ที่มา http://www.galacticchannelings.com/english/anita-moorjani.html กระทู้นี้เป็นเรื่องราวที่น่าพิศวงของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อ แอนิต้า มุรจานิ (Anita Moorjani)
เธอป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ถูกหามเข้าห้อง ICU หมอบอกว่าเธออยู่ได้อีกไม่เกิน 36 ชั่วโมง
แต่หลังจากที่เธอ "ตัดสินใจเลือกว่าจะอยู่ต่อไป" แล้ว เธอก็ฟื้นขึ้นมา แม้ว่าก่อนหน้านั้น
อวัยวะต่างๆของเธอจะล้มเหลวไปแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังรอดตายมาได้
มิหนำซ้ำ หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว ผลการตรวจร่างกายของเธอทุกๆการทดสอบ ผ่านหมด
เซลมะเร็งนับจำนวนพันๆล้านเซล ที่กัดกินร่างกายเธอมาร่วม 4 ปีนั้น หายไปหมดสิ้นอย่างไร้ร่องรอย
ในทางการแพทย์แล้ว ไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้
เรื่องราวของเธอจึงถูกนำไปเผยแพร่ต่อๆไปอย่างกว้างขวาง
เพราะว่าในทันทีที่เธอฟื้นขึ้นมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้วนั้น ความคิดและความเข้าใจของเธอ
เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
มันจึงน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก หากได้รับรู้เรื่องราวของเธอเอาไว้บ้าง
เผื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า
คนที่กำลังป่วยด้วยโรคร้ายต่างๆอยู่ หรือกำลังเป็นมะเร็งอยู่ หรือมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง
ที่กำลังป่วยหนัก หรือใกล้ตายอยู่ น่าจะได้อ่านกระทู้นี้เป็นอย่างยิ่งครับ
ด้วยความปรารถนาดีครับ
แอนิต้า - ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน
...................
ที่มา: Anita's Inspiring Near-Death Story แอนิต้า มูรจานิ (Anita Moorjani) เป็นชาวอินเดียที่เกิดในสิงคโปร และไปอาศัยอยู่ในศรีลังกา
จากนั้นครอบครัวของเธอก็ย้ายไปอยู่ในฮ่องกง แล้วเธอก็โตที่นั่น
เธอพูดได้คล่องแคล่วทั้งภาษา Sindhi, จีนกวางตุ้ง และภาษาอังกฤษ และเธอยังเชี่ยวชาญ
ด้านการใช้สำนวนในภาษาท้องถิ่นต่างๆอีกด้วย เธอเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนอังกฤษที่อยู่ในอ่องกง
แล้วจากนั้นก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะกลับมาทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง
ของบริษัทแฟชั่นชาวฟรั่งเศษในประเทศฮ่องกง
ซึ่งเพราะงานของเธอนี่เอง จึงทำให้เธอได้มีโอกาสท่องเที่ยวไปทั่วโลก และได้ใช้ความเป็นคนหลากวัฒนธรรม
และหลากภาษาของเธอให้เป็นประโยชน์ในธุรกิจและในสังคมหลากหลายรูปแบบ
ในเดือนธันวาคม 1995 เธอได้แต่งงานกับสามีและคู่แท้ของเธอ ชื่อ Danny ผู้ที่ซึ่งรักเธอแบบไม่มีเงื่อนไข
ในเดือนเมษายน ปี 2002 เธอถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin
และในเดือนกุมภาพันธุ์ 2006 หลังจากที่ได้ต่อสู้กับมันมาร่วม 4 ปี เธอก็ถูกนำตัวส่งเข้าห้อง ICU
ในโรงพยาบาลใกล้บ้านแห่งหนึ่ง
แพทย์บอกว่าเธออาจจะอยู่ได้อีกแค่ไม่เกิน 36 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ประสบการณ์เฉียดตายของเธอ
ได้เยียวยารักษาเธอให้หายขาดจากโรคมะเร็งที่เธอกำลังเป็นอยู่นั้น ได้เพียงชั่วข้ามวันราวปาฏิหาริย์
และประสบการณ์ของเธอในครั้งนี้ก็ได้รับความสนใจ และถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ
ในเวปไซต์ของเธอ ][:: Anita Moorjani ::][ - Creating Heaven on Earth ]
มีบทสัมภาษณ์ของเธอหลายบทให้อ่าน และให้ฟังได้
บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2006 ซึ่งผู้สัมภาษณ์เธอคือ “สถาบันวิจัยประสบการณ์การเฉียดตาย”
หรือ Near Death Experience Research Foundation (NDERF) ตอนที่ 1: คำถาม: ..อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคุณ ในการปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 แห่งนี้
หลังจากที่คุณกลับคืนมาแล้ว
แอนิต้า: เป็นคำถามที่ดีค่ะ สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับฉันก็คือ การที่ฉันไม่สามารถจะมองโลก
ในแบบที่คนอื่นๆมองได้อีกต่อไปแล้ว ฉันไม่สามารถมองให้เห็นสิ่งต่างๆเป็น ในแบบที่คนส่วนใหญ่มองได้อีกต่อไปแล้ว
และฉันก็ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลข่าวสารในแบบที่ฉันเคยทำมาก่อนได้อีกต่อไปแล้ว ฉันทำไม่ได้จริงๆ
มันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันมองอะไรๆล่วงพ้นขอบเขตของ “มายาการ”
แห่งโลกทางกายภาพนี้ไปซะหมด
และฉันก็ไม่สามารถที่จะกลับไปคิดให้เหมือนกับวิธีที่ฉันเคยใช้คิดมาก่อนได้
จนบางครั้งคนอื่นๆก็เข้าใจฉันผิด นี่แหละคือสิ่งที่ฉันกลัวอย่างหนึ่งหละ ฉันกลัวว่าจะไม่มีใครเข้าใจฉัน
ตอนที่ 2: คำถาม: ใช่แล้ว ผมพอจะนึกออก มันคงจะเป็นความรู้สึกโดดเดี่ยว ที่มาพร้อมกับประสบการณ์
ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ง่ายๆ
คุณจะบอกผมอีกหน่อยได้ไหมครับว่า ว่าวิธีการคิดที่เปลี่ยนไปนี้
มันมีผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของคุณอย่างไร?
แอนิต้า: ตอนที่ฉันอยู่ในภาวะเฉียดตายนั้น ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกโลกหนึ่ง
มันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันได้ตื่นขึ้นมาจาก “มายาการ” แห่งชีวิตแล้ว
และจากมุมมองนั้น มันดูราวกับว่าชีวิตทางกายภาพของฉัน
มันเป็นแค่เพียงผลลัพธ์สุดท้ายของความคิดและความเชื่อของฉัน
ณ.จุดๆนั้น เท่านั้นเอง
มันรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกนี้ เป็นเพียงผลลัพธ์สุดท้ายของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกเท่านั้นเอง
นั่นคือผลลัพธ์สุดท้ายของทุกๆกระแสความคิด และความเชื่อของคนทุกคนบนโลก
มันรู้สึกราวกับว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นของจริง
แต่พวกเราเองต่างหากที่ทำให้มันกลายเป็นจริง
ด้วยความเชื่อของพวกเราเอง
ฉันเข้าใจแล้วว่า แม้แต่มะเร็งที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนั้น ก็ไม่ใช่ของจริงด้วย เพราะมันก็เป็นส่วนหนึ่ง
ของมายาการด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น
หากว่าฉันกลับเข้ามาอยู่ในร่างของฉันใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้วเมื่อใด มันจะต้องไม่มีมะเร็งเหลืออยู่อีกต่อไป
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันมีความเข้าใจที่อัศจรรย์ว่า ในส่วนลึกของพวกเราทุกๆคน
มันมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอยู่อย่างไร
และมันยังมีความเข้าใจด้วยว่า สิ่งที่ฉันรู้สึกอยู่ภายในขณะนี้ มันไปส่งผลกระทบต่อจักรวาลทั้งจักรวาลอย่างไร
มันรู้สึกราวกับว่า จักรวาลทั้งจักรวาลอยู่ในตัวฉันนี่เอง ตราบเท่าที่ฉันจะตระหนักรู้ได้
ถ้าฉันมีความสุข จักรวาลก็จะมีความสุขไปด้วย ถ้าฉันรักตัวฉันเอง ทุกๆคนก็จะรักฉันด้วย
ถ้าฉันมีความสงบสุข จักรวาลทั้งจักรวาลก็จะสงบสุขด้วย และก็อะไรทำนองนี้
รวมถึง มันไม่มีอะไรที่เป็นช่องว่างและกาลเวลาอยู่เลยในมิตินั้น
มันรู้สึกราวกับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน
ฉันเห็นสิ่งที่อาจจะเรียกว่า “อดีตชาติ” มากมาย ฉันเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้นด้วย
(เธอเห็นว่าพี่ชายของเธอกำลังอยู่บนเครื่องบิน เพื่อเดินทางมาเยี่ยมเธอ ตอนเขาได้ข่าวว่าเธอเสียชีวิตแล้ว
และเธอก็ได้ยินบทสนทนาของสมาชิกในครอบครัวของเธอกับคุณหมอ ซึ่งสนทนากันอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง
ห่างจากห้องที่เธอนอนป่วยอยู่ประมาณ40 ฟุต และหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว ปรากฏว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้
สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะเธอสามารถจำคำพูดในบทสนทนาเหล่านั้นได้หมดทุกคำ - ผู้แปล)
และฉันก็ได้เห็นอนาคตของฉันในชาติภพนี้ ที่มันได้ฉายภาพล่วงหน้าให้ดู
แต่มันเหมือนกับว่า ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน
และฉันก็รู้สึกว่า ฉันกำลังมีชีวิตอยู่ในทุกๆช่วงของชีวิตเหล่านั้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกันด้วย
มันรู้สึกราวกับว่า ภายหลังที่แต่ฉันกลับมาแล้ว จิตใจของฉันก็จะจัดการกับพวกมัน
ให้เป็นไปในแบบที่มีลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลัง แบบเป็นเส้นตรงเท่านั้นเอง แต่แท้ที่จริงแล้ว ในมิตินั้น
มันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย
และในขณะนั้น แม้แต่ระยะทางและกำแพงแข็ง ก็ยังไม่สามารถปิดกั้นการมองเห็นและการได้ยิน
”ทุกสิ่งทุกอย่าง” ที่เกี่ยวข้องกับฉัน ของฉันได้เลย
ตอนนี้พอกลับมาสู่ชีวิตในมิติที่ 3 นี้แล้ว มันยังรู้สึกราวกับว่า แม้แต่กำแพงแข็งและระยะทาง
ก็จะมีอยู่จริงได้ เพียงเพราะว่าพวกเราเลือกที่จะเชื่อว่ามันมีอยู่จริงเท่านั้นเอง
ตอนที่ 3: คำถาม: ว้าว! ผมพอจะนึกออกแล้วหละ ว่าประสบการณ์แบบนั้นมันคงทำให้จิตใจคุณสับสนน่าดูเลยทีเดียว
ดังนั้น ตอนนี้คุณพอจะบอกผมเพิ่มเติมอีกหน่อยได้ไหมครับ ว่าประสบการณ์เฉียดตายนี้
มีผลกระทบต่อวิธีการคิด และกระบวนการจัดการกับข้อมูลข่าวสารของคุณอย่างไร?
แอนิต้า: ได้ซิคะ อย่างแรกที่สุดเลย ทัศนคติของฉันที่มีเกี่ยวกับโลกได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
หลายเดือนมานี้ คุณหมอได้บอกกับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันนี้
มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยโดยสิ้นเชิง เพราะในทางการแพทย์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลย
พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้ว่า เซลมะเร็งจำนวนนับพันๆล้านเซลที่อยู่ในร่างกายฉัน
หายไปไหนหมดเพียงแค่ข้ามวันเท่านั้น
และในทางการแพทย์แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีคิดวิธีไหนก็ตาม ฉันควรจะต้องตายไปแล้ว
เพราะว่าอวัยวะของฉันหยุดทำงานไปแล้ว และต่อให้ฉันจะไม่ตายเพราะเซลมะเร็ง
ฉันก็น่าจะต้องตายเพราะยาที่ใช้ทำคีโมอยู่ดี
หรือไม่ก็ถ้าเซลมะเร็งจำนวนนับพันๆล้านเซลพยายามที่จะหนีเอาชีวิตรอด
จนกระจายไปทั่วร่างกายที่หยุดทำงานไปแล้วของฉัน นั่นก็สามารถทำให้ฉันตายได้แล้ว
ก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของฉันนี้เอง จึงทำให้ฉันมองไม่เห็น “สิ่งที่ร่างกายไม่สามารถทำได้”
เหลืออยู่อีกเลย เพราะว่าในใจของฉัน ฉันคือผู้ขีดเส้นแบ่งเอาไว้เอง ระหว่างการ “แก้ไขได้” หรือ “รักษาได้”
กับการ “แก้ไขไม่ได้” หรือ “รักษาไม่ได้”
แล้วตรงไหนหละ หรือหลักเกณฑ์ไหนหละที่ฉันใช้อ้างอิงเพื่อขีดเส้นแบ่งตรงนี้?
แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เอามาจาก “ความเป็นไปได้ด้านการแพทย์” แน่นอน
เพราะว่าฉันไม่สามารถยึดถือตรงนั้นเป็นเกณฑ์ได้อีกต่อไปแล้ว
คำว่า “เป็นไปไม่ได้” ไม่มีความหมายสำหรับฉันอีกต่อไปแล้ว
ขอบเขตระหว่าง “ความเป็นไปได้” กับ “ความเป็นไปไม่ได้”
มันเลือนรางมากๆสำหรับฉัน
ฉันมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของเรานี้ แตกต่างออกไปอย่างมาก
รวมถึงเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย และการแก่ด้วย ฉันท้าทายทุกอย่างที่คนทั่วไปคิดว่า “มันเป็นไปตามธรรมชาติ”
หรือคิดว่า “มันเป็นเรื่องปกติ”
สำหรับฉันตอนนี้แล้ว ฉันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการสร้างขึ้นมาของมนุษย์ทั้งนั้นเลย
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็เหมือนกับผลิตผลจากความเชื่อส่วนบุคคลและความเชื่อมวลรวมอื่นๆนั่นแหละ
การที่ได้มีประสบการณ์เฉียดตายนี้ มันรู้สึกราวกับว่า
“ไม่มีอะไรจริงเลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเป็นไปได้ทั้งหมด”
ตอนนี้ฉันดำรงชีวิตอยู่ โดยรู้ว่าฉันสามารถสร้างสรรค์โลกแห่งความเป็นจริงของฉันขึ้นมาเองได้
โดยอาศัยความเป็นจริงใหม่ที่ฉันได้เรียนรู้มานี้เป็นพื้นฐาน
ตอนที่ 4: คำถาม: นั่นเป็นวิถีชีวิตที่ทรงพลังมากๆเลย ตอนนี้ผมอยากจะถามคุณ เรื่องที่คุณบอกว่า
“คุณสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวคุณเอง”
แต่ก่อนที่ผมจะไปถึงคำถามนั้น ผมอยากจะย้อนกลับมาที่เรื่องของร่างกายอีกสักหน่อยหนึ่ง
มันเหมือนกับว่า ถ้าคุณไม่กลัวการเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว
มันก็เหมือนกับว่า คุณรู้สึกว่า พวกมันก็จะทำอะไรคุณไม่ได้ใช่ไหมครับ
คุณจะอธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกหน่อยได้ไหมครับ?
แอนิต้า: ตกลงค่ะ ก่อนที่ฉันจะมีประสบการณ์เฉียดตายนี้ สิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ “มะเร็ง”
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ “การทำคีโม” (เพราะว่าฉันเคยเห็นคนสองคนตายเพราะทำคีโมมาแล้ว)
แต่แล้วตัวฉันเอง ก็ต้องมามีประสบการณ์กับสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดทั้งสองอย่างนี้แบบเต็มๆเลย
มันเกือบจะเหมือนกับว่าชีวิตของฉันถูกกักขังเพราะความหวาดกลัวนี้ การมีประสบการณ์ในชีวิตของฉัน
จึงหดเล็กลงและเล็กลง
ตอนนี้มาที่เรื่องของประสบการณ์เฉียดตายต่อนะคะ ในสภาวะนี้ มันทำให้ความตระหนักรู้ภายในของฉัน
เปลี่ยนแปลงไปอย่างมโหฬารเลยทีเดียว
ความสามารถในการมองข้ามผ่านความเป็นมายาการได้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของมัน,
ความรู้สึกถึงความเชื่อมโยงอยู่กับจักรวาลทั้งจักรวาล ก็เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของมัน,
และการตระหนักรู้ว่ามีพลังงานแห่งความรักที่กำลังถาโถมเข้ามาหาและโอบล้อมเราอยู่ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
มันเป็นพลังงานแห่งความรักแบบไม่มีเงื่อนไข มันเป็นพลังงานที่ปราศจากการแบ่งแยก และการตัดสินถูกผิด
พลังงานแห่งจักรวาลนี้ มีอยู่ตรงนั้นแล้วสำหรับพวกเราทุกๆคน ไม่ว่าพวกเราจะเป็นใคร หรือเป็นอะไรก็ตาม
ตอนที่อยู่ในสภาะแห่งความตื่นรู้แบบเต็มรูปแบบนี้เอง ที่ฉันได้ตัดสินใจว่าจะกลับมามีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ต่อไป
ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้ มันเป็นการตัดสินใจที่ทรงพลังมากๆครั้งหนึ่งเลยทีเดียว
คุณรู้ไหมว่าทันทีที่ทางเลือกสองทาง คือเลือกว่า
“ฉันจะอยู่ต่อไป หรือฉันจะตาย”
มาปรากฏขึ้นต่อหน้าฉัน ฉันก็รู้ได้ทันทีเลยว่า
“เมื่อฉันได้ตัดสินใจเลือกลงไปแล้ว จะไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากตัวฉันเอง
ที่จะสามารถมาทำให้ฉันตายได้” ไม่มีเลย
และมันก็เป็นความจริงจริงๆ เพราะว่าเมื่อฉันได้เลือกทางเลือกที่ถูกนำเสนอมาให้นั้นแล้ว มันก็กลายมาเป็นความจริง
และในทันทีที่ฉันได้เลือกทางเลือกนั้นแล้ว
เซลทุกเซลในร่างกายของฉัน ก็ตอบสนองการตัดสินใจเลือกนั้นของฉัน
โดยทันทีเช่นเดียวกัน และฉันก็หายป่วยแทบจะในทันทีเลยทีเดียว
หมอพยายามทำการทดสอบร่างกายของฉันรายการแล้วรายการเล่า แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
ฉันเข้าใจแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกดำเนินการหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบทุกการทดสอบ,
การตัดเนื้อเยื่อไปตรวจ, การให้ยา และอื่นๆ ล้วนทำไปเพื่อทำให้คนรอบข้างฉันพึงพอใจเท่านั้นเอง
และแม้ว่าการทดสอบหรือการดำเนินการเหล่านั้น จะมีหลายอย่างที่ทำให้ฉันต้องเจ็บปวดมากๆ
แต่ฉันก็รู้ว่าฉันจะไม่เป็นอะไร
ตัวตนที่สูงส่งกว่าของฉัน หรือ จิตวิญญาณของฉัน หรือ วิญญาณของฉัน หรือ
ความเชื่อมโยงของฉันที่มีต่อทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ หรือชื่อใดๆก็ตามที่คุณอยากจะเรียก
ซึ่งหมายถึงส่วนหนึ่งของฉัน ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปภายในร่างกายนี้
และจะไม่มีอะไรที่อยู่ภายในมิติที่ 3 นี้มาส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจนี้ได้
มันรู้สึกราวกับว่า การตัดสินใจใดๆก็ตาม ที่มาจาก
“โลกแห่งความเป็นจริงที่จริงแท้” (the real reality)
จะอยู่เหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกแห่งมายาการใบนี้
และนี่แหละคือความรู้สึกที่ว่า “ไม่มีใครจะทำอะไรเราได้” ที่ว่านั้น
มันคือความรู้สึกที่ว่า “ไม่มีสิ่งใดๆภายนอก ที่จะมาทำอันตรายฉันได้”
ตอนที่ 5: คำถาม: คุณคิดว่าความรู้สึกแบบนี้ คนอื่นๆจะสามารถมีได้เหมือนกันไหม๊
หรือคุณคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในภาวะเฉียดตาย
หรือเฉพาะกับคนที่พิเศษบางคนเท่านั้น
แอนิต้า: ฉันเชื่อจริงๆว่า มันเป็นอะไรที่ใครๆก็มีได้ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าฉันพิเศษ หรือเป็นผู้ที่ถูกเลือก
หรืออะไรทำนองนั้นเลยแม้แต่น้อย
แต่บางทีคนเราอาจจะต้องมีระดับจิตที่ถูกที่ถูกส่วนก่อนเท่านั้นเอง
เพื่อให้การตระหนักรู้แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับชีวิตทางกายภาพของตนเอง
จริงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันอาจจะดูเหมือนว่าเป็นความบังเอิญมากกว่า แต่ก็ต้องอย่าลืมนะค่ะว่า
ฉันป่วยเป็นมะเร็งมาร่วม 4 ปีแล้ว ซึ่งในระหว่าง 4 ปีนี้ ฉันเปลี่ยนไปอย่างมาก
เพราะการที่ฉันต้องมีชีวิตอยู่ในฐานะของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ทั้งที่อายุยังค่อนข้างน้อย
และเพราะการที่ฉันต้องคอยเฝ้ามองดูความทรุดโทรมของตัวเองอยู่ตลอดเวลานี้
มันทำให้ฉัน และทัศนคติในการมองชีวิตของฉันเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เพราะว่ามันไม่อาจไม่เปลี่ยนแปลงได้!
ฉันรู้สึกว่าระยะเวลา 4 ปีนี้ ได้ช่วยเตรียมความพร้อมให้กับฉัน เพื่อเผชิญกับประสบการณ์เฉียดตาย
อย่างที่ฉันได้ประสบมาแล้วนี้
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าฉันจะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากพอ ที่จะรับมือกับการเลื่อนระดับทางจิตสำนึกนี้ได้หรือเปล่า
ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหากว่าฉันไม่ได้อยู่กับมะเร็งนี้มานานถึง 4 ปีอย่างนี้
สภาวะทางอารมณ์และสภาวะทางจิตใจของฉัน ก็อาจจะไม่ “สงบนิ่ง” ได้มากถึงขนาดนี้หรอก
เพราะว่าการที่ฉันอยู่กับมันมานาน จึงทำให้ฉันมาถึงจุดที่
พร้อมจะทำให้ “การเลื่อนระดับขึ้นทางจิตสำนึก” นี้ เกิดขึ้นได้แล้ว
ตอนนั้นชีวิตของฉัน ได้มาถึงจุดที่ว่า ในความคิดของฉัน
ไม่มีความยึดติดใดๆเหลืออยู่แล้ว
และฉันก็มาถึงจุดที่ สามารถปล่อยวางความอยากต่างๆได้หมดแล้ว
ซึ่งตามความเห็นของฉัน ฉันคิดว่าการได้มาถึงจุดเหล่านี้
เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับฉัน
ประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น มันได้ช่วยผลักดันให้ฉันได้บรรลุในสิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการ
นั่นก็คือการมองทะลุผ่านความเป็นมายาการให้ได้นั่นเอง
และเมื่อฉันได้เห็นแล้วว่าร่างกายเนื้อของฉันนี้ มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของฉัน
และเมื่อฉันรู้แล้วด้วยว่ามะเร็งนี้ ก็เป็นแค่มายาการอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
ดังนั้น ฉันจึงมองเห็นว่าตัวฉันเองได้รับความรักมากสักเพียงใด
แล้วฉันก็ระลึกถึงความสวยสดงดงามดั้งเดิมของฉันเองได้
และเมื่อฉันได้ตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
ร่างกายเนื้อของฉันก็สะท้อนสภาวะแห่ง
”การค้นพบใหม่” นี้ตามไปด้วยโดยปริยาย
ฉันมั่นใจว่ามีผู้คนอีกมากมาย ที่ได้มาถึงจุดที่มีความพร้อมทางจิตอยู่แล้ว
ที่จะทำให้การเลื่อนระดับขึ้นทางจิตสำนึกเช่นนี้ เกิดขึ้นได้ และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้อง
มีประสบการเฉียดตายเหมือนกับฉันแต่อย่างใด มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่พวกเขาอาจจะจำเป็นต้องทำ
นั่นก็คือ “ตระหนักรู้ให้ได้ว่ามันเป็นไปได้” และบางทีอาจจะแค่ดูตัวอย่างจากกรณีของฉันนี่ก็ได้
มันอาจจะสามารถกระตุ้นให้การตระหนักรู้ของพวกเขา เกิดขึ้นมา และออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ของพวกเขาเองบ้างก็ได้
ฉันเชื่อว่าเมื่อใดก็ตาม ที่มนุษย์พยายามที่จะเปิดใจยอมรับ ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับโลกแห่งความเป็นจริง
ของพวกเขาบ้างได้แล้ว มันก็จะไปจุดชนวนให้พวกเขาหันมาฝึกจิต เพื่อทำให้การยกระดับทางจิตสำนึกแบบนี้
เกิดขึ้นกับพวกเขาเองตามไปด้วย
ฉันไม่เชื่อว่าทุกๆคน จำเป็นจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อะไร ที่มันอุกฤษฏ์อย่างภาวะเฉียดตายแบบนี้เสมอไป
จึงจะได้เห็นปาฏิหาริย์หรอก
บางทีมันอาจจะทำได้ง่ายๆ โดยการปลดปล่อยความเชื่อ
ที่คอยฉุดรั้งตัวเองเอาไว้อยู่ออกไปเท่านั้นเอง
ปลดปล่อยตัวเองออกจากสภาวะนั้น สภาวะที่ๆชีวิตนี้เหมือนเป็นภาพลวงตา
มันเหมือนความยึดติดอย่างแรงกล้าของเรา ที่มีต่อความเชื่อบางอย่าง
ที่คอยปกป้องให้มายาการยังคงครอบงำเราอยู่ต่อไป
บางทีการพยายามที่จะค้นหาความเชื่อบางอย่างที่คอยแต่จะเหนี่ยวรั้งเราเอาไว้
แล้วปลดปล่อยมันไปเสีย ก็อาจจะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น
เพื่อก้าวไปข้างหน้าไปด้วยกัน ในฐานะจิตสำนึกมวลรวมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียว