ผู้เขียน หัวข้อ: ที่สุดแห่งทุกข์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ  (อ่าน 3092 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



ที่สุดแห่งทุกข์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

(อาการเกิดดับมีอานิสงส์มาก)
อาการเกิดดับ       ที่หลวงพ่อพูดให้ฟังมา เป็นขั้นเป็นตอนมา อาการเกิดดับที่หลวงพ่อพูดนั้น คือมันต้องเป็น ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องเข้าใจ ต้องสัมผัสแนบแน่นกับสิ่งเหล่านั้น ตอนนี้ก็เลยวกมาพูดเรื่องนี้ก่อนว่า ผู้ใดรู้สภาพอาการเกิดดับนั้น มีอานิสงส์มาก ท่านว่าอย่างนั้น คนเกิดมาร้อยปีพันปีก็ตาม ถ้าหากว่าไม่รู้ “สภาพหรือภาวะอาการเกิดดับ” อันนั้น ชีวิตของคนนั้นเป็นหมันเป็นโมฆะ คำว่า เป็นหมันเป็นโมฆะก็หมายถึงว่า ได้ผลไม่สมบูรณ์หรือว่าไม่ได้ผล ว่าอย่างนั้นก็ได้คนที่เกิดมาร้อยปีพันปีก็ตาม สู้เด็กซึ่งเกิดมาเพียงวันเดียวที่รู้สภาวะหรือภาวะอาการเกิดดับเช่นนั้นไม่ได้ คนนั้นแหละที่เกิดมาเพียงวันเดียว รู้ เห็น เข้าใจ สภาวะอาการเกิดดับ แบนแน่นกับสิ่งเหล่านั้น คนนั้นดีกว่าแม้มีอายุเพียงวันเดียวนะ ดีกว่า มีประโยชน์กว่า มีค่ากว่าคนที่เกิดมาร้อยปีนั้น ท่านว่าอย่างนั้น

บัดนี้ ในพระสงฆ์ก็เช่นเดียวกัน ท่านว่า บวชมาได้อายุร้อยพรรษา แต่คนบวชมาอายุร้อยพรรษานั้น หากไม่รู้จักสภาพหรือภาวะอาการเกิดดับ ไม่ได้สัมผัสและไม่ได้รู้อันนั้น การบวชของผู้นั้นน่ะ เป็นหมันเป็นโมฆะเหมือนกัน ไม่มีประโยชน์เลย ท่านว่าอย่างนั้น  ในทางพระพุทธศาสนานี้ ท่านว่าอย่างนั้น บัดนี้บุคคลที่บวชมาเพียงวันเดียว รู้ เห็น เข้าใจ สัมผัสแนบแน่นกับสิ่งเหล่านั้น อันบุคคลผู้ที่บวชมาเพียงวันเดียวนั้นน่ะ มีค่ามีราคา มากกว่าบุคคลที่บวชมาร้อยปีร้อยพรรษานั้น ท่านว่าอย่างนั้น อันนี้ ให้เข้าใจว่า คือว่ามันเป็นคำพูด คนก็เลยไปตีความหมายว่า อาการเกิดดับต้องเป็นอย่างนั้น อาการเกิดดับต้องเป็นอย่างนี้ นี่..เข้าใจอย่างนั้น

(เมื่อมันขาดออกจากกันแล้ว เราจะรู้เอง)
อันที่ผมพูดตอนเช้านี้ ทุกคนต้องประสบอันนี้ อาการเกิดดับอันนี้ มีค่ามาก เพราะว่า เมื่อมันขาดออกจากกันแล้ว เราจะรู้เอง คนอื่นรู้กับเราไม่ได้ เมื่อมันขาดออกจากกันแล้ว เราก็รู้จักว่ามันขาดออกจากกันแล้ว ทีนี้อาจารย์หลายอาจารย์ที่พูดว่า คนผู้ถึงที่สุดแล้วไม่มีกิเลสแล้วนั้น ตายแล้วไม่ต้องมาเกิดอีก ท่านว่าอย่างนั้น แต่คนที่ยังมีกิเลสอยู่ ตายแล้วต้องมาเกิดอีก อันนี้ก็มีความหมายไม่เหมือนกัน หลวงพ่อเคยพูดหลายครั้งว่า อายตนะ...คนที่ยังมีอายตนะอยู่ มันต้องเกิด  คนถ้าไม่มีอายตนะแล้ว ไม่ต้องเกิด อันนี้นี่คนอาจจะฟังไม่ถูก ไม่เข้าใจก็ได้ หรือจะถูกก็ได้

(มันต้องเป็นแล้วจึงจะมีญาณเข้ามารู้)
                ตอนนี้ก็เลยมาพูดเรื่องพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าก็ตาม พ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังอย่างนี้ ถึงแม้มีฝ้ายเส้นเดียวหรือเส้นไหมเส้นเดียว มาขึงไว้ที่ตรงกลาง แล้วก็พระอรหันต์นอนข้างนี้ สตรีเพศนอนข้างนั้น ก็นอนได้ ไม่เป็นไร ก็แสดงว่ามันขาดหมดแล้ว คือสิ่งนั้นมันหมดแล้ว เรียกว่ามันเข้าสู่สภาพของมันแล้ว

                เรื่องนี้มันต้องเป็นแล้ว จึงจะมีญาณเข้ามารู้ อันนี้เป็นจุดสำคัญ ทุกคนต้องมาที่นี่ ถ้าหากไม่มาที่นี่ แสดงว่าคนนั้นน่ะจะดำมืดไปเลย จะไม่มีความสว่างในใจเลย เมื่อไม่มีความสว่างในใจ แล้วจะมีค่าอะไร...คนที่มีความมืดอยู่ในใจ ท่านว่าอย่างนั้น คือมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย รู้เรื่องรูปเรื่องนาม นี่ก็ดีอยู่แล้วนี่ รู้เรื่องปรมัตถ์ก็ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อยังไม่ถึงจุดนี้แหละ เรียกว่าราคาหรือคุณค่าของเรายังน้อยมาก ยังไม่สมบูรณ์

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ที่สุดแห่งทุกข์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2011, 03:02:12 pm »


(พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียว)               
        จึงว่า การทานให้นกให้สัตว์เดรัจฉานก็ได้บุญเหมือนกัน การทานได้เหมือนกัน เรื่องการให้ทานวัตถุ หรือการสละโทสะ โมหะ โลภะก็ตาม จะว่าอย่างใดก็ตาม อันนี้มันเป็นเรื่องทาน หรือจะทานให้คนทุศีลก็ตาม ทานให้ผู้มีศีลก็ตาม ทานให้สามเณรก็ตาม ทานให้พระปัจเจกพุทธะก็ตาม ทานให้พระพุทธเจ้าก็ตาม อันนั้นมันเป็นคำพูด เมื่ออันนั้นยังไม่ขาดอยู่ ชื่อว่ายังมืดอยู่ในใจ เรื่องการทานก็เช่นเดียวกัน เมื่ออันนี้ขาดเสร็จแล้ว (จะ)รู้จักว่า พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียว ตัดอันนี้ไม่ใช่อื่นไกลเลย แต่ทุกคนต้องประสบกับอันนี้ เรียกว่าสัจธรรม แม้จะเป็นอุบัติเหตุก็ต้องประสบกับอันนี้

                คำว่าอุบัติเหตุนี่ สมมุติเอานะ คำว่าอุบัติเหตุ เช่น รถคว่ำ รถชน หรือว่าอะไรตกตายมานี่ เป็นอุบัติเหตุ อันนั้นก็ถูกเหมือนกัน แต่คำว่าอุบัติเหตุ(อาการเกิดดับ)นี้ ทุกคนต้องประสบจริงๆ หลวงพ่อเคยพูดมาหลายครั้ง คนต้องประสบกับสิ่งนี้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องห้าวินาทีหรือวินาทีเดียว แล้วถึงจะหมดลมหายใจได้ เมื่อเราไม่เคยรู้อันนี้ เราจะไม่รู้เลย

(ทุกคนต้องประสบภาวะอันนี้)
                ทุกคนต้องประสบอันนี้ เรียกว่าสัจธรรมแท้ ไม่เปลี่ยนแปลงไม่แปรผัน จะรู้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่รู้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ว่าอันที่พูดมานี่ มันมาก คือว่ารูปนามนี่... จะรู้ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ อันนี้มันก็เป็นคำเดียวกัน แต่ว่ามันยาว อย่างคำว่าสัญญา-ความหมายรู้จำได้นี่ มันเป็นสัญญาเพียงจำมาเท่านั้นเอง ไม่ใช่เป็นสัญญาตัวนั้นจริงๆ ถ้าเป็นสัญญาอันนั้น ที่เป็นธรรมชาติตามกฏธรรมชาติมันจริงๆแล้ว มันจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรผัน อันนี้ ทุกคนนี่-หลวงพ่อกล้าพูดได้ว่าต้องตายทุกคน อันนี้ก็เป็นสัจธรรมแท้ นี่ แต่อันนี้เป็นเรื่องสมมติ แต่ว่าสัจจะตัวนั้นกับตัวนี้ มันเหมือนกัน แต่ด้วยความจำเป็นที่ตัวนั้นพูดไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเอาตัวนี้มาพูด มันเป็นอย่างนั้น

                พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่ความจริงเท่านั้น ความไม่จริงนั้นท่านไม่สอน เรื่องให้ทานเรื่องรักษาศีล เพื่อทำความสงบนั้นคล้ายๆ คือ เป็นเบื้องตน....เป็นเบื้องต้นที่สุด คนก็เลยไปติดเพียงแค่นั้น จึงว่า การก้าวหน้าไม่ค่อยมี ก็เลยเอามาเปรียบเทียบให้ฟังว่า เหมือนกับที่เราลงเรือไป เรือเราไปแตกกลางวัง สมมติว่าเราต่างมีเรือกันคนละลำ บางคนไปแตกกลางวังลึกๆ จมน้ำลึกๆ บางคนเรือไปแตกกลางวังแต่ว่าเข้าไปใกล้ๆฝั่งแล้ว บางคนเข้าไปแตกใกล้ๆฝั่งเข้าไปอีก ฝั่งเข้าไปอีก บางคนไปถึงฝั่งปุ๊บแตกเลยก็มี... นี่เรือแตก

                จึงว่าเปรียบเทียบ เป็นการเปรียบเทียบเท่านั้นเอง บางคนรู้สัจธรรมไว้แต่นานถึงตายก็มี บางคนจวนจะตายถึงรู้ก็มี บางคนใกล้ๆจะหมดลมหายใจ ใกล้ที่สุดถึงจะรู้อันนี้ก็มี...แน่ะ ดังนั้น จึงว่าอันนี้ต้องเป็นทุกคน หนีไม่พ้น เพราะมันเป็นความจริง ทางที่เราจะไปที่นี้ คือไปตายนี้เอง เราจะไปตายนี้เอง แต่ว่าจะตายเป็นลักษณะอย่างไหน

(ผู้ที่รู้อย่างนี้แล้ว จะไม่กลัวตายเลย)
จึงว่าผู้ที่รู้อย่างนี้แล้วจะไม่กลัวตายเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น เรียกว่า ยอมเสียสละทรัพย์เพราะรักษาอวัยวะ ยอมเสียสละอวัยวะเพราะรักษาชีวิต ยอมเสียสละชีวิตเพราะรักษาสัจธรรม ท่านว่า คือความจริงหรือสัจจะอันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ต้องรีบพูดให้คนเข้าใจ เมื่อคนเข้าใจแล้ว จะได้นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเขา แม้เขาไม่ถึงที่สุด เขาก็จะได้ผ่อนคลาย คือว่าจากหนักให้เป็นเบาเข้าไป คือว่าลดละความ โลภ โกรธ หลง นี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้น แต่มันจะขยับเข้าไปถึงอาการเกิดดับ อันนั้นเองจึงว่า อาการเกิดดับอันนั้นคือมันขาดแล้วดับสูญไปแล้ว คนที่ขาดดับสูญไปแล้ว เรียกว่าพระอริยบุคคล ท่านว่าอย่างนั้น – ตำราว่านะ คนที่เป็นพระอริยะบุคคลนั้น ตายแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก ว่าอย่างนั้น บัดนี้ คนที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น ตายแล้วจะได้มาเกิดอีก             

(รู้จำ รู้จัก ยังกลับไปทำให้เกิดทุกข์อีก)
หลวงพ่อเคยถามเพื่อนหลายๆคน ว่าสัตว์ที่เคยกินอาเจียนตัวเองน่ะมีอะไรบ้าง เคยถามอย่างนี้ หลวงพ่อถามเล็งใส่เป้าหมายอันนั้นเอง แล้วเราก็เห็นด้วยตากันอีกซะด้วยนี่ คนนี่เมื่ออาเจียนออกมาแล้ว ไม่กิน ถ้าเป็นสัตว์แล้ว อาเจียนออกมาแล้วต้องกลับคืนไปกินได้ อันนี้ก็เป็นคำเดียวกันคำที่หลวงพ่อพูดว่า มันเป็นไปเอง มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ไม่ถึงตายนะ หลวงพ่อพูดเดี๋ยวนี้นี่นะ สมมติเราปฏิบัติธรรมะนี้เอง เมื่อรู้จักสภาวะทุกข์แล้ว กลับไปทำให้เกิดทุกข์อีกแล้วนี่ อันนั้นแสดงว่า รู้จำ รู้จัก แต่ยังไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง เหมือนกับที่เราไปฟังเทศน์ครูบาอาจารย์เทศน์นี่ โอ๊....เพราะดี จุใจดี แน่ะ....แต่ความจริงเขาเอาอะไรให้ ก็เอาไปหมด

                จึงว่า สุนัขมันกลับไปกินอาเจียนมันอีกได้ เหมือนกับที่เอาฝ้ายเส้นเดียวมาขึงไว้ที่ตรงนี้ระหว่างสตรีเพศกับพระอริยบุคคล นี่นะนอนไม่เป็นอะไรเลย อาบัติไม่มีท่านว่าอย่างนั้น พ่อแม่เล่าให้ฟังครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง เนื่องจากมันขาดไปแล้ว ถ้ามันยังไม่ขาด ก็แปลว่าต้องเป็นอาบัติเสมอไป ท่านว่าอย่างนั้น แต่ความหมายมันกว้าง แต่ก็เรื่องเดียวนั้นแหละ พระพุทธเจ้าสอน

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ที่สุดแห่งทุกข์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2011, 03:22:14 pm »


(สงบเพราะมันขาดออกไปแล้ว)
                จึงว่า พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียว ขาดเลย และผมก็ไม่ยาวอีกสักทีแล้ว หลวงพ่อไม่เข้าใจทีแรก

โอ๊ะ...ความจริง..แม้จะพูดร้อยคำพันคำ แต่มีจุดสำคัญคือจุดเดียว เรียกว่าสัจธรรมแท้ จึงว่าไม่เปลี่ยนแปลงไม่แปรผัน คงที่ถาวรตลอดเวลา หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น ใครจะพูดยังไงก็ตาม หลวงพ่อฟังได้ แต่ว่าพูดอย่างนั้นหลวงพ่อรู้จัก พูดอย่างนี้หลวงพ่อรู้จัก ไม่ใช่หลวงพ่อจะเป็นพระอริยบุคคลชั้นนั้นชั้นนี้ แต่หลวงพ่อรู้จักเอง เพราะหลวงพ่อเป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องเข้าใจอย่างนั้น เมื่อไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่เข้าใจเลย

                หลวงพ่อเคยให้ทานมา เคยรักษาศีลมา เคยไปทำความสงบมา ไม่รู้เลยความสงบนี่หลวงพ่อไม่รู้

รู้ความสงบแบบที่ไปนั่งภาวนาดูลมหายใจ...มันสงบ แต่อันนั้นไม่ใช่สงบ คนนั้นไม่อยากสงบ แน่ะ..สงบแบบไม่อยากสงบ พูดยังไงดี ความสงบ(แบบ)ไม่สงบ อันนั้นเรียกว่าคนนั้นไม่อยากสงบ คืออยากไปติดอยู่ แค่นั้นเอง เรียกว่าความสงบ(แบบ)ไม่อยากสงบ

                อันความสงบแบบที่หลวงพ่อพูดนี่ คือ มันขาดออกไปแล้ว จะเรียกว่าสงบก็ได้ ไม่สงบก็ได้ เรียกว่าความเพลิดเพลินเจริญใจ เป็นอย่างนั้น เรียกว่ามันเพลินกับอันนั้นเอง หรือมันอยู่กับภาวะเช่นนั้นเอง มันเป็นภาวะเช่นนั้นเอง มันเป็นสภาพเช่นนั้นของมันมีอยู่แล้ว จึงว่าทุกคนต้องไปประสบอันนี้ หนีไม่พ้น นี่แหละ อาการเกิดดับแท้

(เมื่อไม่รู้จุดนั้นก็ยังสงสัย)

                หลวงพ่อรับรองแทนพระพุทธเจ้าว่า ทุกคนไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าพระสงฆ์องค์เจ้าต้องประสบอันนี้ และก็ไม่ใช่ว่าเฉพาะคนไทยอีกเสียด้วยนะ คนจีน คนฝั่งเศษ คนเอริกา หรือว่าให้คนนี่แหละ จะนับถือศาสนาไหนก็ตามจะเป็นเพศใดก็ตาม ต้องประสบอันนี้จริงๆ เรียกว่าสัจจะแท้ ไม่ต้องไปศึกษาว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู อิสลาม ทั้งหมดเลย มันจะมารวมที่จุดนี้ ถ้าหากไม่ม้วนมันลงมาแล้ว แปลว่า ยังมีความสงสัย ลังเลใจ กังวลใจ คนกังวลใจแสดงว่ามันมืดอยู่ในใจ เพราะมันยังไม่รู้จักทิศทาง เหมือนกับเรือมันแตกกลางวัง น้ำท่วมหัว ถึงจะเอาน้ำยันพื้นมันแรงๆ มันก็ยังไม่หวิดหัวเลย(ยังไม่โผล่พ้นน้ำเลย)

                พวกท่านก็รู้จัหหมากพร้าวนี่ ลูกมะพร้าวดิบๆเปียกๆ โยนปุ๊งลงไปในน้ำ มันฟูขึ้นมา แต่น้ำมันยังท่วมหลังมันอยู่ ส่วนมะพร้าวแห้งนี่โยนปุ๊บลงไปมันจมปิ๊ง แล้วมันโผล่ดันขึ้นมา พ้นน้ำขึ้นมา ฟูขึ้นมา นี่สมมติให้ฟัง

                อันคนสงสัยลังเลใจ จะนับถือศาสนาใดก็ตาม แสดงว่ายังไม่รู้จักทิศทาง ยังไม่รู้จักทางออกเลย เหมือนกับนกที่ถูกขังไว้ในตุ่มนี้เอง แม้จะเรียนมหาจบประโยคเก้าก็ตาม แม้เรียนทางฝ่ายโลกได้ปริญญาเอกสักสิบปริญญาเอกก็ตาม ครั้นถ้าไม่รู้อันนี้ แสดงว่าปราชญ์หรือบัณฑิตแบบนั้น ยังเป็นเพียงปราชญ์ตำรา บัณฑิตตำรา

                แต่ถ้าคนเขียนหนังสือไม่เป็นอ่านหนังสือไม่ได้ คนเงอะงะยังไงก็ตามเมื่อเขาพ้นไปจากอันนี้แล้ว นั้นแหละคือปราชญ์แท้ บัณฑิตแท้ อันนั้นแหละควรศึกษาและปฏิบัติ

                จึงว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเบียดเบียนตนเอง และเบียดเบียนคนอื่นนั้น ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย ไม่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ควรศึกษาและไม่ควรปฏิบัติ
เมื่อก่อนเราไม่รู้ หลวงพ่อไม่รู้จริงๆ เมื่อไม่รู้ก็ต้องศึกษาต้องปฏิบัติไป เห็นอาจารย์องค์ใดพูดเก่ง ก็ต้อง “แหม..เพราะหูนี่...ท่านรู้ดี” แน่ะ...เป็นอย่างนั้น ถ้าองค์ใดพูดไม่เก่งพูดไม่เพราะ “โอ๊ย...ไม่น่าฟัง นี่...ไม่รู้เรื่อง” เพราะเราไม่รู้ เรายังเป็นน้ำกับมะพร้าวที่โยนตูมลงไป มะพร้าวแห้งนะ  เอ้า! ลองก็ได้ เอามะพร้าวแห้งสักลูกหนึ่งและมะพร้าวดิบสักลูกหนึ่ง ไปโยนเลยก็ได้ ทดลองก็ได้ นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาวัตถุ(ตาเนื้อ)อันนี้

                นี้แหละจึงว่า มันมีความสงสัย เพราะเราไม่รู้จุดนั้น เพียงแต่ว่า การให้ทานจะให้ใครก็ได้ ได้บุญคือกัน แต่ว่าจุดนั้นไม่ใช่เป็นบุญแล้ว ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป จึงว่ามันเหนือทุกข์ เหนือสุข เหนือดี เหนือชั่ว เหนืออะไรก็ได้ เพราะมันไม่มีอะไร...คนเรา  เราต้องเห็นอย่างนั้

(พระอริยบุคคล)
                จึงว่า การให้ทานให้พระโสดาบันนั้น ท่านจะชี้ไปเลย...ไปนี่ แต่จะไปถึงไม่ถึงก็ไม่รู้ล่ะ เหมือนกับที่เรือของเราแตกกลางวังนี่ ถ้าน้ำมันไม่ลึกเท่าไหร่ พอเรือเราแตกปุ๊บ เราจมลงไป เราหยั่งถึงเพียงระดับคอ แต่จะอยู่เพียงคออย่างนั้นไม่ได้ แม้จะมองเห็นฝั่ง แต่เราจะเดินไปไม่ได้...น้ำไหล มันต้องลอยไป บางทีก็ไม่ถึงฝั่ง อาจจะตายกลางวังก็ได้

                บางคนที่ลงเรือพายไปแล้ว เรือมันแตกปั๊วะไปเลย สมมติเอานะ เรือเรารั่วไปแตกที่น้ำสูงเพียงกลางขานี่ เราก็เดินไป ถ้าน้ำเชี่ยว น้ำไหลแรงๆมานะ หลวงพ่อเคยเปรียบเทียบให้ฟังอย่างนี้ ยังทรงตัวไม่อยู่เลย จำเป็นต้องล้มตัวลอยไป บางทีก็ไม่ถึงฝั่ง ตายก็มีนี่

                ทีนี้อีกคนที่พายเรือไปใกล้ๆกับฝั่งแล้ว แตกปุ๊เลยคราวนี้ น้ำสูงเพียงกลางแข้งนี่ เดินไปได้สบาย แม้จะไหลแรงขนาดใดก็ไม่ล้มเลย คนนี้เดินไปได้ ขึ้นไปบนบกได้สบาย อันนี้ แสดงว่า เป็นคนที่รู้จักจุดที่หลวงพ่อพูดนี่ รู้จักจุดแล้วจะไปไว้จุดไหน นี่เขาว่าอย่างนั้น มีความหมายอย่างนั้น

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ที่สุดแห่งทุกข์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2011, 03:39:47 pm »


(กุญแจลูกเอก-ทางด่วน)
                จึงว่า วันนี้ต้องมาชำแหละกัน เพราะว่าตอนพระกำลังฉันนี่ ต้องพูดให้คนมาปฏิบัติธรรมะฟัง ต้องเข้าใจอย่างนั้น แม้จะไปเป็นครูสอนคน ก็ต้องเข้าใจที่ตัวเอง อย่าไปเข้าใจคนอื่น บัดนี้ คนอื่นจะรู้เรื่องในตัวเรานี่ดีเหนือเราไปไม่ได้ จึงว่าสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ มันอยู่ที่ตรงนี้

                ทิฏฐิ เราเห็นอย่างนี้ เห็นว่ามันถูกต้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ยังไง..ก็เรารู้พระพุทธเจ้าสอนว่า เรื่องนั้นมันเป็นอย่างนั้น เรื่องนั้นมันเป็นอย่างนี้ ท่านก็ว่าคือการให้ทาน รักษาศีล ทำความสงบ ท่านว่าอย่างนี้ และการเข้าฌานออกฌาน ท่านว่าอย่างนั้นนะ คำพูดเรื่องเหล่านี้และอาการเกิดดับ ที่ว่าพระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียวหรือว่าเสี่ยงถาดเสี่ยงขัน อะไรทั้งหมดเลย มันจะมารวมที่จุดนี้ เมื่อรวมจุดนี้ปุ๊บ แล้วจะรู้จักทั้งหมดเลย ไม่มีการปิดบังทั้งหมดเลย เรียกว่าเราได้กุญแจลูกเอกแล้ว นี่ เปิดปั๊บ ไขออกมาเลย เราจะได้รู้ดี อันนี้แหละเรียกว่าทางด่วน ไม่มีติดไฟแดงไฟขาว ไม่มีติดไฟเลย มันเป็นทางด่วน

(อันตรายก็มี)
                เราเคยพูดกับเพื่อนหลายๆคน คนเกิดมาจะเลือกนอนกลิ้งพลิกไปรึ หรือจะเดินไปที่ไหน หรือว่าคนเกิดมาแล้วคลานไป แล้วคนนี้เดินไป คนหนึ่งวิ่งไป คนหนึ่งขี่ล้อขี่เกวียนไป คนหนึ่งขึ้นรถยนต์ไป คนหนึ่งขึ้นเครื่องบินไป ใครจะดีกว่ากัน แต่อันตรายก็มีเหมือนกันนะ สมมติเอานะ ถ้าคนกลิ้งไป-บางทีถูกหลักถูกตอก็มี เจ็บก็มี คนคลานไป-เจ็บปวดรวดร้าวไป ตายไปก็มี นี่เป้นอย่างนั้น วิ่งไปทีนี้-ไปชนหลักชนตอ มันไปแรงนะวิ่งไป ตายก็มี เป็นอย่างนั้น ไม่ถึงก็มี ทีนี้คนนั่งรถยนต์ไป-รถคว่ำตายก็มี เพราะคนขับไม่มีนี่ รถไม่ดีนี่ มันเป็นอย่างนั้น คนขึ้นเครื่องบินก็เหมือนกัน-ขึ้นเครื่องบินไป เครื่องไปเสียกลางอากาศโน้น ตายก็มี นี่.....มันสมมติ

(พูดความจริงให้ฟัง)

                จึงว่า ให้เรารู้จักจริงๆ ถ้าหากไม่รู้จักจริงๆ แล้ว เราจะเก้อเขิน นี่การที่จะไปสอนคนอื่นก็ตามหรือพวกเราจะไปปฏิบัติก็ตาม เลือกไม่ได้ เลือกครูเลือกอาจารย์ไม่ได้ แล้วก็ชื่อเสียงอันใดอาจารย์องค์ใดดีมีชื่อเสียง หลวงพ่อเคยชอบอยากไปอย่างนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้พูดความจริงโดยเปิดอก วันนี้เป็นวันที่สองแล้วนะ วันที่สองของปีใหม่ วันนี้เป็นวันศุกร์ วันที่สองเดือนมกรา(คม) สองพันห้าร้อยสามสิบ เป็นปีใหม่ล้วนๆ ไม่ใช่ปีเก่าแล้ว จะพูดเรื่องใหม่ล้วนๆ พูดเรื่องคนที่จะเอาไปใช้กับเรื่องชีวิตของเราจริงๆ ถ้าหากว่าเราไม่รู้อย่างนี้ ให้ทานดีแล้ว รักษาศีลดีแล้ว ไปทำความสงบดีแล้ว แต่ว่ามันไม่รู้

                อันนี้จะให้ทานก็ได้ รักษาศีลก็ได้ ไม่ให้ทานก็ได้ ไม่รักษาศีลก็ได้ ไม่ทำความสงบก็ได้ ทำความสงบก็ได้ เมื่อถึงจุดนี้แล้ว...เรียบร้อย ทุกอย่างจะประมวลลงนี่ทั้งหมดเลย

                ดังนั้นจึงว่าสัจธรรมแท้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทุกคนต้องตายจริงๆ...ตายจริงๆ แต่ในขณะที่เราจะตายนี่ ได้มีครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าจะตายแล้ว พระสาวกเข้าฌานตามไป อันนั้นมันเป็นคำพูดนะ คือรู้วิธีอันนี้ พระสาวกต้องรู้อย่างนี้ ถ้าหากไม่รู้อย่างนี้ แปลว่าไม่รู้เรื่องเลย ไม่ใช่เข้าฌานตามพระพุทธเจ้าไปแล้ว “อ๋อ...พระพุทธเจ้าเข้าฌานนั้นฌานนี้” อันนั้นเป็นคำพูดของคนที่พูดอย่างนั้น เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เข้าใจอย่างนี้ เข้าใจอย่างนั้นจริงๆ

                อันนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่หลวงพ่อพูดนี่ ถ้าหากไม่รู้อันนี้แล้ว คนนั้นจะชี้จุดนั้นจุดนี้ไปไม่เซา(หยุด)เลย แล้วถ้าเราเป็นผู้ไม่รู้นะ ก็จะไปถือว่าจุดนั้นสำคัญจุดนี้สำคัญ สำคัญทุกจุด ไปเข้าใจว่าจุดอื่นสำคัญ แต่จุดนี้แหละสำคัญสำหรับทุกคนน่ะ ทุกคนจะประสบเรื่องนี้จริงๆ ตามที่หลวงพ่อพูดนี่นะ...ไม่มากก็น้อยทีเดียว แต่ว่าแป็บหนึ่ง...นี่

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ที่สุดแห่งทุกข์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2011, 04:16:47 pm »


(รู้แล้วกล้าได้)
อันนี้หลวงพ่อได้ยินพ่อแม่ปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังว่า คนเกิดมานี่ ทำบาปทำกรรมยังไงก็ตาม จะไปตกนรกอเวจีที่ไหน…หลวงพ่อไม่รู้ คราวนั้นครูบาอาจารย์ก็เล่าให้ฟัง พ่อแม่ก็เล่าให้ฟัง คนที่เป็นอนันตริยกรรม ท่านว่าพระศรีอริยเมตไตรย์นี่นะ มีอายุแปดหมื่นปี...ท่านว่าอย่างนั้น จะมาเป็นพระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติอยู่สี่หมื่นปี และจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นพระศรีอริยเมตไตรย์อีกสี่หมื่นปี...

ท่านว่า และคนที่ทำบาปกรรมหนัก จะไปตกนรกอเวจีนู้น เมื่อพระศรีอริยเมตไตรย์มาเกิดมาตรัสรู้ ประกาศพุทธศาสนาอยู่สี่หมื่นปี บัดนี้ คนที่ตกอยู่ในอเวจีนู้นก็จะได้เห็นแสงพระศรีอริยเมตไตรย์แว้บหนึ่ง พอปานฟ้าแลบนี่... พ่อแม่เล่าให้ฟัง

                อันนั้นก็คำเดียวกันกับอันนี้นี่เอง ไม่ใช่อื่นไกลเลย มันประมวลลงที่ว่า สัจธรรมแท้ที่ทุกคนหนีไม่พ้นนะ เดี๋ยวนี้กล้า(ยืนยัน)ได้จริงๆ กล้า(ยืนยัน)ได้จริงๆ มายี่สิบกว่าปีแล้ว...พูดอย่างนี้มา จึงว่าพอรู้อย่างนี้แล้ว “เออนี่...ของจริงแท้ๆ” จึงว่าไปฟังได้ทุกคน ใครจะพูดยังไง...ฟังได้ แต่ว่าพูดไปอย่างงั้นแหละ ชี้โน้นชี้นี่ ทิศนั้นทิศนี้ เอาทิศใดก็ตามเถอะ มันจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ มันต้องประมวลลงนี้

                จึงว่าทุกคนต้องตาย ฟังเอาเพียงนั้น ต้องตายจริงๆ ตอนที่จะตายนี่เราจะดำมืดตาย หรือเราจะไต้ไฟ(จุดไฟให้สว่าง)ตายเท่านั้นเอง ถ้าหากเราไต้ไฟเดินทางเดี๋ยวนี้ ไฟมอดก็จะลำบาก แต่ถ้าไปกลางวันแล้วจะไม่ลำบากเลย นี่...อย่างนี้ อันนี้ก็เช่นเดียวกัน การฟังเทศน์ ใครจะพูดเรื่องใด...ฟังได้ เพราะเรามีหูทิพย์แล้วเข้าใจแล้ว

(สิ่งที่ลึกลับ สบายที่สุด ยากที่สุด)
                ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ลึกลับ และก็สบายที่สุด และก็ยากที่สุด เมื่อยังไม่มีปัญญาก็ฟังยาก เมื่อมีปัญญา เมื่อเห็นแจ้งรู้จริง ฟังสบาย แม้จะพูดแง่ใด ก็ต้องมารวมจุดนี้... พูดแง่ใดก็ต้องมารวมจุดนี้ จึงว่า พระสาวกเข้าฌานตามพระพุทธเจ้า “ใครนะ พระ(สาวก)องค์ไหนนะ เข้าฌานกับพระพุทธเจ้าตาย

หือ ?” (ผู้ฟังตอบ... พระอนุรุทธ์ ครับ) “เข้าฌานนะ” อันนั้นแสดงว่า (พระอนุรุทธ์)รู้จัก(จุดนี้)เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า ท่านว่าอย่างนั้น ให้เข้าใจใกล้ๆ พระพุทธเจ้าสอนยังไง ก็รู้จักตามขั้นตอนไปกับพระพุทธเจ้า ท่านว่าอย่างนั้น แต่เราเลยเข้าใจไปว่าเข้าฌานตาย พระพุทธเจ้าตายแล้วกลับคืนมา เข้าฌานแล้วออกฌานได้ อันนั้นเป็นการเข้าใจถูกแล้ว แต่ถูกแบบอยู่ในถ้ำ ...ถูกแบบอยู่ในถ้ำ ไม่รู้จักรูปทรงของถ้ำ ถูกแบบอยู่ในมุ้ง ไม่รู้จักรูปทรงของมุ้ง ไม่ได้ออกจากมุ้งเลย

(อย่าเพิ่งเชื่อ)
                อันนี้แสดงว่า รู้อย่างไม่รู้ สงบแบบไม่อยากสงบ ให้เข้าใจอย่างนั้น แต่อย่าเพิ่งเชื่อหลวงพ่อนะ จึงว่า คำสอนทุกประโยค พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเชื่อถือโดยเขาพูดตามกันมา อย่าเชื่อถือโดยเขาเล่าลือตามกันมา อย่าเชื่อถือโดยเห็นเขาทำตามกันมา อย่าเชื่อถือว่ามันมีในตำรา อย่าเชื่อถือแม้ครูบาอาจารย์ของตัวเองก็ทั้งนั้น แล้วการคาดคิดด้นเดาไม่ได้ (จาก...กาลามาสูตร) ธรรมะอย่างที่หลวงพ่อพูด คำสอนของพระพุทธเจ้าจะคิดเอาล่วงหน้าไม่ได้ จะรู้ก่อนไม่ได้ หลวงพ่อก็เคยคิดเช่นเดียวกัน มาตีความหมาย มันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นแหละเป็นอนันตริยกรรม ไม่อื่นไกลเลย พูดกล้าๆอย่างนี้แหละ ถ้าไม่ผ่าตัดลงคราวนี้ มันจะเป็นโรคเรื้อรัง...มันเป็นเรื้อรังจริงๆ ถ้าหากว่าไม่ผ่าตัดลงแล้ว มันจะค่อยก่อตัวมาเป็นโรคเรื้อรัง

                ดังนั้นให้ทุกคนเข้าใจว่า เราต้องพยายามที่ตัวเรา คาดคิดไม่ได้ ตำราอย่าไปเชื่อมัน แต่อย่าไปทำลายตำรานะ เราต้องพยายามปฏิบัติให้มันเป็น ระยะมันเป็นน่ะไม่ต้องถามใครเลย หลวงพ่อเปรียบให้ฟังแล้วนี่

(ขอให้ลงมือทำกันอย่างจริงจัง)
                เอาแหละ ที่พูดวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ท้ายที่สุดนี้ขอให้พวกเราทุกคน ทั้งพระสงฆ์องค์เจ้า และญาติโยม ผู้ที่มีศรัทธามาประพฤติปฏิบัติธรรม ในระยะเวลาที่วัดสนามในจัดเปิดอบรมมาตั้งแต่วันที่ ๓๐ ตอนเย็น วันที่ ๓๑ ลงมือทำกันอย่างจริงจัง วันที่ ๑ วานนี้ก็หนักเข้ามา วันที่ ๒ วันนี้ ก็คงจะจริงจังกว่าวันที่ ๓๑ กับวันที่ ๑ เพราะวันที่ ๒  วันที่ ๓ ก็จะเข้มงวดเข้าไป วันที่ ๔ ก็จะเร่งรัดตัดตอน บางทีอาจจะประสบปุ๊บเอาก็ได้นะ ดังนั้น ครูบาอาจารย์พระพี่เลี้ยงหลายองค์ ก็ต้องคอยแนะนำตามจังหวะ ผู้ที่มีศรัทธาก้มหน้ามาให้เราสอนจริงๆ แล้วเราต้องสอนจริงๆ



หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ได้ค้นพบวิธีการฝึกจิตให้เกิดความสะอาด
สว่าง สงบ ตามหลักคำสอนของ
พระพุทธองค์
โดยอาศัยวิธีการที่เรียกว่า "การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว"
(มหาสติปัฏฐานสูตรว่าด้วยอิริยาบถบรรพและสัมปชัญญะบรรพ) ซึ่งใจความ
หลัก ของการฝึกจิตแบบนี้คือ "การดูกายเคลื่อนไหว และดูจิตใจนึกคิด"
โดยมีสติเข้าไปกำหนดรู้ ซึ่ง
ไม่ใช่การเข้าไปกดหรือข่มอารมณ์ที่เกิดขึ้น
เป็นแต่เพียงทำความรู้สึกตัวให้มากพอ 
จนสภาพจิตเกิดญาณเข้าไปสู่สัจจธรรมความจริงของชีวิตตามธรรมชาติ.

Credit by : http://www.watmoke.com/LPteeanSound.htm
Pics by : Google
สุขใจดอทคอม * อกาลิโกโฮม
:http://atcloud.com/stories/31458
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ