วิถีธรรม > ศีลเจพรต

วันตรุษจีน หรือ ปีใหม่จีน

<< < (3/5) > >>

sithiphong:
8 เรื่องดี ๆ ที่ลูกหลานชาวจีนควรทำรับวันตรุษจีน
-http://hilight.kapook.com/view/80636-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

             รู้กันอยู่แล้วว่าเทศกาลตรุษจีนก็คือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั่วโลกนั่นเอง ซึ่งหากเป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่สากลอย่างช่วงวันที่ 1 มกราคม หลายคนก็จะพากันไปเดินทางท่องเที่ยว ไปทำบุญไหว้พระ สวดมนต์ข้ามปี พบปะญาติมิตรพี่น้อง เลี้ยงฉลอง เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึง ไม่ต่างจากชาวจีน ที่พวกเขาเองก็มีการถือเคล็ดความเชื่อแบบนี้ในช่วงวันตรุษจีนเช่นกัน อยากรู้ไหมว่า มีสิ่งใดที่ชาวจีนควรปฏิบัติในช่วงเทศกาลตรุษจีนบ้าง เพื่อเป็นการต้อนรับ วันตรุษจีน 2556 ที่ใกล้จะมาถึงนี้ กระปุกดอทคอม ขอนำความรู้เรื่องสิ่งที่ควรทำในวันตรุษจีนมาบอกกันค่ะ

 1. ไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้ผีไม่มีญาติ

            คนจีนทุกบ้านจะต้องไหว้เจ้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เพราะเป็นธรรมเนียมที่ลูกหลานชาวจีนสืบทอดต่อกันมานานแล้ว โดยเชื่อว่า การไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษ จะนำความสุขมาสู่ครอบครัวนั้น โดยในช่วงเช้า ชาวจีนจะไหว้เจ้าที่ และบรรพบุรุษ จากนั้นในช่วงเที่ยงจะไหว้ผีไม่มีญาติ และจุดขี้ไต้ไว้ 2 ชิ้น เมื่อไหว้ผีไม่มีญาติเสร็จแล้ว จะจุดประทัด และโปรยข้าวสารผสมเกลือ เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งไม่ดีให้หมดไป

2. ทำพิธีรับไฉ่ซิ้งเอี้ย

            ไฉ่ซิ้งเอี้ย หรือ ไฉสิ่งเอี้ย คือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ให้คุณทางด้านเงินทอง และทรัพย์สิน ถือเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญมากที่สุดของชาวจีนก่อนเริ่มเข้าสู่นักษัตรปีใหม่ จะเห็นได้ว่าชาวจีนหลายคนนิยมไปกราบไหว้บูชาเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยในช่วงตรุษจีนมากเป็นพิเศษ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย เรียกโชคลาภเข้ามาสู่ชีวิต ขณะที่หลายบ้านก็จะทำพิธีรับไฉ่ซิ้งเอี้ย ในช่วงหลังเที่ยงคืนของวันซาจั๊บ จนถึงก่อนตี 1
 


3. ประดับตุ๊ยเลี้ยง (คำกลอนอวยพรปีใหม่) ในบ้าน

            หากได้ไปเยือนบ้านคนจีน เราคงจะเห็นกระดาษสีแดง ๆ เขียนอักษรภาษาจีนสีทอง หรือสีดำตัวใหญ่ ๆ แปะอยู่ในบ้าน และที่ประตูบ้าน สิ่งนั้นเรียกว่า "ตุ๊ยเลี้ยง" หรือ คำกลอนอวยพรปีใหม่ของคนจีน ซึ่งเป็นคำกลอนที่มีความหมายดี ๆ อวยพรให้ร่ำรวย มั่งมีเงินทอง มีความสุข มีโชคมีลาภ ค้าขายได้กำไร ส่วนแผ่นที่ติดตรงประตูนั้นจะเขียนคำว่า "ชุก ยิบ เผ่ง อัง" แปลว่า เข้า-ออกโดยปลอดภัย นอกจากนี้ ชาวจีนจะติดภาพเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชาย ที่เรียกว่า "หนี่อ่วย" ไว้ในบ้านด้วย เพราะถือว่าเป็นภาพมงคลของจีน

4. กินเจในมื้อแรกของวันตรุษจีน

            ในเช้าวันใหม่ของวันชิวอิก หรือวันขึ้นปีใหม่ (ปี 2556 ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556) ชาวจีนหลายบ้านจะรับประทานอาหารเจกันในมื้อแรกของปี งดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะเชื่อว่าจะได้บุญเหมือนกับการกินเจตลอดปี

5. ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ สีสันสดใส

            มีธรรมเนียมของชาวจีนอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมานานแล้ว นั่นก็คือ ชาวจีนจะนิยมหยิบเสื้อผ้าสีสันสดใส สีสว่าง ๆ เช่น สีแดง สีทอง ซึ่งเป็นสีแห่งความสุข สีของความมงคลออกมาใส่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เพราะเชื่อว่าจะนำความสว่างสดใส และเจิดจ้ามาให้ผู้สวมใส่ รวมทั้งใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ด้วย ทั้งเด็กเล็ก ๆ ไปจนถึงผู้สูงอายุ เพื่อเอาเคล็ดในวันปีใหม่ให้ชีวิตสดใสราบรื่นเบิกบานไปตลอดปี ส่วนเสื้อผ้าสีขาว สีดำ ถือเป็นสีต้องห้ามในช่วงเทศกาลตรุษจีน เพราะเป็นสีไว้ทุกข์ แสดงถึงความโศกเศร้า

6. รวมญาติกินเกี๊ยว

            ในช่วงเทศกาลตรุษจีนถือเป็นโอกาสหนึ่งที่หลาย ๆ ครอบครัวจะได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง เพื่ออวยพรวันปีใหม่ และพบปะสังสรรค์กัน จึงถือเป็น "วันรวมญาติ" อีกหนึ่งวัน ซึ่งในวันซาจั๊บ คนในครอบครัวจะมาร่วมโต๊ะรับประทานเกี๊ยวด้วยกันในมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ ซึ่ง "เกี๊ยว" นี้ จะต้องพับเป็นก้อนให้เหมือน "เงิน" ของจีน แทนความหมายว่า มั่งมีเงินทอง

 7. อวยพรผู้ใหญ่ ด้วยส้ม 4 ผล

            ตามประเพณีของชาวจีน ในวันชิวอิก ทุกคนจะนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรผู้ใหญ่ ซึ่งเจ้าของบ้านนั้นก็จะต้องรับส้มมา 2 ผล และนำส้มที่ตัวเองเตรียมไว้วางคืนลง 2 ผล พร้อมกับเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงไว้ 1 พาน และสมอจีนไว้รับแขกที่มาอวยพรด้วย



8. รับอั่งเปา-แต๊ะเอีย

            ข้อนี้เด็ก ๆ คงยิ้มแก้มปริแน่นอน เพราะในวันตรุษจีนนี้ เด็ก ๆ จะได้รับซองสีแดง ๆ จากญาติผู้ใหญ่ จะเรียกว่า "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" ก็ได้ เพื่ออวยพรให้เด็ก ๆ เจริญเติบโตแข็งแรง มีโชคลาภ ส่วนคนทำงาน คนที่มีเงินเดือนเป็นของตัวเองแล้ว ก็จะต้องให้อั่งเปากับเด็ก ๆ ในบ้านที่มีอายุน้อยกว่าด้วยเช่นกัน หรือเจ้านายจะให้อั่งเปาลูกน้องก็ได้ อ่านเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "อั่งเปา" ต่อได้ที่นี่เลย "ตามไปดู เรื่องน่ารู้ของ อั่งเปา และ แต๊ะเอีย"

           ยังมีความเชื่ออีกหลายข้อที่ขึ้นอยู่กับประเพณี และธรรมเนียมของแต่ละชุมชน ซึ่งแต่ละบ้าน แต่ละครอบครัวก็จะปฏิบัติแตกต่างกันไป เช่น บางคนอาจเชื่อเรื่องโชคลางมาก ก็อาจจะให้ซินแสช่วยหาฤกษ์ยามก่อนจะก้าวเท้าออกจากบ้านไปเยี่ยมเยียนญาติในวันปีใหม่ หรือหลายคนก็เชื่อว่า หากได้ยินเสียงนกนางแอ่นร้อง หรือเห็นนกสีแดงในวันปีใหม่ จะทำให้โชคดีไปตลอดปีก็มี

           อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อควรปฏิบัติในวันตรุษจีนแล้ว ก็ยังมีความเชื่อเรื่องสิ่งที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีนด้วย ตามมาอ่านต่อได้ที่นี่เลยจ้า "12 ข้อห้าม ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน"



sithiphong:
12 ข้อห้าม ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน
-http://hilight.kapook.com/view/66365-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้ ใกล้เทศกาลวันตรุษจีน 2556 หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน คงจะตื่นเต้นกันไม่น้อย เพราะช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่จะได้พบกับญาติมิตรที่ไม่เจอหน้ากันมานาน และบางคนก็อาจได้รับอั่งเปาของขวัญจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือด้วย แต่ในเมื่อนี่คือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั้งที หลาย ๆ บ้านก็คงจะมีธรรมเนียมปฏิบัติและข้อห้ามที่สืบทอดต่อกันมา ซึ่งในวันนี้จะพาไปดูกันว่ามีข้อห้ามอะไรบ้างที่ไม่ควรทำในช่วงตรุษจีน

          1. ห้ามทำความสะอาดบ้านในวันตรุษจีน

          ชาวจีนมีความเชื่อว่า การทำความสะอาดบ้าน และทิ้งขยะ ในวันตรุษจีนนั้น จะเป็นการการกวาดเอาโชคลาภ เงินทอง ออกไปจากบ้าน แม้ว่าบ้านในช่วงวันตรุษจีนจะสกปรกก็ตาม บางคนที่จำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้าน ก็จะเพียงกวาดเศษฝุ่นไปไว้ที่มุมบ้าน แล้วค่อยเอาเศษฝุ่นนั้นไปทิ้งในวันต่อไป ดังนั้น วันตรุษจีน จึงไม่ค่อยมีคนทำความสะอาดบ้าน แต่จะไปทำความสะอาดกันหนึ่งก่อนวันตรุษจีน เพื่อที่จะให้บ้านสะอาดรับปีใหม่ และใช้บ้านในการต้อนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเยียนอีกทางหนึ่ง

          2. ห้ามสระผมหรือตัดผม

          ชาวจีนจะไม่นิยมสระผมหรือตัดผมกันในวันตรุษจีน หรือบางคนก็จะไม่สระผม 3 วันหลังจากวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า ผม เป็นคำพ้องเสียงและพ้องรูปกับคำว่า มั่งคั่ง ดังนั้น การสระหรือตัดผมในวันตรุษจีน จึงเหมือนกับการนำความมั่งคั่งออกไป

          3. ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะเบาะแว้ง

          ในวันตรุษจีน คนจีนจะงดพูดคำหยาบและสิ่งที่ไม่ดี รวมไปถึงการพูดถึงความตายหรือผี เนื่องจากเชื่อว่า การพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันนี้ จะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปี รวมไปถึงการที่ไม่พูดถึงเลข 4 เนื่องจากเลข 4 ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ตาย ดังนั้น หลาย ๆ คนจึงพยายามไม่ใช้หรือไม่พูดอะไรที่เกี่้ยวข้องกับเลข 4

          4. ห้ามกินโจ๊กและเนื้อสัตว์

          คนจีนมักจะไม่กินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีน เนื่องจากเชื่อว่า คนจนคือคนที่มักจะกินโจ๊กในตอนเช้า ดังนั้น การกินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีนจึงเหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวย และทำตัวเหมือนคนจน ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เนื่องจากเชื่อว่า เทพเจ้าที่ลงมาในตอนเช้าของวันตรุษจีนนั้นเป็นมังสวิรัติ

          5. ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน
 
          คนจีนเชื่อว่า เทพเจ้าแห่งน้ำเกิดในวันตรุษจีน ดังนั้น การซักผ้าในวันตรุษจีนจึงเปรียบเสมือนการลบหลู่ท่าน

            6. ห้ามใส่ชุดขาวดำ

          เสื้อผ้าที่เป็นสีขาวดำ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ดังนั้น การสวมเสื้อผ้าสีขาวดำในวันนี้จึงหมายถึงลางร้าย คนจีนจึงมักสวมเสื้อผ้าสีแดงกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเชื่อว่า สีแดงคือสีที่จะนำความโชคดีมาให้

            7. ห้ามให้ยืมเงิน

          คนจีนบางคนอาจจะหมายรวมการที่ไม่ให้ยืมสิ่งของต่าง ๆ นอกเหนือไปจากเงินแล้ว ซึ่งมีความเชื่อที่ว่า การให้ยืมเงินในวันนี้จะทำให้ทั้งปีมีคนเข้ามาขอยืมเงินตลอด รวมไปถึง หากใครที่ติดเงินใครไว้ ก็ควรที่จะคืนเงินก่อนวันตรุษจีน เพราะเชื่อกันว่า หากติดเงินใครในวันตรุษจีนแล้ว คน ๆ นั้นก็จะมีหนี้สินตลอดปีไม่จบไม่สิ้น

            8. ห้ามทำของแตก

          คนจีนเชื่อกันว่า การทำสิ่งของแตก เช่น ทำแก้วแตก ทำจานแตก หรือทำกระจกแตก ในวันตรุษจีนนั้น จะหมายถึงลางร้ายที่บอกว่าครอบครัวจะแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว ดังนั้นในวันนี้ จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้สิ่งของในบ้านแตกหรือชำรุดเสียหาย แต่หากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็มีวิธีการแก้เคล็ดโดยการพูดว่า "luo di ka hua" ที่แปลว่า ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกลงสู่พื้น

            9. ห้ามซื้อรองเท้าใหม่

          คนจีนจะถือคติที่ว่า จะไม่ซื้อรองเท้าใหม่ในเดือนแรกของวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า รองเท้า ในภาษาจีนออกเสียงว่า Hai ซึ่งคำว่า Hai นี้ มีเสียงคล้ายกับการถอนหายใจ ซึ่งชาวจีนเชื่อว่า นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี

            10. ห้ามร้องไห้

          คนจีนเชื่อกันว่า หากร้องไห้ในวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้พบกับเรื่องไม่ดี และเสียใจไปตลอดทั้งปี ดังนั้น แม้ในวันนี้เด็กเล็กจะดื้อขนาดไหน อากง อาม่า ก็อาจจะปล่อยให้วันหนึ่ง เพราะไม่อยากตีให้เด็กต้องร้องไห้ในวันนี้

            11. ห้ามใช้ของมีคม

          ของมีคมก็เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับวันนี้ ทั้งมีด กรรไกร และอย่างอื่นที่สามารถตัดสิ่งอื่นได้ นั่นเพราะชาวจีนเชื่อว่า การใช้ของมีคมตัดสิ่งของ จะเป็นการตัดโชคดีไปด้วย

            12. ห้ามเข้าไปในห้องนอนคนอื่น

          รู้ไหม คนจีนหลายบ้านมีความเชื่อที่ว่า ในวันตรุษจีนนี้ ห้ามเข้าไปหาใครในห้องนอนด้วย ดังนั้น แม้เจ้าของบ้านป่วย นอนอยู่ในห้องนอน แต่เมื่อมีแขกมาเยี่ยมก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก อย่าให้แขกเข้ามาเยี่ยมในห้องนอนเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นโชคร้าย

          อ่านแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัตินะคะ เพื่อจะได้รับเอาโชคลาภ เงินทอง เข้ามาตั้งแต่วันตรุษจีนตลอดจนทั้งปีนี้เลยนะคะ


sithiphong:
ตามไปดู เรื่องน่ารู้ของ อั่งเปา และ แต๊ะเอีย
-http://hilight.kapook.com/view/66692-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          ตรุษจีนปีนี้เตรียมรับแต๊ะเอียกันหรือยังจ๊ะ? เพื่อน ๆ ที่มีเชื้อสายจีนคงแฮปปี้สุด ๆ เพราะนอกจากบรรดาญาติพี่น้องจะมารวมตัวกันอวยพรปีใหม่แล้ว ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติที่เด็ก ๆ จะได้รับซองสีแดง ๆ จากญาติผู้ใหญ่ที่หลายบ้านเรียกว่า "อั่งเปา" กันด้วย เอ...แล้วจริง ๆ ต้องเรียก "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" กันล่ะ แล้วเขามอบให้กันเพื่ออะไร รู้กันไหมคะ

          จริง ๆ แล้วสิ่งมงคลที่เราได้รับจากญาติ ๆ จะเรียกว่า "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" ก็ได้ทั้งนั้นค่ะ แต่ก็มีความแตกต่างกันนิดหน่อย


อั่งเปา

          โดยคำว่า "อั่งเปา" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หมายถึง ซองสีแดง คำว่า อั่ง แปลว่า แดง ส่วนเปา แปลว่า ซอง หรือ กระเป๋า (ภาษาจีนกลางจะเรียกซองแดงว่า "หงเปา") ซึ่งสีแดงถือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นมงคล ความมีชีวิตชีวา และความโชคดีของชาวจีนอยู่แล้ว ดังนั้น ชาวจีนมักจะใส่เงิน หรือธนบัตรลงในซองแดง เพื่อนำมามอบให้คนรู้จัก หรืออาจจะแลกเปลี่ยนกันเองในหมู่ญาติพี่น้องก็ได้ โดยปกติแล้ว ชาวจีนจะนิยมมอบ "อั่งเปา" ให้ในวันตรุษจีน วันแต่งงาน หรือในโอกาสเปิดกิจการใหม่ เพื่อเป็นการอวยพร

          มาดู "แต๊ะเอีย" กันบ้าง เป็นภาษาจีนแต้จิ๋วเช่นกัน โดย "แต๊ะ" แปลว่า ทับ หรือ กด ส่วน "เอีย" แปลว่า เอว เมื่อรวมกัน "แต๊ะเอีย" ก็หมายถึง "ของที่มากดหรือทับเอว" หรือ "ผูกไว้ที่เอว" คำนี้มีที่มาจากคนจีนสมัยก่อนจะใช้เงินเหรียญที่มีรูอยู่ตรงกลาง หากจะพกไปไหนก็ต้องร้อยเหรียญเป็นพวงมาผูกไว้ที่เอว และในเทศกาลตรุษจีน ผู้ให้ก็จะนำเชือกสีแดงมาร้อยเหรียญไว้ แล้วมอบให้ผู้รับ ทีนี้ผู้รับก็จะนำพวงเหรียญนี้มาผูกไว้ที่เอว เรียกว่า "แต๊ะเอีย" นั่นเอง ส่วนในปัจจุบันไม่มีการใช้เงินเหรียญที่มีรูตรงกลางแล้ว "แต๊ะเอีย" จึงมีความหมายถึง "สิ่งของ" หรือ "เงิน" ที่ใส่ไว้ในซองสีแดง (ส่วนตัวซองจะเรียกว่า "อั่งเปา")


อั่งเปา

          เข้าใจเรื่อง "แต๊ะเอีย" กับ "อั่งเปา" แล้วใช่มั้ยคะ แล้วรู้ไหมว่า จริง ๆ แล้ว "แต๊ะเอีย" ก็มีวันหมดอายุนะ เพราะเมื่อเด็ก ๆ เติบโตขึ้น มีงานทำ มีเงินเดือนเป็นของตัวเองแล้ว ทีนี้จะไม่ได้รับ "แต๊ะเอีย" แล้วล่ะค่ะ แต่จะต้องเป็นคนให้เงิน "แต๊ะเอีย" กับเด็ก ๆ ในบ้านที่มีอายุน้อยกว่าต่อไป

          นอกจากนั้นแล้ว ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่ หรือเจ้านายที่จะให้ "แต๊ะเอีย" หรือ "อั่งเปา" กับเด็ก ๆ หรือลูกน้องได้เท่านั้น แต่ผู้น้อยก็ยังสามารถมอบอั่งเปาให้ผู้อาวุโสกว่าได้เช่นกัน โดยการมอบอั่งเปาให้ผู้อาวุโสกว่า หมายถึง การอวยพรให้ผู้ใหญ่มีสุขภาพดี แข็งแรง อายุยืนยาว

          ส่วนการมอบอั่งเปาให้เด็ก ๆ หมายถึง การอวยพรให้เด็ก ๆ โชคดี มีโชคลาภ เจริญเติบโตแข็งแรง หรือหากผู้ใหญ่มอบอั่งเปาให้ลูกหลานที่ทำงานแล้ว ก็เป็นการอวยพรให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า มีสุขภาพแข็งแรง และหากลูก ๆ ที่ทำงานแล้ว หรือแต่งงานไปแล้วมอบอั่งเปาให้พ่อแม่ ก็เป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวที อวยพรให้พ่อแม่มีอายุยืนยาว ซึ่งการที่ลูก ๆ ให้อั่งเปาพ่อแม่ และพ่อแม่ก็ให้อั่งเปาลูก ๆ ด้วย จะต้องเป็นเงินของใครของมันเท่านั้น หากลูกให้พ่อแม่แล้ว พ่อแม่นำกลับมาให้ลูกต่ออีกที แบบนี้ไม่ได้ค่ะ



อั่งเปา

          ทีนี้ หลายบ้านอาจจะสงสัยกันว่า ควรจะให้อั่งเปาเป็นเงินเท่าไหร่ดีนะ ถึงจะเป็นสิริมงคล ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ให้อั่งเปามักจะนิยมใส่จำนวนเงินเป็นเลขคู่ค่ะ เพราะคนจีนถือว่าเลขคู่เป็นเลขมงคล อีกทั้งหมายถึงทวีคูณ โชคสองต่อ โชคสองชั้น แต่จะให้จำนวนเงินเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับรายได้ด้วยเหมือนกันนะ ถ้ารายได้ไม่มาก หรือให้เด็กเล็ก ๆ ก็อาจใส่ซองสัก 200 400 800 ถ้ารายได้มาก ให้ผู้ใหญ่ ก็อาจใส่จำนวนมากขึ้นตามแต่กำลังค่ะ

          แต่ถ้าพูดถึงจำนวนที่คนจีนนิยมให้ "แต๊ะเอีย" เลข 8 ดูน่าจะเป็นจำนวนยอดนิยมที่สุด เพราะในภาษาจีนเลข 8 อ่านออกเสียงคล้ายกับคำที่มีความหมายว่า ความร่ำรวย ความรุ่งโรจน์ ความรุ่งเรือง หรืออาจจะให้เป็นจำนวนเลข 2 ซึ่งหมายถึงคู่ก็ได้ ขณะที่บางบ้านก็เลือกให้จำนวนเลข 4 ซึ่งเรียกว่า "ซี่สี่" หมายถึง คู่สี่ เพราะถือเป็นสิริมงคล อย่างเช่นให้แต๊ะเอีย 400 ก็จะให้เป็นธนบัตร 100 บาท จำนวน 4 ใบ หรือจะให้เป็นสองเท่า หรือสามเท่าของ "ซี่สี่" ก็ได้ เช่น ให้ 800 หรือ 1,200 บาท ก็เป็นสิริมงคลเหมือนกันค่ะ

          อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคนจะเหลือเงินแต๊ะเอียที่ได้รับมาบางส่วนเก็บไว้ในซอง เพราะถือว่า เงินแต๊ะเอียคือความเป็นสิริมงคล และเป็นเงินขวัญถุง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในวันปีใหม่นั่นเอง

          เอ้า...เข้าใจเรื่อง "แต๊ะเอีย" กับ "อั่งเปา" กันแล้วนะ ยังไงตรุษจีนปีนี้ ก็ขอให้เพื่อน ๆ ได้แต๊ะเอีย ได้อั่งเปากันเต็มกระเป๋านะจ๊ะ..."ซินเจียหยู่อี้ ซินนี้ฮวดไช้ อั่งเปาตั่วตั่วไก๊"

sithiphong:
มาจัดเตรียมของไหว้ตรุษจีน รับวันตรุษจีน 2556 กัน
-http://health.kapook.com/view21160.html-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ประโยคคุ้นหูที่เรามักได้ยินในช่วง "เทศกาลตรุษจีน" วันสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เป็นเสมือนวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั่นเอง โดย ตรุษจีน 2556 นี้ ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ก่อนวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ 1 วัน มีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยอาหารคาวหวานนานับชนิด ว่าแต่ของไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้างล่ะ ใครกำลังอยากรู้ว่า จัดของไหว้ตรุษจีน ต้องใช้อะไรบ้าง กระปุกดอทคอม มีคำตอบมาบอกค่ะ

          สำหรับในวันตรุษจีนนั้น จะมีการเตรียมของไหว้อย่างพิถีพิถัน แบ่งเป็นเนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมหวาน กับข้าวคาว กับข้าวเจ อย่างละ 3 หรือ 5 ชนิด พร้อมสุรา น้ำชา ข้าวสวย และกระดาษเงินกระดาษทองประเภทต่าง ๆ โดยจะจัดเรียงตามลำดับความสำคัญตามชนิดของอาหาร ซึ่งจะมีเสียงเรียกพ้องกับเสียงของคำมงคล และผลไม้ที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะไหว้ก็คือ ส้มมหามงคลสีทอง ที่ชาวจีนเรียกว่าส้มไต่กิก เพราะมีความหมายหมายถึงความสวัสดีมงคลอย่างยิ่ง

          ทั้งนี้ "วันไหว้" จะทำกันในวันสิ้นปี ซึ่งปกติมีการไหว้ 3-4 ชุด เริ่มจาก "ไหว้เจ้าที่" ในช่วงเช้าด้วยชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่ ที่อาจเปลี่ยนเป็นไข่ย้อมสีแดงได้ ขนมเทียน และขนมถ้วยฟู หรือขนมอื่น ๆ ผลไม้ไหว้มีส้มสีทอง องุ่น แอปเปิ้ล พร้อมกับกระดาษเงิน กระดาษทอง ต่อด้วยช่วงสาย ๆ ไม่เกินเที่ยง "ไหว้บรรพบุรุษ" เครื่องไหว้จะประกอบด้วยชุดซาแซ อาหารคาวหวาน ส่วนมากก็ทำตามที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบ เต็มที่จะมี 10 อย่าง นิยมว่าต้องมี น้ำแกง เพื่ออวยพรให้ชีวิตราบรื่น และกับข้าวเลือกที่มีความหมายมงคล ส่วนขนมไหว้บรรพบุรษต่าง ๆ ก็มีความหมายมงคลเช่นกัน

          อย่างไรก็ตาม หลังจากไหว้บรรพบุรษแล้ว ช่วงเที่ยงหรือบ่ายก็จะไหว้ผีไม่มีญาติ จากนั้นก็เป็นช่วงกลางดึกของคืนวันสิ้นปีย่างเข้าตรุษจีน ที่จะมีการไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยให้หันโต๊ะไหว้ไปทางทิศตะวันตก ทั้งนี้ ชาวจีนจะเตรียมจัดของไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างพิถีพิถัน เพราะในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าวันตรุษจีน โลกกำลังหมุนไปทางทิศนี้ แล้วเมื่อย่างเข้าวันปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน ก็ยังนิยมไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ โดยจะนำส้มสีทองจำนวน 4 ใบ ไปมอบให้ด้วยเสมือนนำโชคดีไปให้ เพราะเสียงไปพ้องกับคำว่าทองในภาษาจีนแต้จิ๋ว





          ทั้งนี้ สำหรับความหมายของ "ของไหว้วันตรุษจีน" ได้แก่...


  ความหมายของผลไม้ไหว้วันตรุษจีน

          - กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

          - แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

          - สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)

          - ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล

          - องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน

          - สับปะรด คำจีนเรียกว่า "อั้งไล้" แปลว่า มีโชคมาหา

  ความหมายของอาหารไหว้วันตรุษจีน

          - ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์

          - เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

          - ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

          - หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

          - ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)

          - บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว

          - เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก

          - ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน

          - สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย

          - หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก

          สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ เต้าหู้ขาว เนื่องจากสีขาว คือ สีสำหรับงานโศกเศร้า



  ความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีน

          - ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

          - ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์

          - ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต

          - ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู

          - ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

          - ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค โดย หมั่นโถว มีแบบที่ทำจากหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี ส่วนถ้ามีไส้ เรียก "ซาลาเปา" นิยมไส้เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดี

           นอกจากนี้ยังมี ซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาพิเศษ ทำเป็นรูปลูกท้อ ไส้เต้าซา เพราะถือว่าเป็นผลไม้สวรรค์ ใช้ในงานวันเกิด ใครได้กินอายุจะยืนยาว

          - จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด, มั่วปัง คือ ขนมงาตัด, ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล, กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม และโหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพอง

กระดาษเงินกระดาษทอง

          นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ในการไหว้ตรุษจีนนั้น จะต้องมีการเตรียมกระดาษเงินกระดาษทอง สำหรับใช้ไหว้ด้วย เพราะคนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง" ลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองด้วยการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้บรรพบุรุษได้ใช้ เพื่อแสดงความกตัญญู ซึ่งกระดาษเงินกระดาษทองก็ทั้งแบบที่ใช้ไหว้เจ้า และแบบที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษ คือ

          - กอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน" เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดี ใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

          - กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด ก่อนไหว้ลูกหลานต้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

          - กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

          -  กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตาย

          -  ค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี" เชื่อกันว่าการพับเรือ จะได้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่น ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด

          - อิมกังจัวยี่ คือ แบงก์กงเต๊ก

          -  อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทางไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย

          -  เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์ เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ

          - ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตาย การเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้ทุกคนได้เส้นไหว้เสร็จ ก็จะทำการ "เหี่ยม" หรือจบเหนือศีรษะ ระหว่างนี้ให้ทำการอธิษฐานขอพรไปด้วย แล้วจึงนำไปเผา เมื่อไฟมอดแล้วจึงไหว้ลา เป็นการเสร็จพิธี





          รู้แล้วว่า "ของไหว้ตรุษจีน" มีอะไรบ้าง ทีนี้เราก็ควรจะมารู้จักวิธีการคัดเลือกอาหารเหล่านี้กันด้วย เพราะหลังจากไหว้ตรุษจีนเสร็จสิ้น ของไหว้เหล่านี้ก็จะถูกนำมาปรุงเป็นอาหารให้คนในครอบครัวทานกัน

          โดยนายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวกับเราว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลายบ้านจะมีการไหว้บรรพบุรุษ ด้วยอาหารคาวหวาน ผัก-ผลไม้มากมาย แต่พึงระวังไว้สักนิดว่าอาหารที่นำมาปรุงนั้น ถูกหลักโภชนาการและปลอดภัยหรือไม่ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจมีทั้งยาฆ่าแมลง และสารเคมีอื่น ๆ ที่ปนเปื้อน ถ้าเข้าสู่ร่างกายเราคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นแน่

          "ในการไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่ก็จะใช้ผักไม่กี่ชนิด ซึ่งเราก็มีวิธีการในเลือกผักให้ปลอดภัย โดยดูที่ใบ ต้องไม่มีคราบดินหรือคราบขาวของสารพิษกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อราตามใบ และผักก็ควรมีรูพรุนเป็นรอยกัดแทะของหนอนแมลงอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะผักลักษณะเช่นนี้จะมีคุณค่าทางโภชนาการเหลืออยู่มาก และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อผักที่ปลอดสารพิษ หรือพวกผักเกษตรอินทรีย์น่าจะดีที่สุด" อ.สง่ากล่าว

          ส่วนในขั้นตอนก่อนการปรุงนั้น เราควรล้างผักด้วยน้ำสะอาด 2- 3 ครั้ง และควรแยกผักใบและผักหัวออกจากกันเวลาล้าง โดยผักหัวควรล้างด้วยน้ำเกลือประมาณ 5-7 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อล้างยาฆ่าแมลงที่สะสมอยู่ด้านในออกบางส่วน เพราะความร้อนไม่สามารถล้างยาฆ่าแมลงออกได้ เมื่อเรารับประทานเข้าไป จะเกิดการสะสมและอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และอาหารเป็นพิษตามมาได้

          "ผักประเภทหัวก็เช่นกัน อย่างกะหล่ำปลีก็ควรเอาเปลือกข้างนอกออก และพยายามล้างให้ถึงแกนด้านใน เพราะยาฆ่าแมลงจะตกค้างอยู่ภายใน รวมถึงแตงกวา ถั่ว ก็ควรแช่น้ำเกลือ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมล้างก่อน แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ ที่สำคัญผักทุกชนิดเราควรล้างก่อนที่จะนำมาหั่น เพื่อไม่ใช้น้ำชะล้างคุณค่าทางโภชนาการออกหมด"

          ในส่วนของวิธีการปรุงนั้น ผักทุกชนิดเราไม่ควรต้มจนเละ เพราะนั่นจะทำให้ผักที่เรารับประทานเข้าไปมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย รับประทานสด ๆ น่าจะดีที่สุด

          ผลไม้ก็เช่นกัน ควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้ ผลมันต้องสด ๆ และเลือกผลที่ไม่ช้ำ บางรายคัดแต่ลูกใหญ่ ๆ เพราะคิดว่าจะได้คุณค่าทางโชนาการมากกว่าลูกเล็ก ๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็ได้คุณค่าในปริมาณที่เท่ากันทั้งหมด

          "ผลไม้ที่ประชาชนใช้ไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นส้ม แก้วมังกร แอปเปิ้ล หรือส้มโอ ซึ่งก็ควรเลือกแบบสด ๆ ผลไม่มีรอยช้ำ และควรล้างก่อนรับประทาน เพราะยาฆ่าแมลงมักจะสะสมอยู่บริเวณผิวเปลือก เมื่อเราใช้มือแกะส้ม ยาฆ่าแมลงนั่นก็จะมาติดที่มือเรา และเราก็หยิบเข้าปากรับประทาน ซึ่งนั่นอันตรายมาก" อ.สง่า กล่าว

          ทีนี้มาถึงคราวของคาวอย่างการเลือกเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เราควรเลือกที่เนื้อไม่ซีด ไม่เหี่ยว เปลือกตาสด เนื้อต้องไม่มีรอยเลือดที่แห้งกรัง กลิ่นต้องไม่เหม็นเน่า เนื้อหมู ก็ต้องสีแดงสด แต่พึงระวัง เพราะปัจจุบันพ่อค้าแม่ค้ามักใช้ไฟสีแดงในการหลอกผู้บริโภคว่า หมูนั้นเนื้อแดง อีกทั้งเราควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้และซื้อประจำ เพราะจากการออกสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยังคงพบร้านที่ใช้สารเร่งเนื้อ แดงอยู่จำนวนมาก และใช้นิ้วกดเนื้อหมูลงไป ถ้าเนื้อหมูบุ๋มลงไปโดยไม่กลับคืนมา แสดงว่าเนื้อหมูนั้นเก่าไม่ควรซื้อ ที่สำคัญอย่าเลือกหมูที่ติดมันมากนักเพราะการบริโภคมันหมูมาก ๆ ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

          "ในส่วนของการปรุงเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้เน้นที่ปรุงให้สุกไว้ก่อน ถ้าจำเป็นต้องมีหมู 3 ชั้นในการประกอบอาหารก็ควรเจียวมันให้ออกไปบ้าง เพราะหากบริโภคมาก ๆ จะส่งผลให้แคลอรี่ในร่างกายเพิ่มก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้" อ.สง่า บอก

          นอกจากนี้ ในระหว่างที่ประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษนั้น บางบ้านก็ปล่อยของไหว้ทิ้งไว้โดยไม่มีอะไรปิดให้มิดชิด หรือวางกับพื้น ทำให้มีแมลงวันตัวพาหะนำเชื้อโรคมาตอม และเราก็นำมารับประทานกันโดยไม่รู้ จึงอยากขอเตือนให้มีการอุ่นหรือปรุงใหม่ก่อนนำมารับประทาน เพราะนั่นเสี่ยงต่อโรคทางเดินอาหาร และโรคอุจจาระร่วงได้เช่นกัน

          อ.สง่า ทิ้งท้ายไว้ว่า อาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่จะเป็นแบบผัด ๆ ทอด ๆ ก่อนรับประทานจงพึงระวังสักนิด เพราะอาจทำให้คุณเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนได้ ทางที่ดีควรหันมารับประทานอาหารประเภทต้มน่าจะดีกว่า เช่น ต้มจับฉ่าย เป็นต้น อีกทั้งอาหารที่ใช้ไหว้ส่วนใหญ่ จะเน้นไปในทางรสชาติเค็มเราก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะรสเค็มจะทำให้เลือดข้น ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราได้ทั้งสิ้น...

          ถึงแม้เทศกาลตรุษจีนจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็ควรจะใส่ใจสุขภาพของตนเองอยู่ทุกเวลา เพราะการมีสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้เราต้องทำเอง...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/20405-


sithiphong:
ย้ำเตือนโทษ...ของผงชูรส
-http://health.kapook.com/view26815.html-

ย้ำเตือนโทษ...ของผงชูรส (Woman's Story)

          เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วในห้องครัวเกือบทุกบ้านต้องมี "ผงชูรส" เป็นหนึ่งเครื่องปรุงรสที่อยู่ในครัวอย่างแน่นอน ที่มาของผงชูรสนั้น มาจากประเทศญี่ปุ่น โดยศาสตราจารย์ ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ ค้นพบว่าผลึกสีน้ำตาลที่สกัดจากสาหร่ายทะเลที่ชื่อว่าคอมบุ นั่นก็คือ กรดกลูตามิก อีกทั้งเป็นอาหารประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

          แต่หากรับประทาน "ผงชูรส" มากเกินไป ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เพราะ "ผงชูรส" จะไปทำลายสมองส่วนที่ควบคุมการเจริญเติบโต นอกจากนั้นยังไปทำลายระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาทตา และอาจจะเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรจะรับประทาน เพราะหากรับประทานมากเกินไป ผงชูรสจะผ่านเยื่อที่กั้นระหว่างรก ทำให้ทารกในครรภ์จะได้รับผลโดยตรง

          นอกจากนี้บางคนอาจจะมีอาการแพ้ผงชูรสอีกด้วย ผู้ที่แพ้ผงชูรสนั้นจะมีอาการชา ร้อนวูบที่ปากและลิ้น มีผื่นขึ้นตามร่างกาย แน่นหน้าอก หรืออาจจะมีอาการหายใจไม่สะดวก เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่ผงชูรส หรือไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 ช้อนชาต่อวัน และควรใช้ผงชูรสแท้ที่มีตรา อย. อีกด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเองค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman's Story
-http://www.womanstoryonline.com/-

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version