อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > มาลาบูชาครู
ธรรมะเรื่อง กรรม (ใจทำ ใจรู้) - พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร
ฐิตา:
นี้แหละ มโนกรรม เมื่อใจเห็นผิดเห็นชั่วเป็นดีแล้วก็พอใจอยู่ในการทำกรรมชั่วทั้งๆ ที่ใจทำกรรมชั่ว ใจก็ไม่รู้เสียแล้ว ความชั่วทับถมใจเสียจนมืดมน อวิชชาสวะ อวิชชาโอฆะ ความหลงท่วมทับดวงใจ ไม่รู้ใจทำอะไร ใจทำกรรมอะไรไม่รู้ จะไปสอนยังไงก็ไม่รู้ แนะนำก็ไม่รู้ อะไรเป็นกุศลกรรมไม่รู้ อะไรเป็นอกุศลกรรมไม่รู้ อะไรเป็นบุญเป็นบาปใจมืดมน มโนกรรม ตโม ตม ปรายโน มืดมาแล้วก็มืดมนต่อไปอีก
ฉะนั้นผู้ที่มารู้สึกตัวได้ต้องรีบปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ให้ศึกษาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า น้อมนำมาพิจารณาใจตนเองว่าใจเรานี้ ทำกรรมอะไร ใจจะได้เชื่อกรรม ใจจะเกิดหิริความละอายบาป ใจจะได้เกิดโอตตัปปะเกรงกลัวบาป ใจก็จะน้อมไปในการทำบุญกุศล แล้วบุญกุศลมรรคผลก็จะเจริญขึ้นเพราะการทำ เพราะใจเชื่อกรรมว่าใจทำกรรมชั่วได้ ใจก็ต้องทำกรรมดีได้ ใจต้องการบุญใจก็ทำเอาบุญได้ ใจทำทานได้ ใจทำศีลได้ ใจทำวิปัสสนาได้ ใจทำวิชชาความรู้เท่าสังขารได้ เมื่อใจรู้เท่าสังขารว่าไม่เที่ยง ออกจากสังขารเสียได้ วิมุตติความหลุดพ้นก็จะปรากฏภายในดวงใจนั้นเอง มัน หลุดพ้นได้เร็วเพราะวิชชาความรู้เท่า ถ้าใจหลงเสียแล้วก็เนิ่นช้า ใจหลงกับสังขารนะ ถ้าใจรู้เท่าว่าสังขารไม่เที่ยง ละหลงว่าเที่ยงออกจากใจ ใจก็หลุดพ้นเท่านั้นเอง
มโนกรรมนี้แหละสำคัญมาก ถ้าดูใจไม่ออกแล้วจะไปบอกสอนยังไง ใจมีแท้ๆ แต่ไม่รู้ ใจขาดคุณธรรมเป็นเครื่องรู้คือ สติปัญญา เมื่อไม่มีสติระลึกได้ภายในใจแล้วจะรู้ใจได้อย่างไร เมื่อไม่มีปัญญาเห็นใจแล้วจะเชื่อกรรมการกระทำภายในใจได้อย่างไร เมื่อใจไม่เชื่อกรรม วิริยะ ความเพียร เพียรระวังบาป เพียรละบาป เพียรเจริญบุญกุศลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ของไม่มีจะไปรักษาอะไร เมื่อความเพียรไม่มีสมาธิจะเกิดขึ้นแก่กล้าเข้มแข็งได้อย่างไร อินทรีย์ห้าคือ สัทธา วิระยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็จมอยู่ในกิเลส ถูกกิเลสบาปอกุศลมันกลืนกินเสียหมด อินทรีย์ห้าถูกกิเลสทำลาย กิเลสเขาเป็นใหญ่เสียแล้วใจถูกกิเลสคือ โลภ โกรธ หลง บังคับ ใจเป็นทาสของกิเลส ใจก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพต่างๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ต้องมาม่น(ติด)กายอันเป็นก้อนน้ำกามอยู่อย่างนี้ มีก้อนน้ำกามคือกายนี้เป็นกรงขัง ขังไว้ในกายอันเป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใจรุ่มร้อนไปด้วยกิเลส บาปอกุศล มันผูกมันจำจอง ใจถูกกิเลสแผดเผาย่ำยีทำลาย
คุณเอ๋ย เรามาเกิดเป็นมนุษย์แล้วหนา ควรทำใจให้สูงกว่ากิเลส สมกับคำที่ว่ามนุสโส ผู้มีใจสูงด้วยบุญกุศล สูงด้วยมรรคด้วยผล สูงจนสิ้นจากกิเลส ไม่มีกิเลสบาปอกุศลย่ำยีทำลายใจให้เดือดร้อนเป็นทุกข์ มีแต่ความสุขสงบเยือกเย็นสบาย
มโน ปุพฺพํ คมา ธมฺมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจทำนะ บาปอกุศลสำเร็จแล้วด้วยใจทำฉันใด บุญกุศลมรรคผลก็สำเร็จแล้วด้วยใจทำเอาฉันนั้น ใจจงพอใจในบุญ ใจจงเพียรพยายามทำบุญ ใจจงมีขันติความคดทน จะมีความทุกข์ลำบากก็อดทนทำบุญให้ได้ ทำมรรคผลให้ได้ ใจทำจริงๆ เมื่อเราทำจริงแล้วบุญกุศลมรรผลต้องสำเร็จได้จริง ให้ดูซิว่าใจทำจริงอะไร ทำบาปจริงหรือบุญจริง ทำสมุทัย ตัณหาจริงหรือทำมรรคจริง มรรคคือ คีล สมาธิ ปัญญา นี้ท่านบอกสอนไว้แล้ว ว่าเป็นของจริง คือข้อปฏิบัติให้ถึงคามดับทุกข์ ถ้าท่านทำจริงปฏิบัติจริงแล้ว ใจต้องสำเร็จมรรคผลได้จริงทีเดียว
ดู ตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านเป็นคนจริง เวลาทำสมุทัยตัณหาท่านก็ทำจริงๆ มีเมีย มีลูก มีทรัพย์สมบัติ ยศฐาบรรดาศักดิ์ มีปราสาทวิมาน มีสนมนารี เวลาท่านสละออกบวช ท่านก็ทำมรรคจริงๆ อดนอนผ่อนอาหารเร่งความเพียรเอาชีวิตเข้าแลก ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ก็ให้มันตายไปเสียเลย เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ตามที ท่านนั่งขัดสมาธิที่โคนต้นโพธิ์ นั่งแต่เย็นจนสว่างท่านก็ได้ตรัสรู้อริยสัจธรรม เวลาจนใกล้รุ่ง ด้วยการพิจารณาปฏิจจมุปปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม เมื่อท่านตรัสรู้แล้วจึงได้แสดงธรรมรับรองมรรคเอาไว้ว่าเป็นของจริง คือข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ได้จริง เป็นข้อปฏิบัติเพื่อสลัดคืนเสียซึ่งลูกศรคือกามกิเลสที่ฝังอยู่ในใจ
ความเพียรอันเป็นเหตุแผดเผากิเลสให้เร่าร้อน เป็นกิจที่เราทั้งหลายจะต้องทำเอง พระตถาคตท่านได้รับรู้แล้วท่านได้บอกทางดำเนินให้เท่านั้น ชนทั้งหลายเหล่าใดดำเนินตาม ปฏิบัติตามแล้วจักมีใจให้หลุดพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร กิเลสขาดเป็นสมุจเฉทปหาน นี้พระพุทธเจ้าท่านรับรองมรรคไว้อย่างนี้ ท่านบอกไว้แล้วว่ามรรคเป็นมรรคสัจของจริงคือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ท่านได้ปฏิบัติแล้วทำมาแล้ว สามารถทำให้บรรลุ นิโรธ นิพพานได้จริง สามารถจะถอดถอนกามกิเลสที่ฝังแน่นอยู่ในใจได้จริง ความพยายามบำเพ็ญมรรคให้เจริญเพื่อแผดเผาย่ำยีทำลายกิเลสเป็นหน้าที่ที่เราทุกคนจะต้องทำเอง บุคคลผู้ใดทำตาม ปฏิบัติจริงๆ แล้ว จักหลุดพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร กิเลสขาด เป็นสมุจเฉทปหาน
ฐิตา:
มรรคเป็นของจริง ศีลก็มีจริง ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสมาธิมีจริง ธรรมที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา คือรูปนามที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็มีจริง ถ้าใจปฏิบัติตามจริงๆ แล้วต้องสำเร็จมรรคผลได้จริง เพราะมีพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างอยู่แล้วว่าท่านทำสมุทัย ตัณหา ท่านทำจริงๆ อยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้ความสุขในโลกท่านก็ทำจริงๆ ท่านมาเห็นจริงด้วยปัญญาว่าเป็นสมุทัยเหตุให้ทุกข์เกิดเป็นการแสวงหาทุกข์ เพิ่มทุกข์ เพิ่มโทษ เพิ่มภัย เพิ่มเวร ไม่มีอะไรนอกจากทุกข์ ดูซิกายที่เกิดมานี้ ทุกข์เกิดก็เต็มอยู่ในกายนี้ ทุกข์แก่ก็เต็มอยู่ในกายนี้ ทุกข์เจ็บด้วยโรคภัยต่างๆ ก็เต็มอยู่ในกายนี้ ทุกข์จนตาย กายนี้ไม่ได้อะไร จะเอาดีอะไรกับกายอันเป็นกองทุกข์นี้ไม่ได้
ให้พิจารณาดูซิ ในอาการสามสิบสองของกาย ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปถึงมุตตัง น้ำมูก พิจารณาเป็นอนุโลมปฏิโลมกลับไปกลับมาให้มากๆ ดูซิว่าจะมีของเอา ถ้าถือเอาจะได้อะไรในกายนี้ไหม ในกายเป็นที่น่ายินดีไหม ในกายนี้น่าจะลุ่มหลงมัวเมาไหม ตั้งสติกำหนดใช้ปัญญาพิจารณาหาสิ่งที่ควรเอา หาของที่เป็นประโยชน์ในกายนี้ดูซิ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ท่านสอนไว้ว่าเห็นทุกข์ เห็นทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่กายนี้ มันเป็นทุกข์จนตาย จะถือเอาอะไรเล่า จะถือผม ผมก็ตายเสีย จะถือเอาเล็บเล็บก็ตายเสีย จะถือฟันก็ตายเสีย จะถือเอาหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ล้วนแต่ตายทั้งนั้น
อาการต่างๆ ของกายตายหมด ปัจจุบันนี้ ขณิกมรณะ มันตายอยู่แล้ว สมุจเฉทปหานมรณะ ตายด้วยการสิ้นลมหายใจเข้าออก ต้องมาถึงแน่นอนทีเดียว ความแก่ ความเจ็บ เหมือนหมาไล่เนื้อไล่กัดไม่มีถอย ต้องกัดให้ตายเลย คนมียศฐาบรรดาศักดิ์ก็ตาย เศรษฐีมีทรัพย์มากก็ตาย คนยากจนเข็ญใจอนาถาก็ตาย
เห็นไหม ที่ตายไปแล้วมากมายก่ายกอง มีป่าช้าทุกบ้านทุกเมืองเผาฝังที่ยังอยู่ก็หมุนไปสู่จุดเดียวกันคือตายตายด้วยกันหมดไม่มีเหลือ เกิดมาเท่าไหร่ก็ แก่ เจ็บ ตาย เท่านั้น ตายไม่ได้อะไรแม้แต่กาย ตายเผาฝังด้วยกันทั้งนั้น ตายแม้แต่ร่างกายก็เอาไม่ได้ เห็นไหม ใจเห็นว่ามันเป็นทุกข์ไหม เมื่อยังไม่ตายก็ต้องบริหารทุกข์ ทุกข์เพราะบริหารร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน ทำการงานหาอยู่หากิน ยังโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นย่ำยีบีฑา ทำการเยียวยารักษาพยาบาลด้วยวิธีต่างๆ เบื้องปลายก็ช่วยอะไรไม่ได้ตายอย่างเดียวเท่านั้น ใจเห็นไหม ใจยังอยากได้ยินดีหรือเป็นทุกข์ทำไม ยินดีในทุกข์ทำไม ใจอยากได้กายอันเป็นทุกข์ ก็เพราะใจอยากได้กายอันเป็นทุกข์นี้แหละจึงเวียนตายเกิดอยู่ในกายอันเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นเอนกอนันต์มาแล้วลืมเสียหมดเลย หรือหลง อวิชชาความมืดมนมันปิดบังในอดีต แม้ปัจจุบันมันก็ปิดทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่รู้ไม่เห็นทุกข์ใจ เพราะตัณหาความอยากทะเยอทะยานดิ้นรนขวนขวาย ทั้งๆ ที่ใจเป็นทุกข์เพราะใจอยาก ใจยังไม่รู้ว่าความอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แก่ใจ ใจทำอยู่ใจไม่รู้เพราะใจหลงมืดมนเสียแล้วใจจะไปละยังไง
พระพุทธเจ้าท่านก็สอนไว้แล้วว่าธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ จะดับสิ้นไปเพราะสิ้นแห่งเหตุ เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นเพราะตัณหาความอยาก ใจอยากได้รูป ใจอยากได้นามอันเป็นทุกข์ ใจก็เป็นทุกข์ซิ ฉะนั้นท่านจึงสอนใจให้ละตัณหาความอยาก ใจละตัณหา ทุกข์ใจก็ดับ ตัณหานี้แหละตัวเหตุให้เกิดทุกข์อยู่ในภพต่างๆ ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ตัณหาตัวเหตุให้เกิดบาปอกุศล ตัณหามี อวิชชาก็มี อวิชชาตัณหามี อุปาทานก็มี ใจหลงใจเป็นทุกข์ ใจอยากใจเป็นทุกข์ ใจยึดใจเป็นทุกข์ ใจไม่ต้องการทุกข์ก็ละถอนปล่อยวางซิ เมื่อใจละกิเลสเหล่านี้ออกจากใจเสียแล้วใจก็เป็นสุขเยือกเย็นสบายเท่านั้นเอง
ฉะนั้นความเพียร เพียรละ เพียรบำเพ็ญมรรคให้เจริญ เป็นหน้าที่ของใจจะต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วไม่มีอะไรจะทำลายตัณหา เพียร เผาตัณหานี้แหละ เพียรเพ่งพิจารณา เพียรตรวจตรองเหตุผลที่ใจทำ ตัณหาใจอยากนี้มันอยากได้อะไร อยากได้กายอันเป็นทุกข์ อยากได้กายก็แสวงหากายก็ปฏิสนธิในกาย ได้กายมาแล้วก็ตริตรองพิจารณาดูซิว่ากายเกิดมาจากอะไร อะไรบ้างที่มีในกายนี้ พิจารณาอาการต่างๆ ของกาย พิจารณาเนื้อหัวใจ พิจารณากาย พิจารณาปาก ลิ้น เขี้ยว พิจารณาจมูก พิจารณาหู พิจารณาตา พิจารณาผม ขน เล็บ หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เนื้อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง ศีรษะ น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลิอง น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำมูก น้ำลาย น้ำไขข้อ น้ำมูตร ให้พิจารณาอาการสามสิบสองนี้ดูซิว่ามันปฏิกูลอย่างไร ปฏิกูลด้วยสี ปฏิกูลด้วยกลิ่น ปฏิกูลด้วยรส ปฏิกูลด้วยการสั่งสมระคนกัน ปฏิกูลด้วยการแปดเปื้อน ปฏิกูลด้วยการไหลเข้าไหลออก
เมื่อ สนใจพิจารณากลับไปกลับมาแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมปรากฏเพราะมันมีอยู่ในกายทั้งนั้น เมื่อเห็นความปฏิกูลก็จะเห็นความไม่เที่ยงความผันแปรเปลี่ยนแปลงของสิ่ง ต่างๆ ในร่างกาย เมื่อเห็นความไม่เที่ยงก็จะเห็นทุกข์ ว่าสิ่งต่างๆ ในร่างกายนี้มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เกิด ทุกข์แก่ ทุกข์เจ็บ ด้วยโรคภัยต่างๆ ทุกข์จนตายไม่ได้อะไรเลยในกายนี้ ไม่มีอะไรเป็นของเรา ใจไม่ได้เป็นเจ้าของร่างกายเลย ใจไม่มีอำนาจบังคับบัญชาให้กายเป็นไปตามความประสงค์พอใจได้ ว่าอย่าแก่ก็แก่ อย่าเจ็บเลยก็เจ็บ ว่าอย่าตายเลยก็ตาย ไม่มีอะไรป้องกันต้องตายและทรัพย์สมบัติทั้งสิ้น ไปไม่ได้อะไร
ฐิตา:
ทุกขสัจ ทุกข์จริงๆ ทุกข์จนตาย ใจอยากได้กายก็อยากได้ทุกข์ เมื่อ ยังไม่ตายก็ทุกข์ด้วยการดูแลบริหารรักษา ทุกข์ยากลำบาก มองดีๆ พิจารณาด้วยปัญญา โอ้โฮ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ทำไมจะมาหลงว่าเป็นสุข สุขที่ไหน นั่งก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์ ยืนก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ ทำอะไรก็ทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์จนตายไม่ได้อะไรใจ จะมาหลงอะไรเป็นของเรา ทุกข์ของธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็มันเป็นธาตุเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย ใจจะมาหลงเอาอะไร ใจจะมายึดเอาอะไรถือไม่ได้ ตายเผาทิ้งไว้ในพื้นแผ่นดินนี้เอง
เพราะ ใจยึดทุกข์เป็นตัวตน ใจจึงต้องเป็นทุกข์เพราะใจยินดีในทุกข์ จึงได้แสวงหาทุกข์ เพราะใจหลงในทุกข์ว่าสุข ทั้งที่กายเป็นทุกข์แท้ๆ ใจยังหลงว่ามันเป็นสุข สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ กายสังขารก็เป็นทุกข์ วจีสังขารก็เป็นทุกข์ จิตสังขารการนึกคิดปรุงแต่งก็เป็นทุกข์ ใจน่าจะรู้ความจริงไม่น่าหลง ไม่น่ายินดีไม่น่ายึดมั่นถือมั่น ทั้งๆ ที่สังขารมีจริง เป็นจริงแสดงความจริงอยู่แล้วแต่ใจไม่รู้จริง นี้แหละใจมันหลงเสียจริงๆ ใจหลงไม่รู้ตามความเป็นจริงของสังขาร ใจจะรู้จริงได้ต้องฝึกฝนอบรมปัญญา เครื่องเห็นจริงให้มีขึ้น ใจจะมีปัญญาเห็นจริง ใจก็ต้องเชื่อกรรม การกระทำของใจ เชื่อว่าใจทำกรรมชั่วได้ ใจก็ต้องทำกรรมดีได้ ถ้าคนเราจะทำได้แต่กรรมชั่ว คือ โลภ โกรธ หลง ทำกรรมดีคือให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ไม่ได้แล้ว ก็จะไม่มีคนดี คำที่ว่าพระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคามี พระอรหันต์ก็จะไม่มีในโลก
ดูประวัติของท่านซิ อย่างนายพรานปุกกุมิต อย่างนางสิริมา อย่างนางกุณฑลเกสา อย่างพระองคุลีมาล ท่านทำกรรมชั่วกรรมไม่ดีมาทั้งนั้น เช่น การฆ่าสัตว์ การเสพกาม ในเวรห้า เวรแปด เวรสิบนี้ พระสาวก พระสาวิกา ท่านได้ทำมาทั้งนั้น เพราะใจมันยังหลงไม่รู้จริงว่าอะไรเป็นบาป เมื่อท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าสอน ท่านก็เกิดความรู้และเข้าใจ กลับแก้ตัวทำกรรมดีจนท่านบรรลุพระอรหันต์ได้
ฉะนั้นเรื่องกรรมนี้จึงต้องใช้ปัญญาขบให้แตก กรรมคือการกระทำ กายทำกรรมชั่วก็ได้ กายทำกรรมดีก็ได้ วาจาพูดชั่วเป็นวจีทุจริตก็ได้ วาจาพูดดีเป็นวจีสุจริตก็ได้ ใจทำชั่วเป็นมโนทุจริตก็ได้ ใจทำดีเป็นมโนสุจริตก็ได้ ใจเชื่อกรรมไหม ถ้าใจของทุกคนทำได้แต่โลภ พยาบาท มิจฉาทิฏฐิแล้ว ก็มีแต่คนชั่วคนไม่ดี เต็มบ้านเต็มเมืองจะไม่มีคนดี ไม่มีนักปราชญ์ บัณฑิต ไม่มีพระอริยะ
นี่พระอริยะเจ้ามีนะ บัณฑิตมีนะ นักปราชญ์มีนะ คนดีมีนะ เพราะท่านเหล่านั้นท่านกลับแก้ตัวนั่นเอง ท่านเชื่อกรรมว่าคนเราทำกรรมชั่วได้ก็ทำกรรมดีได้ ใช้ ปัญญาพิจารณากรรมเพื่อเลือกเฟ้นแยกแยะออก ดูเหตุผลแห่งกรรม ที่ตัวเองและบุคคลอื่นทำอยู่ว่าเมื่อทำกรรมชั่วแล้วมันได้รับผลชั่วอย่างไร เช่น ทำปาณาติบาต คือฆ่าสัตว์ เราไปฆ่าเขาถึงตาย ให้เขามาฆ่าเราถึงตายจะเป็นอย่างไรดีไหม ถ้าฆ่าแต่ยังไม่ตาย ยิงแต่ไม่ตาย แทงแต่ไม่ตาย ตีแต่ไม่ตาย เป็นเจ็บปวดทุกข์ทรมานนี้ดีไหม ก็จะมองเห็นได้ดีทีเดียวว่าไม่ดีแน่ นี้แหละตัวบาป ทำบาปมันให้ผลเป็นทุกข์อย่างนี้ จะได้ทำบาปทางกายก็ใจทำบาป ใจโลภแล้วฆ่า ใจโกรธพยาบาทแล้วฆ่า ใจเห็นผิด เห็นว่าฆ่าสัตวดีจึงได้ใช้กายไปฆ่า ใจเป็นตัวเหตุแห่งการกระทำกรรมชั่ว กรรมไม่ดีทุกประเภท
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าคนเราจะดีก็เพราะกรรม จะชั่วก็เพราะกรรม ถ้าใครทำกรรมดีก็ได้ดีมีความสุข ถ้าใครทำกรรมชั่วก็ได้ชั่วมีความทุกข์ จะชี้ให้เห็นเหตุอย่างใจโกรธพยาบาทอย่างนี้ จะเป็นใจใครก็ช่าง ใจพระราชาโกรธก็เป็นทุกข์ ใจอัครมเหสีโกรธก็เป็นทุกข์ ใจฟ้าชายโกรธก็ เป็นทุกข์ ใจฟ้าหญิงโกรธก็เป็นทุกข์ ใจนายพลโกรธก็เป็นทุกข์ ใจนายพันโกรธก็เป็นทุกข์ ใจนายร้อยโกรธก็เป็นทุกข์ ใจพ่อค้าโกรธก็เป็นทุกข์ ใจชาวนาโกรธก็เป็นทุกข์ ใจชาวสวนโกรธก็เป็นทุกข์ ใจโกรธแล้วจะเป็นใจของชนชาติไหนก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ใจโกรธแล้วจะเป็นใจใครก็ชั่วทั้งนั้น เป็นทุกข์เดือดร้อนทั้งนั้น
ฉะนั้นในทางพุทธศาสนา ท่านจึงแสดงไว้ว่าคนจะดีก็เพราะกรรม จะชั่วก็เพราะกรรม ถ้าใจไม่โกรธแล้วใจใครก็ดีทั้งนั้น ฉะนั้นเรื่องทำกรรมนี้จึงควรจะสนใจดูให้มาก ใจทำแท้ๆ เหตุผล มันอยู่ที่ใจทำ กรรมก็ใจทำ วิบากผลสุขและทุกข์ก็ใจเป็นผู้เสวยก็น่าจะรู้ น่าจะเห็น แต่ใจไม่รู้กรรมที่ใจทำ ใจไม่เห็นกรรมที่ใจทำ เมื่อมีความทุกข์ใจขึ้นมาก็ไปโทษแต่เรื่องอื่นไม่ดี ว่าเป็นเพราะเขาด่าเรา เขาติตียนนินทาเรา เขาทำสิ่งของๆ เราให้เสียหาย ลมพัดก็ไปโทษลม เหยียบหนามก็ไปโทษหนาม ตำตอก็ไปโทษตอ ตัวเองไม่ติตัวเอง ธรรมารมณ์ดีและชั่วเป็นธรรมของโลก มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ ใจจะไปยินดี เขาก็เกิดแล้วดับไปอย่างนั้น ใจจะไปยินร้ายโกรธเกลียดชังเขา เขาก็เกิดแล้วดับไปอย่างนั้น ใจจะไปลุ่มหลงมัวเมา เขาก็เกิดขึ้นดับไปอย่างนั้น ธรรมโลก
โลก นี้เขาเป็นอย่างนี้ ใจไม่รู้เท่า ท่านจึงเรียกว่าใจหลงในสังขารอันไม่เที่ยงว่าเที่ยง ใจหลงในสังขารอันเป็นทุกข์ว่าสุข ใจหลงในธรรมทั้งปวงอันไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา ใจหลงไม่รู้จริงทั้งรูปทั้งนาม ใจหลงไม่รู้จริงทั้งธรรมภายในใจ ใจหลงไม่รู้จักบาปที่ใจทำ ใจหลงไม่รู้จักบุญที่ใจจะต้องทำว่าบุญคืออะไร ใจหลงไม่รู้จักทุกข์ ใจหลงไม่รู้เหตุเกิดทุกข ใจหลงไม่รู้ความดับทุกข์ ใจหลงไม่รู้ข้อปฏิบัติที่ให้ถึงความดับทุกข์ ใจหลง ใจไม่รู้ ใจมืดมนไปด้วยโมหะ อวิชชา แล้วจะไปสอนอะไร
ฐิตา:
ตโม ตม ปรายโน มืดมาก็มืดไป อดีต ใจก็มืดมน ปัจจุบันใจก็มืดมน ปัจจุบันใจหลง ใจโลภ ใจโกรธ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นบาปอย่างไร ใจทำอยู่ใจได้รับผลอยู่ ใจเป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่เพราะกิเลสที่ใจทำกรรมที่ใจสร้าง ยังโยนเรื่องออกไปนอกใจ แล้วจะไปละอะไรนอกใจ ปหาน ละเสีย ท่านสอนให้ละกิเลส บาป อกุศลภายในใจ ใจไม่มีสติระลึกได้ภายในใจ ใจไม่อายบาป ใจไม่กลัวบาป ใจหลงลืมพลั้งเผลอ ใจก็ไม่อาย ใจหลงลืมพลั้งเผลอใจก็ไม่กลัว ใจโลภอยากได้ยินดีในรูปในนามใจก็ไม่ละอาย ใจโลภอยากได้ยินดีในรูปในนามใจก็ไม่กลัว ใจโกรธให้รูปให้นามใจก็ไม่กลัว เมื่อใจโลภ โกรธ หลงได้ไม่ละอายไม่กลัวแล้วใจก็ทำบาปได้ทุกประเภท ใจยึดถือก็ได้ ใจตระหนี่เหนียวแน่นหวงแหนก็ได้ ใจยินดีในเวรห้า เวรแปด เวรสิบก็ได้ ใจทำนิวรณ์คือกามราคะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกกุจจะ วิจิกิจฉาก็ได้ ใจลุ่มหลงมัวเมาในกิเลส กามและวัตถุกามก็ได้
เมื่อใจไม่ละอายไม่กลัวบาปแล้ว ก็สะสมกิเลสและทุกข์ เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด เกิดมาแล้วก็แก่ เจ็บ ตาย เป็นเอนกอนันต์มาแล้วในอดีต น่าจะละอายน่าจะกลัว แต่โมหะความหลงมันครอบงำใจเสียแล้วไม่รู้จักบาปทั้งๆ ที่ใจทำอยู่ ไม่รู้ ไม่อาย ไม่กลัว เมื่อใจหลงไม่รู้จักบาปเสียแล้ว ใจจะเชื่อยังไง ทั้งๆที่ใจทำบาป ใจเป็นทุกข์ เดือดร้อนใจก็ยังไม่เชื่อว่าใจทำบาปได้บาป เพราะใจมืดบอดด้วยอวิชชาครอบงำ ใจไม่รู้ใจไม่เห็น ปัญญาเห็นใจทำบาปเป็นทุกข์เดือดร้อนไม่มี ไปโทษเสียแต่สิ่งอื่นนอกใจ ไปโทษคนโน้นไปโทษคนนี้ ไปโทษผีสางนางไม้ ไปโทษเทวดาอารักษ์ ไปโทษกรรมเวรติดตามสนอง ความจริงไปโทษกรรมนี้ถูก แต่ต้องดูกรรมให้ออกว่าเรามีกรรมเป็นของๆ ตน ตนได้ทำกรรมอันใดไว้ ใจ ได้ทำความโลภไว้ไหม ใจได้ทำความโกรธไว้ไหม ใจได้ทำความหลงไว้ไหม ในอดีต โอย..หลงเสียมากมาย โลภเสียมากมาย หลงโลกลืมตายมาแล้วมากมายเป็นเอนกอนันต์ เพราะ ใจหลง ใจลืม ใจระลึกไม่ได้นี้เอง ใจจึงไม่ละอายบาป ใจจึงไม่กลัวบาป แม้จะได้รับผลของบาปประสบกับความทุกข์ต่างๆ ในอบายภูมิมาแล้ว แต่โมหะความหลงมันทำให้ลืมบาปเสีย ลืมความทุกข์ยากในอดีตเสีย หลงในปัจจุบันและหลงต่อไปในอนาคต
พระ พุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณาปัจจุบันคือเดี๋ยวนี้ ถ้าจะมองอดีตชาติแล้วมันไกล ตาไม่ดีจะมองไม่เห็น อนาคตเล่ามันก็ยังมาไม่ถึง อย่าไปมองเลยถ้าตาไม่ดีก็จะมองไม่เห็น ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ใจโลภไหม ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ใจโกรธไหม ปัจจุบันเดี๋ยวนี้ใจหลงไหม ใจหลงไม่รู้อะไรในปัจจุบัน ใจจึงไม่รู้จักทุกข์ว่าอะไรเป็นทุกข์
ที่ท่าน ว่าหลงไม่รู้ทุกข์คือไม่รู้อย่างไร ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์คือไม่รู้อย่างไร ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์คือไม่รู้อย่างไร ถ้าใจรู้จริงรู้แจ้งหลงมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าใจไม่รู้จริงแล้วก็จะหลงในทุกข์ว่าเป็นสุข หลงในเหตุให้เกิดทุกข์ ว่าเป็นเหตุให้เกิดสุข ใจก็สร้างตัณหาความอยากได้ทุกข์ แสวงหาทุกข์ต่อไปอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น อยากแล้วอยากอีกไม่รู้จักอาย ไม่รู้จักกลัว
อยากได้นามรูปอันเป็นทุกข์ ใจก็เป็นทุกข์ ใจไม่อายใจไม่กลัว ใจจะมีความทุกข์ยากลำบากสักเพียงใดก็ยึดก็ถือ ถือมันเสียแล้วในตัณหา เป็นกามุปาทาน ถือมั่นความยินดี ยินดีได้ ถือมั่นได้ ใจไม่อายไม่กลัวเลย กล้ายินดี กล้ายึดมั่น ถือมั่น เมื่อไม่มีหิริ ความละอายบาป ใจไม่มีโอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาปแล้ว ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร
ฐิตา:
ศรัทธาก็แปลว่าความเชื่อ เชื่อกรรมเรียกว่า กัมมสัทธา กรรมก็คือการกระทำ ใจทำ ใจทำความโลภอยากได้ยินดีก็เป็นอกุศลกรรม เหตุให้เกิดทุกข์ภายในใจ ใจทำความโกรธพยาทอาฆาตจองเวรก็เป็นอกุศลกรรม เหตุให้เกิดทุกข์ภายในใจ ใจหลงใจและธรรมารมณ์อันเป็นธาตุเป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตาตัวตนเราเขาก็เป็น อกุศลกรรม เหตุให้เกิดผลอันเป็นทุกข์ภายในใจ
หลงก็คือ โมหมูล ใจหลงว่าใจเป็นตน เมื่อหลงใจเป็นตนแล้วก็ไปหลงนามรูปว่าเป็นตน เมื่อหลงเป็นตัวตนของเราแล้วก็ไปหลงว่าเป็นตัวตนของเขาก็หลงว่าเป็นนั่นเป็น นี่ เราเป็นชาย เราเป็นหญิงนะ เราเป็นไทยนะ เราเป็นลาวนะ เราเป็นเจ๊กนะ เราเป็นแขกนะ เราเป็นฝรั่งนะ หลงว่าเรามีเราเป็นไปตามสมมุติต่างๆ มากมาย ก็สมมุติธาตุ รูปธาตุ นามธาตุ ทั้งนั้น รูปอะไรก็ไม่นอกเหนือออกไปจากรูปธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม นามธาตุก็ไม่นอกเหนือไปจากเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
วิญญาณ ความรู้ก็วิญญาณธาตุ สังขารการปรุงแต่งต่างๆ ก็สังขารธาตุ สัญญาความจำต่างๆ ก็จำรูปธาตุนามธาตุ เวทนา สุข ทุกข์ อุเบกา ก็เวทนาธาตุ เมื่อย่นเข้ามาแล้วรูปนามทั้งปวงก็รูปธาตุนามธาตุ ใจหรือเรียกว่าจิตก็ธาตุรู้ บางคนไปเข้าใจว่าใจและจิตเป็นคนละอัน ไม่ใช่ ใจก็ธาตุรู้ จิตก็ธาตุรู้ ที่ท่านพูดว่าจิตแปดสิบเก้าดวงนั้นหมายถึงจิตใจที่สัมปยุตกับสังขารการนึก คิดปรุงแต่งอันแยกออกไปเป็นกุศลจิตบ้างเป็นอัพยากตจิตบ้าง จิตใจก็คือธาตุรู้ สังขารคือความคิด คิดไปทางบุญก็รู้บุญ คิดไปทางบาปก็รู้บาป คิดอย่างกลางๆ ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาปก็รู้กลางๆ ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป
สังขารคือความนึกคิดปรุงแต่งตัวนี้มีอวิชชาความไม่รู้เท่าเป็นปัจจัยอุดหนุนในปฏิจจสมุปบาท ท่าน จึงชี้ว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้มีสังขารการปรุงแต่ง สังขารเป็นปัจจัยให้มีวิญญาณความรู้ไปตามเรื่องของสังขารที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งไปมากก็รู้ไปมาก ทวนกลับ วิญญาณจะดับก็ต้องดับสังขาร สังขารจะดับต้องดับอวิชชาความไม่รู้ก็คือโมหะ หลงไม่รู้ ใจหลงไม่รู้เท่าสังขาร หลงไม่รู้ว่าเป็นธาตุเป็นอนัตตา เพราะหลงว่าใจอันเป็นธาตุเป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตาตัวตน
เมื่อ ใจไม่รู้สังขารการปรุงแต่งก็ไปหลงว่าสังขารเป็นตน หลงว่าตนนึกคิดปรุงแต่งต่อไปอีก ทั้งๆ ที่สังขารเป็นทุกข์ก็ไปหลงว่าเป็นสุข ทั้งๆ ที่สังขารไม่เที่ยงก็ไปหลงว่าเที่ยง ทั้งๆ ที่กายสังขารปฏิกูลก็ไปหลงว่าเป็นสวยงาม ใจหลงแล้วหลงอีกอยู่อย่างนั้นไม่ละอายไม่กลัว แต่ใจหลงอย่างเดียวก็เป็นเอนกอนันต์ ใจหนาแน่นไปด้วยโมหะความหลง ใจดื้อด้านเพราะหลง ใจว่ายากสอนยากเพราะหลง
ยิ่งท่านสอนอนัตตา สุญญตา แล้วยิ่งงงใหญ่ มืดแปดด้านเพราะมองไปที่ไหนมีแต่อัตตาตัวตน เราเขาทั้งนั้น ใจไม่รู้ไม่เห็นความเป็นธาตุเป็นอนัตตา ใจไม่รู้ใจเป็นธาตุเป็นอนัตตา ใจไม่รู้สังขารเป็นธาตุเป็นอนัตตา เพราะมืดคือโมหะความหลงใหญ่โตครอบงำใจเสียแล้ว หลงอย่างหน้าดื้อ หลงอย่างหน้าด้าน หลงอย่างไม่อาย หลงอย่างไม่กลัว หลงแล้วหลงอีก ใจหลงว่าใจเป็นตน หลงว่าสังขารเป็นตนจะละได้ด้วยอะไร จะละหลงออกจากใจได้ก็ต้องรู้อนัตตา รู้ใจเป็นธาตุเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่เป็นเราไม่มีเรา เป็นนั้นเป็นนี้มีแต่ธาตุสมมุติ ธาตุว่างเปล่าจากตัวตนเราเขา เมื่อใจรู้แจ้งเห็นจริง หลงว่ามีตัวตนเราเขาจึงจะสูญสิ้นไปจากดวงใจ สุญญตวิโมกข์ ใจว่างจากความหลง
เมื่อว่างจากตัวตนเราเขาไม่มีแล้ว ใครจะโลภใครจะโกรธ ใครจะยึดมั่นถือมั่นเพราะเราไม่มี มีแต่ธรรมธาตุ ธรรมดา ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ใจที่รู้แจ้งเห็นจริงนี้เรียกว่าใจมีวิชชา ใจเห็นจริงเรียกว่าใจมีปัญญา ปัญญาเห็นจริง เกิดขึ้นเพราะใจตั้งมั่นเป็นสมาธิ ใจจะตั้งมั่นได้เพราะใจมีวิริยะ เพียรวิตกวิจารอยู่ในธรรมที่เป็นอารมณ์ของสมาธิ ใจจะมีความเพียรเพราะใจมีศรัทธาเชื่อกรรม ใจจะเชื่อว่าใจทำกรรมดีจักได้ดี ใจทำกรรมชั่วจักได้ชั่วเพราะใจมีหิริความละอายบาป ใจมีโอตตัปปะความเกรงกลัวต่อบาป
เมื่อ ใจอายบาปกลับบาปแล้ว ใจก็น้อมไปในการทำบุญ ความเพียรบำเพ็ญบุญกุศลก็เกิดขึ้นเป็นลำดับ ความเพียรบำเพ็ญทานการให้ก็เจริญขึ้น ความพยายามรักษาศีลก็เจริญขึ้น ความเพียรพยายามทำใจให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิก็เจริญขึ้น ความพยายามฝึกฝนอบรมปัญญาพิจารณาสังขารโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นสุญญตาก็เจริญขึ้น วิชชาใจรู้อนิจจัง ใจรู้ทุกขัง ใจรู้อนัตตา ใจรู้สุญญตาก็เจริญขึ้น
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version