สนใจ นี่ละมันเสียตรงนี้ละพวกเรา ให้พากันเข้าอกเข้าใจตามนี้แล้วไปประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติตัวเป็นคนดีอยู่ไหนดี ใจนี้ไม่เคยตาย ไปไหนใจมีอรรถมีธรรมสบายไปหมด เกิดภพใดชาติก็ตามขอให้มีธรรมในใจ สร้างความดีให้มีเถอะ ไม่ต้องไปหาที่เกิดละ บุญกุศลพาไปเกิดเอง เต็มเมืองฟ้าเมืองสวรรค์นั่นละ เช่นเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ถึงนิพพาน มีตั้งแต่บุญกุศลพาให้สัตว์ทั้งหลายไปเกิดทั้งนั้นละ เรื่องนรกหมกไหม้ตั้งกี่หลุม ท่านแสดงไว้เพียงย่อๆ ๒๕ หลุมนรกนั่นละ นี่สำหรับคนชั่ว ใครชั่วตกนี้ทั้งนั้นๆ ท่านสร้างไว้ให้ใคร ไม่ได้ให้ใครละ แต่ใครเก่งก็ให้ไป ไปทำความชั่วช้าลามกจะลงนรกหลุมนั้นจนได้นั่นแหละ ให้พากันจดจำเอานะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย

วันนี้ เรามาถวายเพลิงท่านหลวงพ่อทา หลวงพ่อทาก็เป็นพยานหลักฐานให้เราทั้งหลายได้สะดุ้งถึงตัวเองว่าเราก็จะต้อง ตายเหมือนท่าน ท่านตายก่อนเราตายทีหลัง วันใดวันหนึ่งต้องตายด้วยกัน ให้อยู่ค้ำฟ้านี้อยู่ไม่ได้ด้วยกัน แม้ผู้เทศน์เวลานี้ก็จะตาย หลวงตาบัวนี้ก็จะตายเหมือนกันกับท่านทั้งหลาย แต่ขอพูดอย่างยันเลยว่าหลวงตาบัวตายไม่มีห่วง หมดห่วงทุกอย่าง เราปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อายุ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน ปฏิบัติรักษาศีลรักษาธรรมมาเวลานี้ได้ ๗๓ ปีนี้แล้วกับ ๑ เดือน

เรา ปฏิบัติศีลธรรมมาเป็นความอบอุ่น จิตใจของเรากับศีลกับธรรมกับวินัยกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตั้งแต่วัน บวชมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ตนแม้นิดหนึ่งเลย เป็นความชุ่มเย็นเป็นสุข จากนั้นก็บำเพ็ญจิตใจที่มันดีดดิ้นไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ฟาดมันลงให้มันขาดสะบั้นๆ จนไม่มีกิเลสตัณหาภายในใจ ว่างหมดในโลกธาตุ เพราะฉะนั้นเราตายจึงตายด้วยความว่าง เราไม่ได้ตายด้วยความห่วงใยยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนโลกตาย

พูดให้มันชัดธรรมพระพุทธเจ้า เราไปหาอยู่หากินได้มา ๙ บาท ๑๐ บาท เรามาพูดให้กันฟัง วันนี้ได้ ๕ บาท ๑๐ บาททำไมเราพูดได้ นี่การเสาะแสวงหาความดีตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งป่านนี้เอาความดีมาพูดให้ พี่น้องทั้งหลายมันขวางโลกแล้วเหรอ เอาพิจารณาดูซิน่ะ เราปฏิบัติเหล่านี้เราอาจหาญชาญชัยต่อเรื่องความเป็นความตาย ตายแล้วไม่มีอะไรมีความหมายที่จะมาทำลายเราได้ ธรรมชาตินี้ขอให้บริสุทธิ์เสียอย่างเดียวตายที่ไหนตายได้หมด ทำจิตให้มันบริสุทธิ์ด้วยจิตตภาวนาเป็นของสำคัญ

พระเราอย่าขี้เกียจขี้คร้าน ให้ภาวนาชำระจิตใจตัวพาเกิดพาตายทับถมกันอยู่นี้ไม่หยุดไม่ถอยออกให้หมดภายในจิตใจ เมื่อกิเลสนี้ออกหมดแล้วเรื่องการเป็นการตายนี้จะสิ้นซากไปๆ จนกิเลสหมดโดยสิ้นเชิง ความตายไม่มี เหลือแต่อมตธรรม ภายในจิตใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ตายที่ไหนตายได้ทั้งนั้น เราจึงกล้าพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังจากการปฏิบัติของตนมาด้วยความอาจหาญชาญชัย ไม่มีสะทกสะท้าน บอกว่าเราตายนี้เราจะไม่กลับมาเกิดอีก

ตั้งแต่ บัดนั้นเป็น ๕๖-๕๗ ปีนี้แล้ว ตั้งแต่กิเลสพาให้ตายกองกันมานี้ ได้ขาดสะบั้นลงไปเป็นเวลา ๕๖-๕๗ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั่นละเป็นวันที่กิเลสพังทลายลงจากหัวใจ ฟ้าดินถล่มในคืนวันนั้นที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี ตั้งแต่บัดนั้นมาเรียกว่าจ้าไปหมดโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรปิดบังหัวใจนี้ได้ มีแต่กิเลสอย่างเดียวปิดให้มืดบอดๆ เอาตามาใส่คนหนึ่งสักร้อยตาก็มืด เอาพระอาทิตย์มาช่วยอีกก็มืดอีก พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปไม่ต้องไปหาพระอาทิตย์พระจันทร์มาจากที่ไหน จ้าตลอดเวลา ตายที่ไหนตายได้ทั้งนั้น

นี่ เราอาจหาญในการปฏิบัติธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟังเชื่อหรือไม่เชื่อ เราปฏิบัติมาแทบล้มแทบตายจนกระทั่งป่านนี้ ได้ของดิบของดีมากน้อยมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เป็นของกีดขวางโลกแล้วเหรอ เอาไปพิจารณาซิ นี่บอกชัดๆ เลยว่าเราจะไม่กลับมาเกิดอีก เราชัดเจนแล้วในหัวใจ เป็นคนละฝั่งแล้วระหว่างวัฏวนกับวิวัฏฏะ ถึงนิพพานทั้งเป็น จ้าอยู่ในหัวใจนี้ เราสงสัยอะไรทุกวันนี้ หายสงสัยทุกอย่าง การอยู่การเป็นการตายนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรมีน้ำหนักต่างกัน เป็นอยู่กับตายไปก็คือธาตุขันธ์สลายจากกันเท่านั้น ส่วนธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีอิริยาบถว่ายืนเดินนั่งนอน เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ วิมุตติพระนิพพานคืออันนั้นเอง

นี่ ได้ถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานสมใจแล้วที่เราบำเพ็ญมาแทบเป็นแทบตาย เวลาไปอยู่ในป่าในเขานี่ โถ ของง่ายเมื่อไร ไม่ได้นึกว่าจะได้มาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟังจากผลที่บำเพ็ญว่าจะได้เป็น อย่างนี้ นี่ก็ได้เป็นอย่างสมใจแล้วไม่มีสงสัยในโลกธาตุนี้ เรียก ว่าหมดแล้วป่าช้าในหัวใจเรา จะไม่มีอะไรมาฝังมาเผาเราอีกได้แล้ว เพราะจิตถึงบริสุทธิ์วิมุตติพระนิพพานทั้งเป็น แล้วเที่ยงหรือไม่เที่ยงก็ดูหัวใจดวงนี้ก็แล้วกัน นี้ละการปฏิบัติความดีงาม

มัน ขวางโลกแล้วหรือการพูดอย่างนี้น่ะ การพูดอย่างนี้เพื่อเป็นการชักจูงให้มีน้ำใจแก่พี่น้องทั้งหลายได้อุตส่าห์ พยายามปฏิบัติ บุญเป็นบุญ บาปเป็นบาป บุญมี บาปมี ทำไมจะพูดเรื่องบุญเรื่องบาปไม่ได้ ผลแห่งบุญแห่งบาปมีทำไมจะพูดเรื่องผลแห่งบุญแห่งบาปไม่ได้จนกระทั่งถึงความ บริสุทธิ์มี พระนิพพานมีทำไมจะพูดถึงพระนิพพานไม่ได้ล่ะ เอาไปฟังให้ดีนะทุกคน ฟังให้ดี นี่เราสอนพี่น้องทั้งหลายสอนด้วยความไม่สงสัยทุกอย่าง หมด


ในชีวิตนี้เป็นชีวิตสุดท้ายของเรา เราไม่มีอะไรอีกแล้วไม่ว่าข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวา หมดโดยประการทั้งปวง เพราะเป็นสมมุติทั้งมวลที่อยู่รอบด้านนี่ ธรรมชาติวิมุตติหลุดพ้นนั้นไม่อยู่กับอะไร ไม่ขึ้นกับอะไร เป็นธรรมธาตุ ถ้าว่านิพพานเที่ยงก็คือใจดวงที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเต็มที่แล้วนั้นแล

ขอ ให้ทุกท่านได้ปฏิบัติ เฉพาะกรรมฐานเรานั่นละอย่าขี้เกียจขี้คร้าน นั่งภาวนา ภาวนาพระกรรมฐานเรานั่นน่ะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจชำระจิตใจดวงที่มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา กระจายแตกไปหมดแล้วเหลือแต่อมตมหานิพพานเต็มหัวใจอยู่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้นละ อย่างที่พูดนี้เป็นอย่างไรท่านทั้งหลายว่าหลวงตาบัวคุยเหรอ โม้เหรอ เราไม่ได้โม้เราเอาความจริงมาพูด ของปลอมก็หลอกกันมากี่ครั้งกี่หน กี่ปีกี่เดือน กี่กัปกี่กัลป์ หลอกมาแล้วได้ผลประโยชน์อะไร เราเอาของจริงมาพูดนี้มันขวางโลกแล้วเหรอ เอาไปพิจารณานะ ถ้าไม่ขวางโลกเอาไปเป็นคติเครื่องเตือนใจสอนตนให้สร้างความดีงามให้มีแก่จิต ใจของตน เมื่อถึงเต็มที่แล้วไม่ต้องถามหาพระนิพพาน ไม่ต้องถามหาความเกิดแก่เจ็บตาย ขาดสะบั้นไปหมดจากจิตใจที่บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว

วันนี้ ก็เทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายได้คิดได้อ่าน พินิจพิจารณาถึงเรื่องความเกิดความตาย ความเกิดความตายนี่ก็เพราะกิเลสตัณหา ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความเกิดความตายต่อไปอีกไม่มี มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ เรียกว่านิพพานเที่ยง เอาละพากันจำเอานะ การเทศนาว่าการก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์แก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
http://www.luangta.c...ID=4478&CatID=2

ขอบพระคุณที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=36519
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 31, 2011, 04:12:34 am โดย lek »