ผู้เขียน หัวข้อ: ทุกปรากฏการณ์ล้วนผ่านเข้ามาอย่างมีความหมาย โดย...พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)  (อ่าน 1974 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

ในทางพุทธศาสนา เราถือกันว่าโลกนี้  “ไม่มีความบังเอิญ”  เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในชีวิตของเรา ล้วนถูกออกแบบมาอย่างมีความหมายในมิติใดมิติหนึ่งเสมอ ปัญหาก็คือ เราจะเข้าใจความหมายที่ว่านั้นหรือเปล่า? คนบางคน กว่าจะเข้าใจความหมายที่เป็น “สารพิเศษ” ที่ถูกส่งมาพร้อมกับบางปรากฏการณ์ ก็ต้องรอให้ผ่านวันเวลาไปแล้วกว่าครึ่งชีวิต แต่คนบางคนสิ้นชีวิตไปแล้วหลายปี คนรุ่นหลังจึงมองเห็นสารพิเศษที่ถูกส่งผ่านตัวเขา
   
เมื่อคานธีเรียนจบกฎหมายใหม่ๆ มาจากอังกฤษ เขาเดินทางไปทำงานที่แอฟริกาใต้ ระหว่างเดินทาง คานธีซื้อตั๋วรถไฟชั้นหนึ่ง   แต่พอโดยสารไปได้เพียงครึ่งทาง  เขาถูกพนักงานไล่ลงจากรถไฟเหมือนไม่ใช่คน เหตุผลที่คานธีได้รับการปฏิบัติอย่างปราศจากมนุษยธรรมมีเพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือเรื่อง “สีผิว”
   
การถูกไล่ลงจากรถไฟคราวนั้น ทำให้คานธีได้ก้าวขึ้นสู่รถไฟอีกคันหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของคานธีไปอย่างสิ้นเชิง  นั่นก็คือ  “รถไฟสายอิสรภาพ”
   
เป็นอิสรภาพจากความเขลาของมนุษยชาติ ที่วัดคุณค่าของคนกันที่สีผิว เป็นอิสรภาพจากการที่อินเดียถูกสะกดจากกองทัพของอังกฤษมากว่าร้อยปี และเป็นอิสรภาพจากการถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยความกลัวที่คนดำถูกคุกคามโดยคนขาว
   
นับแต่เหตุการณ์ถูกจับโยนจากรถไฟคราวนั้น  คานธีเริ่มเกิดการตระหนักรู้ขึ้นมาว่า ตัวเขาเอง ซึ่งได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดีจากตะวันตก ทั้งยังมีสถานภาพทางสังคมเป็นชนชั้นกลางค่อนไปทางชั้นสูงเสียด้วยซ้ำ  นอกจากนั้นยังมีรากร่วมทางวัฒนธรรมกับพวกผิวขาว คือ เป็นเนติบัณฑิตจากอังกฤษ เขาเองมีรสนิยมวิไลในการดำเนินชีวิต นิยมสวมสูท ผูกเนกไทในขณะทำงาน แต่แล้วในวันที่เขาถูกไล่ลงจากรถไฟสายเหยียดผิว วันนั้นกลับเป็นวันที่ “เปลือกของชีวิต” ที่ห่อหุ้มตัวเขามาทั้งหมดถูกสลัดทิ้งไป เขาเริ่มได้คิดขึ้นมาว่า อารยธรรม ไม่ใช่เรื่องของเสื้อผ้า ไม่ใช่เรื่องของการมีรสนิยมวิไลในการกิน อยู่ ดื่ม กิน และการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่อารยธรรมหมายถึงระดับความสูงต่ำของคุณธรรมในหัวใจคนต่างหาก
   
นับจากเหตุการณ์ถูกไล่ลงจากรถไฟวันนั้น คานธีไม่ใช่นักกฎหมายผู้ปรารถนาจะมีชีวิตรอดด้วยการเป็นนักกฎหมายอีกต่อไป  แต่เขาได้ตั้งปณิธานใหม่ว่า เขาจะเป็นนักกฎหมาย ที่ใช้กฎหมายเพื่อสร้างความยุติธรรมให้กับมนุษยชาติ ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดส่วนตัวเหมือนที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นเพื่อความอยู่รอดร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของมนุษยชาติทั่วโลกร่วมกันโดยถ้วนหน้า
   
ทันทีที่เมล็ดพันธุ์แห่งอิสรภาพผลิบานขึ้นมาในใจของคานธี เมล็ดพันธุ์แห่งอิสรภาพนับแสนนับล้านเมล็ดของมนุษยชาติผู้เป็นพี่น้องผิวสีของเขาในอินเดีย ในแอฟริกาใต้ ในสหรัฐอเมริกา ในลาตินอเมริกา  ก็ได้รับการรดน้ำพรวนดิน และเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งผลิบานไปทั่วโลก  ในที่สุดเมื่อโลกย่างเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ผู้ชายผิวสีอย่างบารัค  โอบามา ก็สามารถเป็นประจักษ์พยานของหน่ออ่อนแห่งอิสรภาพทางผิวสี ที่สามารถแทงเสียดยอดขึ้นมาเป็นชนชั้นนำในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม และเขากำลังทำให้ชาวโลกก้าวข้ามการประเมินคุณค่าของความเป็นคนจากสีผิวมาสู่การประเมินคุณค่าของคนจากความเป็นคน  จริง ๆ กันได้เสียที
   
หากเมื่อกว่าศตวรรษที่แล้ว นักกฎหมายหนุ่มผิวสีที่ชื่อคานธีไม่ถูกไล่ลงจากรถไฟที่แอฟริกาใต้ 
   
ป่านนี้ คนผิวสีจะมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ในระดับเดียวกับคนผิวขาวหรือไม่
   
ป่านนี้ อินเดียจะได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้วหรือไม่
   
ป่านนี้ โลกจะมีรัฐบุรุษที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งโลกที่ชื่อคานธีหรือไม่
   
เมื่อตอนที่สตีฟ  จ๊อบส์ ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทแอปเปิล แมคอินทอช และไอพอด  นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกทุกวันนี้  ยังเป็นนักศึกษาหนุ่มอยู่นั้น  เขารู้สึกไม่มีความสุขกับการศึกษาในมหาวิทยาลัย  จ๊อบส์ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยถึงสองครั้ง การตัดสินใจลาออกครั้งแรก ทำให้เขาเกิดคำถามว่า เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของอารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่า เพื่อพิสูจน์ตรรกะเช่นนี้ เขาจึงตัดสินใจไปสมัครเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วเมื่อเรียนไปได้สักพัก เขาก็ค้นพบว่า การตัดสินใจครั้งแรกของเขานั้นถูกต้องแล้ว เพราะในมหาวิทยาลัย เขาได้เรียนแต่วิชาที่ตัวเองไม่มีความรักและยิ่งเรียนความสุขในชีวิตยิ่งหดหาย วันหนึ่งจ๊อบส์ จึงตัดสินใจหันหลังให้กับมหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง 
   
ระหว่างเดินลงจากตึกมหาวิทยาลัย จ๊อบส์ เดินผ่านห้องเรียนพิเศษห้องหนึ่ง ซึ่งกำลังเปิดสอนวิชา “คัดลายมือ” มีผู้ลงทะเบียนเรียนไม่มากนัก วิชานี้ไม่มีเกรด ไม่มีประกาศนียบัตร ใครใคร่เรียนก็เรียน จ๊อบส์เห็นเป็นวิชาแปลกดี จึงเข้าไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือกับเขาด้วย และเมื่อลองเรียนต่อไป เขาก็ค้นพบว่า วิชานี้ ทำให้เขามีความสุข และเมื่อมีความสุขเป็นบำเหน็จอยู่ในตัวเองตลอดเวลาที่ลงทะเบียนเรียน เขาจึงตัดสินใจเรียนวิชานี้ไปจนจบคอร์ส
   
เพื่อนคนหนึ่งถามเขาว่า เขามาเสียเวลาเรียนวิชาที่ไม่มีดีกรี ไม่มีประกาศนียบัตร และมิหนำซ้ำยังเป็นวิชาที่มองไม่เห็นว่า จะนำไปทำมาหากินได้อย่างไรทำไม จ๊อบส์ตอบคำถามของเพื่อนด้วยรอยยิ้ม เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่า เขาลงทะเบียนเรียนวิชานี้ไปทำไม สิ่งที่เขารู้มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ เรียนแล้วมีความสุขที่สุด
   
อยู่มาวันหนึ่ง จ๊อบส์ ร่วมมือกับเพื่อนคนหนึ่งตั้งบริษัทขึ้นมาตามล่าความฝันของตัวเองที่โรงรถเพียงสองคน เขาและเพื่อนเปิดบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ยี่ห้อแอปเปิล และทันทีที่แอปเปิลออกวางตลาด ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขากับเพื่อนกลายเป็นมหาเศรษฐี และเมื่อชีวิตเปลี่ยนเส้นทางมาทางนี้แล้ว วันหนึ่งเขาก็ผลิตคอมพิวเตอร์อีกยี่ห้อหนึ่งชื่อแมคอินทอช ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ด้านสิ่งพิมพ์ที่ดีที่สุดในโลก วันหนึ่งเพื่อนถามเขาว่า แมคอินทอชจะมีอัตลักษณ์แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ทั่วไปได้อย่างไร
   
จ๊อบส์จึงคิดขึ้นมาได้ว่า แมคอินทอช ต้องเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีฟอนต์ (แบบอักษร) สวยที่สุดในโลก  และนาทีนี้เอง ที่เขารู้สึกว่า  เวลาของการที่จะได้ใช้วิชา “คัดลายมือ” เดินทางมาถึงแล้ว เขาจึงลงมือออกแบบฟอนต์ยุคแรกของแมคอินทอชด้วยตัวเอง และแน่นอนเขามีพรสวรรค์ในเรื่องนี้อย่างชนิดหาตัวจับได้ยาก  ทุกวันนี้ แมคอินทอช เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทั่วโลกรู้จัก และชื่อของสตีฟ จ๊อบส์ ก็กลายเป็นชื่อของบุคคลผู้เป็นแรงดลใจแก่คนรุ่นใหม่ไปทั่วโลก  ทว่า จ๊อบส์ ไม่เคยหยุดตัวเองอยู่เพียงคอมพิวเตอร์เท่านั้น  เพราะยามนี้เขากำลังเขย่าโลกด้วยนวัตกรรมล่าสุดคือไอพอดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางไปทั่วทุกอณูของโลกใบนี้
   
หากคำกล่าวที่ว่า “โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ” เป็นความจริงแล้วไซร้ ใช่หรือไม่เราก็ไม่ควรประหวั่นพรั่นพรึงกับ “บางปรากฏการณ์” (ทั้งในทางที่ดีและร้าย) ที่อุบัติขึ้นมาในชีวิตของเราโดยไม่คาดฝัน  เพราะบางทีบางปรากฏการณ์อาจผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ในฐานะเป็น “ส่วนที่เติมเต็ม” ของชีวิต มากกว่าจะมา “ริบ” เอาบางสิ่งไปจากชีวิตของเรา.


ธรรมะอินเทรนด์ โดย...พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=671&contentID=117475
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...