ผู้เขียน หัวข้อ: นิทานกับคติธรรมคำสอน  (อ่าน 1464 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
นิทานกับคติธรรมคำสอน
« เมื่อ: ธันวาคม 20, 2014, 04:39:44 am »
เรื่อง จุลกาล

ความว่า โจรได้ลักทรัพย์ของตระกูลหนึ่งไป เมื่อเจ้าของติดตาม
ก็ทิ้งห่อของไว้ข้างหน้าอุบาสกผู้ฟังธรรมในเชตวันวิหารตลอดราตรี
แล้วเดินออกมาในเวลาเช้า โจรหลบหนีไป เจ้าของทรัพย์ตามมาเห็น
ดังนั้น เข้าใจว่าจุลกาลอุบาสกลักทรัพย์จึงจับเขาไว้และโบย


หมู่คนใช้ทูนหม้อไปตักน้ำในเวลาเช้า ได้เห็นเหตุการณ์นั้น 
จึงช่วยห้ามและช่วยพูดให้คนเหล่านั้นเข้าใจว่าจุลกาลอุบาสก
เป็นคนเช่นไร ย่อมไม่ประกอบกรรมชั่วเช่นนั้น พวกมนุษย์เชื่อ
จึงปล่อย

เขากลับไปวิหาร เล่าเรื่องทั้งปวงให้ภิกษุทั้งหลายทราบ
ภิกษุทั้งหลายทูลความนั้นแด่พระศาสดา

พระทศพลเจ้าจึงตรัสว่า..
"จุลกาลอุบาสกได้ชีวิตเพราะพวกกุมภทาสีและเพราะเหตุที่ตนมิได้ทำ
อนึ่ง สัตว์ทั้งหลายเมื่อทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเอง เมื่อทำกุศล
ย่อมไปสู่สุคติและนิพพาน ชื่อว่าย่อมบริสุทธิ์ด้วยตนเอง"

พระศาสดาตรัสต่อไปว่า..
"บุคคลทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเองย่อมบริสุทธิ์เอง
ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนหนึ่งจะทำให้อีก
คนหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่"

จบเทศนา จุลกาลอุบาสกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล

ตัณหา 
ตัณหา แปลว่า ความทะยานอยาก อยากมีทรัพย์สิน อยากร่ำรวย อยากจะเกิดใหม่ให้มีีศักดิ์ผศรีดีกว่าเดิม รวมความว่าเรายังติดอยู่ในความอยาก ความอยากเป็นปัจจัยให้เกิด ทีนี้การให้ทานเป็นการตีดความอยาก เพราะตัดความ อยากได้เข้ามา แล้วก็เป็นการตัเอารมณ์ที่ติดในขันธ์5

ในเมื่อคนเราหมดกิเลส อารมณ์ใจก็หมดจากทุกข์ ถ้าอารมณ์ใจหมดจากทุกข์ ถ้วยังมีชีวิตอยู่ ร่างกายมันจัเป็น " อนิจจัง " ก็ไม่ทุกข์ร่างกายจะทุรุดโทรมที่เรียกกันว่าอยู่กับสภาพเหมือนกับ " ทุกข์ขัง " แต่มันไม่ทุกข์ ปล่อยให้กายคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มันทุกข์ของมันเอง ใจเราไม่รับทราบ มันแก่มันโทรม มันป่วยไข้ไม่สบาย มันจะตายก็เป็นเรื่องของมัน อารมณ์ใจก็มีความสุข อย่างนี้เป็น " อารมณ์ใจของพระอรหันต์ ".....

ขอบพระคุณที่มา ลานธรรมจักร

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
นิทานกล่องดำและขาวของพ่อ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 22, 2015, 04:55:04 am »
มีพ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้าน ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่น มัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

" ลูกรัก ระยะหลังมานี้ พ่อรู้สึกว่า ลูกไม่ค่อย มีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมา เถิด "

ลูกชาย ไม่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงาน หนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปาก ถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

" ที่ห้องของผมมีนักเรียน ย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบ ได้คะแนนดีและได้รับ คำชมจากครูบ่อยๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผม อยู่ตลอดเวลา " ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

" แล้วลูกทำอย่างไรเมื่อโดน เขาแกล้ง " ผู้เป็นพ่อถามต่อ

" ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง "

พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธ มากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรก เกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร

ทว่าพ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

" ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง "

ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อยๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

" อีกสามวันจะเป็นวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก "

ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็วๆ

ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาวและสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

" พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

" ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด "

ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

" เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก " พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

" พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ " ลูกชายบอกกับพ่อของเขา " พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ "

ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

" พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้ แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดีๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน "

แม้จะไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุกๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดีๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีก มากมายที่เขียนเรื่อง ราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบๆ

สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหนๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

" ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ "

คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า " วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง "

ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า " ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก "

" ลูกต้องไปเขียนก่อน " พ่อบอกเสียงเรียบ " เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน "

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธ ลงชั่วคราวแล้วทำตาม ที่พ่อบอก

หลังจากหย่อนกระดาษความสุข ความทุกข์ลงในกล่อง กระดาษสีขาวสีดำเรียบ ร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

" โอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้ " ลูกชายอุทานอย่างคาด ไม่ถึง

ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า " ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ "

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว " 

แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคง เหลืออยู่ในนั้น แล้ว

ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ " ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่า กล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ "

แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า " เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมา จากกล่องแล้วมันก็ คือ ขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาด มากวาดมันทิ้งไปให้ หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้อง หมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่ง ความสุขของลูกจะ เต็มไปด้วยความสุข ตลอดเวลา "

" อันที่จริงเมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไปละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ "

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อ เพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ ของเขาว่างเปล่าแล้ว นั่นเอง


บทสรุปของผู้แต่ง

ช่างน่าฉงนจริงๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชาย ไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือ สีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มี ให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรก ที่ชอบโยนขยะ และความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไป ความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

ขอบคุณนิทานดีๆ จากหนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ค่ะ " สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง "  


.....................................................
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม
ทุกอย่างไม่ควรยึดถือ
อกุศลน้อยนิด อย่าคิดทำ   
กุศลน้อยนิด ให้คิดทำ   
ทำกุศลวันละนิด ดีกว่าคิดที่จะทำ   
พระพุทธองค์ยังถูกนินทา
ประชาชนธรรมดามีหรือจะหนีพ้น
ไม่อยากทุกข์แต่ก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เรียนรู้ทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร

ขอบพระคุณที่มา ลานธรรมจักร

ออฟไลน์ กระต่ายเกเร๛

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 407
  • พลังกัลยาณมิตร 583
    • ไม่เล่นฮะ .. ฮิ ฮิ
    • ทำไม่เป็นฮะ .. โฮะ โฮะ  ^๐^
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานกับคติธรรมคำสอน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 22, 2015, 10:38:29 am »

เมฆน้อย กับ ต้นไม้แก่



ต้นไม้แก่ ขอฝนจากเมฆก้อนน้อย
เมฆก้อนน้อยตอบเพียงว่า

น้ำฝนมีอยู่น้อย
กลัวว่ามันคงจะไม่พอให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ

วันต่อมา
เมฆก้อนน้อยก็ยังคงบอกเช่นเดิม
มันน้อยไป จึงไม่พร้อมที่จะให้

เมฆก้อนน้อยจึงเดินทาง และพยายามสะสมฝน
เพื่อที่จะให้มันมากพอ พอที่จะทำให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ

เมื่อมีปริมาณมากพอ
เมฆน้อยจึงกลับมา

แต่สิ่งที่พบข้างหน้า
มีเพียงซากต้นไม้แก่ที่ตายแล้ว

เมฆน้อยได้แต่ร้องไห้แล้วถามว่าทำไม
ความพยายามของฉัน ไม่มีค่าเลยเหรอ

ชายหนุ่มที่นั่งใต้ต้นไม้จึงได้แหงนหน้า
แล้วบอกเมฆน้อยไปว่า

" การที่เราจะให้อะไรแก่ใครสักคนที่เรารัก
มันไม่ต้องรอให้มากพอหรือรอความพร้อมอะไรหรอก
ให้เท่าที่มี ก็ทำให้คนรับชื่นหัวใจได้
ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี
แต่มันก็มีเวลาเป็นเงื่อนไขนะ

อย่าไปรอให้รวย ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
อย่าไปรอให้พร้อม ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
เพราะคนที่เรารัก อาจไม่มีเวลามากพอที่รอเรา "

แล้วก่อนที่ต้นไม้แก่จะจากไป
เขาฝากบอกเธอไว้ว่า ถ้าเห็นเธอผ่านมา
ให้บอกเธอว่า เขารักเธอ

เมฆน้อยได้แต่หลั่งน้ำตาออกมาเป็นเม็ดฝนอย่างไม่ขาดสาย
ให้กับต้นไม้ที่ไม่มีวันแตกใบให้ได้เห็นอีกต่อไป ตลอดกาล

อ่านกี่ทีก็ชอบ..เพราะเตือนสติได้ดีมาก...ในสิ่งที่เรามองข้าม!

.
.

บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย..


ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ

ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง

เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ ครอบครัวเรากลับเล็กลง

เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง

เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น

เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า

แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น

เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้วแต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง

เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง

เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง

ทุกวันนี้ ทุกบ้านมีคนหา รายได้ได้ถึง 2 คน แต่การ หย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นจากนี้ไปขอให้พวกเรา

อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้าง ว่าเพื่อโอกาสพิเศษ

เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิต อยู่คือโอกาสที่พิเศษสุดแล้ว

จงแสวงหา การหยั่งรู้

จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความอยาก

จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น

กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป

ชีวิตคือ โซ่ห่วงของนาที แห่งความสุข ไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด

เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย

น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้

เอาคำพูดที่ว่า "สักวันหนึ่ง……" ออกไปเสียจากพจนานุกรม

บอกคนที่เรารักทุกคนว่า เรารักพวกเขาเหล่านั้น แค่ไหน

อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตาม ที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น

ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย เราไม่รู้เลย ว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง

และเวลานี้….


ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลา ที่จะ copy ข้อความนี้ ไป ให้คนที่คุณรักอ่าน แล้วคิด ว่า "สักวันหนึ่งค่อยส่ง"
คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่ง ตรงนี้ เพื่อทำอย่างที่คุณ ต้องการอีกก็ได้


รักทุกคนครับ

#Boyd Kosiyabong


.

.


 :13: Thanks : นิทาน ดีๆ แฝงคติธรรมให้แง่คิดจาก คุณ จอร์จ คอลลิน (เจ้าของเรื่อง)  และ พี่บอย โกสิยะฯ ผู้นำมาเล่าต่อ แบ่งปัน   ตลอดจน ภาพประกอบนิทาน น่ารักๆ จาก นิทานหัวเถิก by  "คิ้วต่ำ"  มากมายเลยนะคะ ^^
ห มั่ น ทำ ค ว า ม ดี บ้ า ง อ ะ ไ ร บ้ า ง . .

กั น ทุ ก วั น น ะ  ฮ ะ . .


บุ ญ รั ก ษ า ม า ก ม า ย ~ ฮ ะ . . ทุ ก ท่ า น = ∩ _ ∩ =


 
Don't RecyCle Distress. .