ผู้เขียน หัวข้อ: แอนิต้า - ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น และหายป่วยจากมะเร็ง  (อ่าน 3891 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ที่มา
http://www.galacticchannelings.com/english/anita-moorjani.html






กระทู้นี้เป็นเรื่องราวที่น่าพิศวงของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อ แอนิต้า มุรจานิ (Anita Moorjani)
เธอป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ถูกหามเข้าห้อง ICU หมอบอกว่าเธออยู่ได้อีกไม่เกิน 36 ชั่วโมง

แต่หลังจากที่เธอ "ตัดสินใจเลือกว่าจะอยู่ต่อไป" แล้ว เธอก็ฟื้นขึ้นมา แม้ว่าก่อนหน้านั้น
อวัยวะต่างๆของเธอจะล้มเหลวไปแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังรอดตายมาได้

มิหนำซ้ำ หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว ผลการตรวจร่างกายของเธอทุกๆการทดสอบ ผ่านหมด
เซลมะเร็งนับจำนวนพันๆล้านเซล ที่กัดกินร่างกายเธอมาร่วม 4 ปีนั้น หายไปหมดสิ้นอย่างไร้ร่องรอย

ในทางการแพทย์แล้ว ไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้
เรื่องราวของเธอจึงถูกนำไปเผยแพร่ต่อๆไปอย่างกว้างขวาง

เพราะว่าในทันทีที่เธอฟื้นขึ้นมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้วนั้น ความคิดและความเข้าใจของเธอ
เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

มันจึงน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก หากได้รับรู้เรื่องราวของเธอเอาไว้บ้าง
เผื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า

คนที่กำลังป่วยด้วยโรคร้ายต่างๆอยู่ หรือกำลังเป็นมะเร็งอยู่ หรือมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง
ที่กำลังป่วยหนัก หรือใกล้ตายอยู่ น่าจะได้อ่านกระทู้นี้เป็นอย่างยิ่งครับ

ด้วยความปรารถนาดีครับ
แอนิต้า - ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน

...................


ที่มา: Anita's Inspiring Near-Death Story
แอนิต้า มูรจานิ (Anita Moorjani) เป็นชาวอินเดียที่เกิดในสิงคโปร และไปอาศัยอยู่ในศรีลังกา
จากนั้นครอบครัวของเธอก็ย้ายไปอยู่ในฮ่องกง แล้วเธอก็โตที่นั่น

เธอพูดได้คล่องแคล่วทั้งภาษา Sindhi, จีนกวางตุ้ง และภาษาอังกฤษ และเธอยังเชี่ยวชาญ
ด้านการใช้สำนวนในภาษาท้องถิ่นต่างๆอีกด้วย เธอเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนอังกฤษที่อยู่ในอ่องกง
แล้วจากนั้นก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะกลับมาทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง
ของบริษัทแฟชั่นชาวฟรั่งเศษในประเทศฮ่องกง

ซึ่งเพราะงานของเธอนี่เอง จึงทำให้เธอได้มีโอกาสท่องเที่ยวไปทั่วโลก และได้ใช้ความเป็นคนหลากวัฒนธรรม
และหลากภาษาของเธอให้เป็นประโยชน์ในธุรกิจและในสังคมหลากหลายรูปแบบ

ในเดือนธันวาคม 1995 เธอได้แต่งงานกับสามีและคู่แท้ของเธอ ชื่อ Danny ผู้ที่ซึ่งรักเธอแบบไม่มีเงื่อนไข


ในเดือนเมษายน ปี 2002 เธอถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin
และในเดือนกุมภาพันธุ์ 2006 หลังจากที่ได้ต่อสู้กับมันมาร่วม 4 ปี เธอก็ถูกนำตัวส่งเข้าห้อง ICU
ในโรงพยาบาลใกล้บ้านแห่งหนึ่ง

แพทย์บอกว่าเธออาจจะอยู่ได้อีกแค่ไม่เกิน 36 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ประสบการณ์เฉียดตายของเธอ
ได้เยียวยารักษาเธอให้หายขาดจากโรคมะเร็งที่เธอกำลังเป็นอยู่นั้น ได้เพียงชั่วข้ามวันราวปาฏิหาริย์

และประสบการณ์ของเธอในครั้งนี้ก็ได้รับความสนใจ และถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ


ในเวปไซต์ของเธอ ][:: Anita Moorjani ::][ - Creating Heaven on Earth ]
มีบทสัมภาษณ์ของเธอหลายบทให้อ่าน และให้ฟังได้


บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2006 ซึ่งผู้สัมภาษณ์เธอคือ “สถาบันวิจัยประสบการณ์การเฉียดตาย”
หรือ Near Death Experience Research Foundation (NDERF)



ตอนที่ 1:

คำถาม: ..อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคุณ ในการปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 แห่งนี้
หลังจากที่คุณกลับคืนมาแล้ว


แอนิต้า: เป็นคำถามที่ดีค่ะ สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับฉันก็คือ การที่ฉันไม่สามารถจะมองโลก
ในแบบที่คนอื่นๆมองได้อีกต่อไปแล้ว ฉันไม่สามารถมองให้เห็นสิ่งต่างๆเป็น ในแบบที่คนส่วนใหญ่มองได้อีกต่อไปแล้ว
และฉันก็ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลข่าวสารในแบบที่ฉันเคยทำมาก่อนได้อีกต่อไปแล้ว ฉันทำไม่ได้จริงๆ

มันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันมองอะไรๆล่วงพ้นขอบเขตของ “มายาการ”
แห่งโลกทางกายภาพนี้ไปซะหมด

และฉันก็ไม่สามารถที่จะกลับไปคิดให้เหมือนกับวิธีที่ฉันเคยใช้คิดมาก่อนได้
จนบางครั้งคนอื่นๆก็เข้าใจฉันผิด นี่แหละคือสิ่งที่ฉันกลัวอย่างหนึ่งหละ ฉันกลัวว่าจะไม่มีใครเข้าใจฉัน



ตอนที่ 2:

คำถาม: ใช่แล้ว ผมพอจะนึกออก มันคงจะเป็นความรู้สึกโดดเดี่ยว ที่มาพร้อมกับประสบการณ์
ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ง่ายๆ

คุณจะบอกผมอีกหน่อยได้ไหมครับว่า ว่าวิธีการคิดที่เปลี่ยนไปนี้
มันมีผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของคุณอย่างไร?

แอนิต้า:
ตอนที่ฉันอยู่ในภาวะเฉียดตายนั้น ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกโลกหนึ่ง

มันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันได้ตื่นขึ้นมาจาก “มายาการ” แห่งชีวิตแล้ว
และจากมุมมองนั้น มันดูราวกับว่าชีวิตทางกายภาพของฉัน
มันเป็นแค่เพียงผลลัพธ์สุดท้ายของความคิดและความเชื่อของฉัน
ณ.จุดๆนั้น เท่านั้นเอง

มันรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกนี้ เป็นเพียงผลลัพธ์สุดท้ายของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกเท่านั้นเอง
นั่นคือผลลัพธ์สุดท้ายของทุกๆกระแสความคิด และความเชื่อของคนทุกคนบนโลก

มันรู้สึกราวกับว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นของจริง
แต่พวกเราเองต่างหากที่ทำให้มันกลายเป็นจริง
ด้วยความเชื่อของพวกเราเอง

ฉันเข้าใจแล้วว่า แม้แต่มะเร็งที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนั้น ก็ไม่ใช่ของจริงด้วย เพราะมันก็เป็นส่วนหนึ่ง
ของมายาการด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น

หากว่าฉันกลับเข้ามาอยู่ในร่างของฉันใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้วเมื่อใด มันจะต้องไม่มีมะเร็งเหลืออยู่อีกต่อไป


และอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันมีความเข้าใจที่อัศจรรย์ว่า ในส่วนลึกของพวกเราทุกๆคน
มันมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอยู่อย่างไร
และมันยังมีความเข้าใจด้วยว่า สิ่งที่ฉันรู้สึกอยู่ภายในขณะนี้ มันไปส่งผลกระทบต่อจักรวาลทั้งจักรวาลอย่างไร

มันรู้สึกราวกับว่า จักรวาลทั้งจักรวาลอยู่ในตัวฉันนี่เอง ตราบเท่าที่ฉันจะตระหนักรู้ได้

ถ้าฉันมีความสุข จักรวาลก็จะมีความสุขไปด้วย ถ้าฉันรักตัวฉันเอง ทุกๆคนก็จะรักฉันด้วย
ถ้าฉันมีความสงบสุข จักรวาลทั้งจักรวาลก็จะสงบสุขด้วย และก็อะไรทำนองนี้

รวมถึง มันไม่มีอะไรที่เป็นช่องว่างและกาลเวลาอยู่เลยในมิตินั้น
มันรู้สึกราวกับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน

ฉันเห็นสิ่งที่อาจจะเรียกว่า “อดีตชาติ” มากมาย ฉันเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้นด้วย

(เธอเห็นว่าพี่ชายของเธอกำลังอยู่บนเครื่องบิน เพื่อเดินทางมาเยี่ยมเธอ ตอนเขาได้ข่าวว่าเธอเสียชีวิตแล้ว
และเธอก็ได้ยินบทสนทนาของสมาชิกในครอบครัวของเธอกับคุณหมอ ซึ่งสนทนากันอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง
ห่างจากห้องที่เธอนอนป่วยอยู่ประมาณ40 ฟุต และหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว ปรากฏว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้
สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะเธอสามารถจำคำพูดในบทสนทนาเหล่านั้นได้หมดทุกคำ - ผู้แปล)

และฉันก็ได้เห็นอนาคตของฉันในชาติภพนี้ ที่มันได้ฉายภาพล่วงหน้าให้ดู

แต่มันเหมือนกับว่า ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน
และฉันก็รู้สึกว่า ฉันกำลังมีชีวิตอยู่ในทุกๆช่วงของชีวิตเหล่านั้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกันด้วย

มันรู้สึกราวกับว่า ภายหลังที่แต่ฉันกลับมาแล้ว จิตใจของฉันก็จะจัดการกับพวกมัน
ให้เป็นไปในแบบที่มีลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลัง แบบเป็นเส้นตรงเท่านั้นเอง แต่แท้ที่จริงแล้ว ในมิตินั้น
มันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย

และในขณะนั้น แม้แต่ระยะทางและกำแพงแข็ง ก็ยังไม่สามารถปิดกั้นการมองเห็นและการได้ยิน
”ทุกสิ่งทุกอย่าง” ที่เกี่ยวข้องกับฉัน ของฉันได้เลย


ตอนนี้พอกลับมาสู่ชีวิตในมิติที่ 3 นี้แล้ว มันยังรู้สึกราวกับว่า แม้แต่กำแพงแข็งและระยะทาง
ก็จะมีอยู่จริงได้ เพียงเพราะว่าพวกเราเลือกที่จะเชื่อว่ามันมีอยู่จริงเท่านั้นเอง



ตอนที่ 3:

คำถาม: ว้าว! ผมพอจะนึกออกแล้วหละ ว่าประสบการณ์แบบนั้นมันคงทำให้จิตใจคุณสับสนน่าดูเลยทีเดียว
ดังนั้น ตอนนี้คุณพอจะบอกผมเพิ่มเติมอีกหน่อยได้ไหมครับ ว่าประสบการณ์เฉียดตายนี้
มีผลกระทบต่อวิธีการคิด และกระบวนการจัดการกับข้อมูลข่าวสารของคุณอย่างไร?


แอนิต้า:

ได้ซิคะ อย่างแรกที่สุดเลย ทัศนคติของฉันที่มีเกี่ยวกับโลกได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
หลายเดือนมานี้ คุณหมอได้บอกกับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันนี้
มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยโดยสิ้นเชิง เพราะในทางการแพทย์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลย
พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้ว่า เซลมะเร็งจำนวนนับพันๆล้านเซลที่อยู่ในร่างกายฉัน
หายไปไหนหมดเพียงแค่ข้ามวันเท่านั้น

และในทางการแพทย์แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีคิดวิธีไหนก็ตาม ฉันควรจะต้องตายไปแล้ว
เพราะว่าอวัยวะของฉันหยุดทำงานไปแล้ว และต่อให้ฉันจะไม่ตายเพราะเซลมะเร็ง
ฉันก็น่าจะต้องตายเพราะยาที่ใช้ทำคีโมอยู่ดี

หรือไม่ก็ถ้าเซลมะเร็งจำนวนนับพันๆล้านเซลพยายามที่จะหนีเอาชีวิตรอด
จนกระจายไปทั่วร่างกายที่หยุดทำงานไปแล้วของฉัน นั่นก็สามารถทำให้ฉันตายได้แล้ว
ก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของฉันนี้เอง จึงทำให้ฉันมองไม่เห็น “สิ่งที่ร่างกายไม่สามารถทำได้”
เหลืออยู่อีกเลย เพราะว่าในใจของฉัน ฉันคือผู้ขีดเส้นแบ่งเอาไว้เอง ระหว่างการ “แก้ไขได้” หรือ “รักษาได้”
กับการ “แก้ไขไม่ได้” หรือ “รักษาไม่ได้”

แล้วตรงไหนหละ หรือหลักเกณฑ์ไหนหละที่ฉันใช้อ้างอิงเพื่อขีดเส้นแบ่งตรงนี้?

แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เอามาจาก “ความเป็นไปได้ด้านการแพทย์” แน่นอน
เพราะว่าฉันไม่สามารถยึดถือตรงนั้นเป็นเกณฑ์ได้อีกต่อไปแล้ว

คำว่า “เป็นไปไม่ได้” ไม่มีความหมายสำหรับฉันอีกต่อไปแล้ว
ขอบเขตระหว่าง “ความเป็นไปได้” กับ “ความเป็นไปไม่ได้”
มันเลือนรางมากๆสำหรับฉัน

ฉันมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของเรานี้ แตกต่างออกไปอย่างมาก
รวมถึงเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย และการแก่ด้วย ฉันท้าทายทุกอย่างที่คนทั่วไปคิดว่า “มันเป็นไปตามธรรมชาติ”
หรือคิดว่า “มันเป็นเรื่องปกติ”

สำหรับฉันตอนนี้แล้ว ฉันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการสร้างขึ้นมาของมนุษย์ทั้งนั้นเลย
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็เหมือนกับผลิตผลจากความเชื่อส่วนบุคคลและความเชื่อมวลรวมอื่นๆนั่นแหละ

การที่ได้มีประสบการณ์เฉียดตายนี้ มันรู้สึกราวกับว่า

“ไม่มีอะไรจริงเลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเป็นไปได้ทั้งหมด”

ตอนนี้ฉันดำรงชีวิตอยู่ โดยรู้ว่าฉันสามารถสร้างสรรค์โลกแห่งความเป็นจริงของฉันขึ้นมาเองได้
โดยอาศัยความเป็นจริงใหม่ที่ฉันได้เรียนรู้มานี้เป็นพื้นฐาน



ตอนที่ 4:

คำถาม: นั่นเป็นวิถีชีวิตที่ทรงพลังมากๆเลย ตอนนี้ผมอยากจะถามคุณ เรื่องที่คุณบอกว่า

“คุณสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวคุณเอง”

แต่ก่อนที่ผมจะไปถึงคำถามนั้น ผมอยากจะย้อนกลับมาที่เรื่องของร่างกายอีกสักหน่อยหนึ่ง
มันเหมือนกับว่า ถ้าคุณไม่กลัวการเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว
มันก็เหมือนกับว่า คุณรู้สึกว่า พวกมันก็จะทำอะไรคุณไม่ได้ใช่ไหมครับ

คุณจะอธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกหน่อยได้ไหมครับ?


แอนิต้า:

ตกลงค่ะ ก่อนที่ฉันจะมีประสบการณ์เฉียดตายนี้ สิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ “มะเร็ง”
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ “การทำคีโม” (เพราะว่าฉันเคยเห็นคนสองคนตายเพราะทำคีโมมาแล้ว)

แต่แล้วตัวฉันเอง ก็ต้องมามีประสบการณ์กับสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดทั้งสองอย่างนี้แบบเต็มๆเลย
มันเกือบจะเหมือนกับว่าชีวิตของฉันถูกกักขังเพราะความหวาดกลัวนี้ การมีประสบการณ์ในชีวิตของฉัน
จึงหดเล็กลงและเล็กลง


ตอนนี้มาที่เรื่องของประสบการณ์เฉียดตายต่อนะคะ ในสภาวะนี้ มันทำให้ความตระหนักรู้ภายในของฉัน
เปลี่ยนแปลงไปอย่างมโหฬารเลยทีเดียว

ความสามารถในการมองข้ามผ่านความเป็นมายาการได้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของมัน,

ความรู้สึกถึงความเชื่อมโยงอยู่กับจักรวาลทั้งจักรวาล ก็เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของมัน,

และการตระหนักรู้ว่ามีพลังงานแห่งความรักที่กำลังถาโถมเข้ามาหาและโอบล้อมเราอยู่ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง

มันเป็นพลังงานแห่งความรักแบบไม่มีเงื่อนไข มันเป็นพลังงานที่ปราศจากการแบ่งแยก และการตัดสินถูกผิด
พลังงานแห่งจักรวาลนี้ มีอยู่ตรงนั้นแล้วสำหรับพวกเราทุกๆคน ไม่ว่าพวกเราจะเป็นใคร หรือเป็นอะไรก็ตาม

ตอนที่อยู่ในสภาะแห่งความตื่นรู้แบบเต็มรูปแบบนี้เอง ที่ฉันได้ตัดสินใจว่าจะกลับมามีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ต่อไป
ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้ มันเป็นการตัดสินใจที่ทรงพลังมากๆครั้งหนึ่งเลยทีเดียว


คุณรู้ไหมว่าทันทีที่ทางเลือกสองทาง คือเลือกว่า
“ฉันจะอยู่ต่อไป หรือฉันจะตาย”
มาปรากฏขึ้นต่อหน้าฉัน ฉันก็รู้ได้ทันทีเลยว่า
“เมื่อฉันได้ตัดสินใจเลือกลงไปแล้ว จะไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากตัวฉันเอง
ที่จะสามารถมาทำให้ฉันตายได้” ไม่มีเลย

และมันก็เป็นความจริงจริงๆ เพราะว่าเมื่อฉันได้เลือกทางเลือกที่ถูกนำเสนอมาให้นั้นแล้ว มันก็กลายมาเป็นความจริง

และในทันทีที่ฉันได้เลือกทางเลือกนั้นแล้ว
เซลทุกเซลในร่างกายของฉัน ก็ตอบสนองการตัดสินใจเลือกนั้นของฉัน
โดยทันทีเช่นเดียวกัน และฉันก็หายป่วยแทบจะในทันทีเลยทีเดียว

หมอพยายามทำการทดสอบร่างกายของฉันรายการแล้วรายการเล่า แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
ฉันเข้าใจแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกดำเนินการหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบทุกการทดสอบ,
การตัดเนื้อเยื่อไปตรวจ, การให้ยา และอื่นๆ ล้วนทำไปเพื่อทำให้คนรอบข้างฉันพึงพอใจเท่านั้นเอง

และแม้ว่าการทดสอบหรือการดำเนินการเหล่านั้น จะมีหลายอย่างที่ทำให้ฉันต้องเจ็บปวดมากๆ
แต่ฉันก็รู้ว่าฉันจะไม่เป็นอะไร


ตัวตนที่สูงส่งกว่าของฉัน หรือ จิตวิญญาณของฉัน หรือ วิญญาณของฉัน หรือ
ความเชื่อมโยงของฉันที่มีต่อทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ หรือชื่อใดๆก็ตามที่คุณอยากจะเรียก
ซึ่งหมายถึงส่วนหนึ่งของฉัน ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปภายในร่างกายนี้
และจะไม่มีอะไรที่อยู่ภายในมิติที่ 3 นี้มาส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจนี้ได้

มันรู้สึกราวกับว่า การตัดสินใจใดๆก็ตาม ที่มาจาก
“โลกแห่งความเป็นจริงที่จริงแท้” (the real reality)
จะอยู่เหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลกแห่งมายาการใบนี้

และนี่แหละคือความรู้สึกที่ว่า “ไม่มีใครจะทำอะไรเราได้” ที่ว่านั้น
มันคือความรู้สึกที่ว่า “ไม่มีสิ่งใดๆภายนอก ที่จะมาทำอันตรายฉันได้”



ตอนที่ 5:

คำถาม: คุณคิดว่าความรู้สึกแบบนี้ คนอื่นๆจะสามารถมีได้เหมือนกันไหม๊
หรือคุณคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในภาวะเฉียดตาย
หรือเฉพาะกับคนที่พิเศษบางคนเท่านั้น


แอนิต้า:
ฉันเชื่อจริงๆว่า มันเป็นอะไรที่ใครๆก็มีได้ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าฉันพิเศษ หรือเป็นผู้ที่ถูกเลือก
หรืออะไรทำนองนั้นเลยแม้แต่น้อย

แต่บางทีคนเราอาจจะต้องมีระดับจิตที่ถูกที่ถูกส่วนก่อนเท่านั้นเอง
เพื่อให้การตระหนักรู้แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับชีวิตทางกายภาพของตนเอง

จริงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันอาจจะดูเหมือนว่าเป็นความบังเอิญมากกว่า แต่ก็ต้องอย่าลืมนะค่ะว่า
ฉันป่วยเป็นมะเร็งมาร่วม 4 ปีแล้ว ซึ่งในระหว่าง 4 ปีนี้ ฉันเปลี่ยนไปอย่างมาก

เพราะการที่ฉันต้องมีชีวิตอยู่ในฐานะของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ทั้งที่อายุยังค่อนข้างน้อย
และเพราะการที่ฉันต้องคอยเฝ้ามองดูความทรุดโทรมของตัวเองอยู่ตลอดเวลานี้
มันทำให้ฉัน และทัศนคติในการมองชีวิตของฉันเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เพราะว่ามันไม่อาจไม่เปลี่ยนแปลงได้!

ฉันรู้สึกว่าระยะเวลา 4 ปีนี้ ได้ช่วยเตรียมความพร้อมให้กับฉัน เพื่อเผชิญกับประสบการณ์เฉียดตาย
อย่างที่ฉันได้ประสบมาแล้วนี้

ฉันเองก็ไม่รู้ว่าฉันจะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากพอ ที่จะรับมือกับการเลื่อนระดับทางจิตสำนึกนี้ได้หรือเปล่า
ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหากว่าฉันไม่ได้อยู่กับมะเร็งนี้มานานถึง 4 ปีอย่างนี้
สภาวะทางอารมณ์และสภาวะทางจิตใจของฉัน ก็อาจจะไม่ “สงบนิ่ง” ได้มากถึงขนาดนี้หรอก

เพราะว่าการที่ฉันอยู่กับมันมานาน จึงทำให้ฉันมาถึงจุดที่
พร้อมจะทำให้ “การเลื่อนระดับขึ้นทางจิตสำนึก” นี้ เกิดขึ้นได้แล้ว

ตอนนั้นชีวิตของฉัน ได้มาถึงจุดที่ว่า ในความคิดของฉัน
ไม่มีความยึดติดใดๆเหลืออยู่แล้ว

และฉันก็มาถึงจุดที่ สามารถปล่อยวางความอยากต่างๆได้หมดแล้ว
ซึ่งตามความเห็นของฉัน ฉันคิดว่าการได้มาถึงจุดเหล่านี้
เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับฉัน

ประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น มันได้ช่วยผลักดันให้ฉันได้บรรลุในสิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการ
นั่นก็คือการมองทะลุผ่านความเป็นมายาการให้ได้นั่นเอง

และเมื่อฉันได้เห็นแล้วว่าร่างกายเนื้อของฉันนี้ มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของฉัน
และเมื่อฉันรู้แล้วด้วยว่ามะเร็งนี้ ก็เป็นแค่มายาการอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

ดังนั้น ฉันจึงมองเห็นว่าตัวฉันเองได้รับความรักมากสักเพียงใด
แล้วฉันก็ระลึกถึงความสวยสดงดงามดั้งเดิมของฉันเองได้

และเมื่อฉันได้ตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
ร่างกายเนื้อของฉันก็สะท้อนสภาวะแห่ง
”การค้นพบใหม่” นี้ตามไปด้วยโดยปริยาย


ฉันมั่นใจว่ามีผู้คนอีกมากมาย ที่ได้มาถึงจุดที่มีความพร้อมทางจิตอยู่แล้ว
ที่จะทำให้การเลื่อนระดับขึ้นทางจิตสำนึกเช่นนี้ เกิดขึ้นได้ และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้อง
มีประสบการเฉียดตายเหมือนกับฉันแต่อย่างใด มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่พวกเขาอาจจะจำเป็นต้องทำ

นั่นก็คือ “ตระหนักรู้ให้ได้ว่ามันเป็นไปได้” และบางทีอาจจะแค่ดูตัวอย่างจากกรณีของฉันนี่ก็ได้
มันอาจจะสามารถกระตุ้นให้การตระหนักรู้ของพวกเขา เกิดขึ้นมา และออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ของพวกเขาเองบ้างก็ได้

ฉันเชื่อว่าเมื่อใดก็ตาม ที่มนุษย์พยายามที่จะเปิดใจยอมรับ ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับโลกแห่งความเป็นจริง
ของพวกเขาบ้างได้แล้ว มันก็จะไปจุดชนวนให้พวกเขาหันมาฝึกจิต เพื่อทำให้การยกระดับทางจิตสำนึกแบบนี้
เกิดขึ้นกับพวกเขาเองตามไปด้วย

ฉันไม่เชื่อว่าทุกๆคน จำเป็นจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อะไร ที่มันอุกฤษฏ์อย่างภาวะเฉียดตายแบบนี้เสมอไป
จึงจะได้เห็นปาฏิหาริย์หรอก

บางทีมันอาจจะทำได้ง่ายๆ โดยการปลดปล่อยความเชื่อ
ที่คอยฉุดรั้งตัวเองเอาไว้อยู่ออกไปเท่านั้นเอง

ปลดปล่อยตัวเองออกจากสภาวะนั้น สภาวะที่ๆชีวิตนี้เหมือนเป็นภาพลวงตา
มันเหมือนความยึดติดอย่างแรงกล้าของเรา ที่มีต่อความเชื่อบางอย่าง
ที่คอยปกป้องให้มายาการยังคงครอบงำเราอยู่ต่อไป

บางทีการพยายามที่จะค้นหาความเชื่อบางอย่างที่คอยแต่จะเหนี่ยวรั้งเราเอาไว้
แล้วปลดปล่อยมันไปเสีย ก็อาจจะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น

เพื่อก้าวไปข้างหน้าไปด้วยกัน ในฐานะจิตสำนึกมวลรวมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียว
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ที่มา
http://www.galacticchannelings.com/english/anita-moorjani.html






ตอนที่ 6:

คำถาม: มาถึงตรงนี้ ขอผมกลับไปยังคำถามที่ผมยังค้างไว้อยู่ตั้งแต่ตอนต้นก่อนนะครับ
ว่าเราจะสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของเราขึ้นมาได้อย่างไร?



แอนิต้า:

จากมุมมองของมิติอื่น มันรู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเลยที่เป็นของจริงจริงๆ
มันเป็นเพราะความเชื่อของเราเองล้วนๆ ที่ทำให้พวกมันดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น

ตอนนี้คุณต้องรู้ว่า ฉันกำลังทบทวนสิ่งที่ฉันเชื่ออยู่ และฉันก็เลือกเชื่อแต่เฉพาะสิ่งที่จะทำให้ชีวิตฉันดีขึ้นเท่านั้นด้วย
และฉันก็พยายามที่จะปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีข้อจำกัด
หรือที่มันไม่ทำให้ฉันรู้สึกในด้านบวกออกไปให้หมด

ฉันรู้สึกว่าเมื่อใดที่คุณเริ่มต้นเชื่อได้แล้วว่า บางสิ่งบางอย่างมันมีความเป็นไปได้
นั่นหมายถึงคุณได้เริ่มนำมันเข้ามาสู่การตระหนักรู้ของคุณแล้ว แล้วเมื่อนั้น
มันก็จะเริ่มกลายมาเป็นความจริงสำหรับคุณเอง

ยิ่งคุณมีความเชื่อกับมันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งจะ
เริ่มกลายมาเป็นความจริงให้กับคุณได้มากเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม มันจึงมีความสำคัญมาก
ที่จะเชื่อแต่สิ่งที่ดีๆ แทนที่จะไปเชื่อแต่สิ่งที่ร้ายๆ

เพราะไม่ว่าคุณจะเชื่อว่าอย่างไรก็ตาม
คุณก็จะพบว่ามันเป็นไปตามนั้นเสมอ คุณจะถูกเสมอ


จักรวาลมีวิธีการที่จะนำเสนอตามแบบที่คุณเชื่อเสมอ
ถ้าคุณเชื่อว่าชีวิตคือสิ่งสวยงามและยิ่งใหญ่ คุณก็จะคิดถูก

แต่ถ้าคุณเชื่อว่าชีวิตมีแต่ความทุกข์ยากลำบาก
คุณก็จะถูกพิสูจน์ให้เห็นว่า มันเป็นเช่นนั้นจริงๆด้วย


ความตั้งใจส่วนตัวของฉัน คืออยากจะทำให้ผู้คนตระหนักรู้ว่า ร่างกายของมนุษย์เราสามารถทำอะไรได้บ้าง
เพื่อให้พวกเขานำไปใส่ในระบบความเชื่อของพวกเขา ยิ่งถ้ามีผู้คนเชื่อมากเท่าไหร่
พวกเราก็จะได้เห็นปรากฏการณ์แบบที่เกิดขึ้นกับฉันนี้มากขึ้นเท่านั้นด้วย


ตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์ใดๆที่ถูกเรียกว่าปาฏิหาริย์นั้น ก็เป็นเพราะว่า
มันเกิดขึ้นอยู่นอกเหนือระบบความเชื่อของเรา แต่เมื่อใดที่พวกเราได้เห็นมันเกิดขึ้นแล้ว เราถึงจะเริ่มเชื่อมัน
และเมื่อเราเริ่มเชื่อมันแล้ว มันก็จะเข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริงของเรา และเริ่มเกิดขึ้นบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้น

มันง่ายอย่างนั้นเลยแหละ



ตอนที่ 7:

คำถาม: ใช่แล้วครับ ถ้าหากความเชื่อของเรา สร้างโลกแห่งความเป็นจริงให้กับเราแล้ว
มันก็มีความจำเป็นจริงๆที่ควรจะต้องเลือกเชื่อแต่ในสิ่งที่ดีๆ และที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตเรา
แทนที่จะไปเชื่อแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเรา

แต่ว่าเราจะทำเช่นนั้นในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งร้ายๆแบบนี้ได้อย่างไรหละครับ?


แอนิต้า:

ยังจำที่ฉันบอกไปตั้งแต่ตอนต้นได้ไหมคะว่า
ฉันรู้สึกว่าจักรวาลทั้งจักรวาลอยู่ภายในตัวฉันนี่แหละ
โลกภายนอกเป็นแค่เพียงภาพสะท้อน ของโลกภายในของฉันเองเท่านั้น

มีผู้คนมากมายที่บอกว่าโลกเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แต่นั่นมันไม่จริงเลย ลองมองดูรอบๆตัวคุณเองสิคะ
ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ มันมีอยู่และเป็นอยู่พร้อมๆกันหมดในเวลาเดียวกัน ทั้งสิ่งดีและสิ่งร้ายๆทั้งหลาย

มันมีทั้งความยากจน และความร่ำรวย มันมีทั้งการเจ็บไข้ได้ป่วยและการมีสุขภาพที่ดี
มันมีทั้งความรักและความเกลียดชัง รวมถึงความกลัวด้วย และมันก็มีทั้งความสุขและความทุกข์ด้วย
และอื่นๆอีกมากมาย


และมันก็ไม่ได้มีสิ่งร้ายๆมากกว่าสิ่งดีๆแต่อย่างใดเลย
แต่มันเป็นเพราะว่าเราเลือกที่จะมองโลกในแง่นี้เองต่างหากหละ
เราจึงเห็นว่ามันมีแต่ความชั่วร้ายเต็มไปหมด
และยิ่งถ้าเราเลือกที่จะมองมันในแง่นี้มากเท่าไหร่
และยิ่งเราไปจดจ่อกับมัน และใส่พลังงานเพิ่มเข้าไปให้มันมากเท่าไหร่
มันก็จะยิ่งถูกดึงดูดให้เข้ามาสู่ชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้นด้วย

และนั่นก็เท่ากับว่า เราไปสร้างมันขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริงของเราแล้ว


จำได้ไหมคะว่า ที่ฉันบอกว่า ฉันเชื่อว่าโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ ถูกสร้างขึ้นมาจากจิตสำนึกมวลรวม
ของพวกเราทุกๆคน

นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันรู้สึกว่าฉันได้ค้นพบ ในระหว่างที่ฉันกำลังเผชิญกับสภาวะเฉียดตายในครั้งนั้น

พวกเราทุกๆคนในฐานะปัจเจกบุคคล มีทางเลือกให้เลือกเสมอ
เราสามารถเลือกที่จะเชื่อแบบใดก็ได้ แล้วโลกแห่งความเป็นจริงของเรา
ก็จะออกมาให้เราเห็น ในแบบที่เราเลือกที่จะเชื่อนั้นเสมอ



ตอนที่ 8:

คำถาม: ถ้าอย่างนั้น ถ้าชีวิตของใครบางคนดูไม่โสภาเอาซะเลย คุณจะแนะนำเขาว่าอย่างไร เพื่อที่จะให้เปลี่ยนแปลงมันได้?


แอนิต้า:

ฉันชอบคำถามนี้จังเลย เพราะมันทำให้ฉันได้มีโอกาสพูดถึงความสำคัญของการรักตัวเองแบบไม่มีเงื่อนไข

ฉันอยากจะแนะนำมากๆเลยว่า ให้ฝึกรักตัวเองแบบไม่มีเงื่อนไข

จำได้ไหมคะ ที่ฉันบอกว่าจักรวาลคือภาพสะท้อนของความเป็นฉันเอง
ถ้าฉันกำลังท้อแท้สิ้นหวังกับชีวิตอยู่หละก็ มันก็ไร้ประโยชน์ที่จะไปคิดเปลี่ยนสิ่งภายนอกทั้งหลาย
โดยไม่หันมามองดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับภายในของตนเองอยู่ก่อน

พวกเราหลายคนมีทัศนคติในแง่ลบมากๆกับตัวเอง พวกเราคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเราเอง

สิ่งแรกที่ฉันอยากจะบอกก็คือว่า ไม่ว่าในตอนนี้ชีวิตของคุณ
จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่จงหยุดตัดสินตัวเองและหยุดทำร้ายตัวเองเสียที

ถ้าฉันพบว่าฉันเอาแต่ไม่พอใจคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา และกำลังเที่ยวไปตัดสินใครต่อใครอยู่อยู่ตลอดเวลา
นั่นมันเป็นเพราะว่า ภายในตัวฉันเองกำลังเป็นแบบเดียวกันกับผู้คนที่ฉันกำลังตัดสินอยู่นั้นตลอดเวลา

นั่นหมายถึงฉันกำลังนำเอาความคิดที่ฉัน
กำลังพูดกับตัวฉันเองอยู่ภายใน แสดงออกมาสู่ภายนอกเท่านั้นเอง

แต่ถ้าฉันมีความรักกับตัวฉันเองแบบไม่มีเงื่อนไขมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งง่ายขึ้น
ที่ฉันจะมองเห็นความสวยงามของโลกใบนี้ และของคนอื่นๆ

ถ้าฉันสามารถรักตัวฉันเองได้ และเลิกตัดสินตัวเองได้ รวมถึงสามารถมองเห็นความสมบูรณ์แบบ
ของตัวฉันเองได้แล้วหละก็ ฉันก็จะสามารถรักผู้อื่น และมองเห็นความสมบุรณ์แบบของผู้อื่นได้ด้วยโดยอัตโนมัติ

และถ้าฉันยิ่งรักตัวฉันเองมากเท่าไหร่ ฉันก็จะยิ่งรักคนอื่นๆได้มากเท่านั้นด้วย
เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะรักคนอื่นๆได้มากกว่ารักตัวคุณเอง

ในทางกลับกันผู้คนมักเชื่อว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัวที่จะรักตัวเอง แต่นั่นมันไม่จริงเลย
เพราะว่าเราไม่สามารถจะให้ในสิ่งที่เราไม่มีแก่ใครได้

ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน มันก็เป็นแค่ผลลัพธ์สุดท้ายของความคิดและความเชื่อของคุณ ณ.จุดนั้นเท่านั้นเอง
และคุณก็สามารถเปลี่ยนมันได้ อย่าลืมนะคะว่า ฉันเปลี่ยนโรคมะเร็งของฉันในชั่วโมงที่ 11
(ตอนที่เธอไปถึงโรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่า เธอจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 36 ชั่วโมง และพอชั่วโมงที่ 11
เธอก็หายจากโรคมะเร็ง อะไรประมาณนั้นครับ – ผู้แปล) แม้ว่าหมอจะบอกว่ามันสายเกินไปแล้วก็ตาม
แต่มันก็ยังไม่สายเกินไป

ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ต้องตระหนักรู้ว่า

“มันไม่เคยมีคำว่าสายเกินไป ที่จะทำอะไรซักอย่าง หรือเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”

มันสำคัญมากที่จะต้องมองให้เห็นพลังอำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบันขณะ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้
ถ้าคุณเชื่อเรื่อง “อะไรที่เหมือนๆกัน มันจะดึงดูดซึ่งกันและกัน” หละก็

ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ที่จะสามารถดึงดูดเอาสิ่งที่ดีที่สุด
เข้ามาในชีวิตคุณได้ ก็คือการรักตัวคุณเอง ให้มากจนถึงจุดที่
ตัวคุณเองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แล้วมันก็จะไปดึงดูด
เอาเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับความเชื่อที่คุณมีต่อตัวคุณเองเท่านั้น
ให้เข้ามาสู่ชีวิตของคุณ

มันง่ายมากๆอย่างนั้นจริงๆนะคะ จริงๆค่ะ



ตอนที่ 9:

คำถาม: คุณจะบอกผมได้ไหมว่า เราจะกลายเป็นคนที่มีความรักแบบไม่มีเงื่อนไข
ในโลกที่ไม่ได้มีแต่ความรักแบบนี้ได้อย่างไร?


แอนิต้า:

อย่างแรกเลย จำได้ไหมคะที่ฉันบอกว่า ฉันรู้สึกว่าจักรวาลคือภาพสะท้อนของโลกภายในของฉันเอง
ดังนั้น ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข จึงไม่ใช่การแผ่ขยายออกไปสู่โลกหรือจักรวาลภายนอก
แต่ฉันแผ่มันกลับเข้าไปข้างในตัวฉันแทน ทุกวันๆ ฉันเรียนรู้ที่จะรักตัวฉันเองแบบไม่มีเงื่อนไข

ฉันอยากอธิบายเพิ่มเติมอีกหน่อยว่า มันมีความแตกต่างกันอยู่นะ ระหว่างคำว่า
“การมอบความรัก” กับ “การเผื่อแผ่ความรัก”

“การมอบความรัก” หมายถึงการมอบความรักของคุณให้แก่คนอื่นๆ ไม่ว่าคุณจะมอบให้กับตัวคุณเองด้วยหรือไม่ก็ตาม
มันหมายถึงคุณกำลังให้ในสิ่งที่ตัวคุณเองอาจจะมีหรือไม่มีอยู่ก็ได้ ซึ่งการให้ความรักแบบนี้
อาจจะทำให้คุณไม่เหลืออะไรเลยก็ได้ เพราะว่าพวกเราไม่ได้มีความรักอยู่อย่างไม่รู้หมด

แล้วจากนั้น เมื่อเราหมดตัวแล้ว เราก็จะคอยมองหาความรักจากผู้อื่นแทน เพื่อมาเติมเต็มบ่อความรักของเรา
และถ้าไม่ได้รับตอบแทนกลับมาบ้างเลย เราก็จะหยุดแสดงความรักไปเอง เพราะว่าเราหมดตัวแล้ว


“การเผื่อแผ่ความรัก” หมายถึงการรักตัวเองแบบไม่มีเงื่อนไข ดังนั้นความรักนั้น
มันจึงท่วมท้นล้นออกมาจากตัวฉันเองอยู่เสมอ และผู้คนรอบข้างฉันทุกๆคน
จึงได้รับการเผื่อแผ่ความรักจากฉันโดยอัตโนมัติเสมอๆ

ยิ่งฉันรักตัวฉันมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งหลั่งไหลออกไปสู่คนอื่นๆมากขึ้นเท่านั้นด้วยเท่านั้น
มันเกือบจะรู้สึกเหมือนกับว่า เราได้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ให้ความรักไหลผ่านไปซะแล้วอย่างนั้นแหละ

เมื่อฉันกำลังแผ่ความรักให้ตัวเองอยู่ ฉันจึงไม่จำเป็นต้องให้ใครมาทำอะไรให้ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้รักพวกเขา
เพราะว่าพวกเขาจะได้รับความรักจากฉันเองโดยอัตโนมัติ จากการที่ฉันแผ่ความรักให้กับตัวเองนี้

ดังนั้น ถ้าจะให้ฉันหยุดแผ่ความรัก มันก็หมายความว่าให้ฉันหยุดรักตัวฉันเอง
ดังนั้น ฉันจึงจะไม่หยุดเผื่อแผ่ความรัก เพราะว่ามีคนอื่นเป็นสาเหตุใดๆทั้งสิ้น



ตอนที่ 10:

คำถาม: คุณจะมีคำแนะนำอะไรอีกไหม เพื่อให้บางคนสามารถเพิ่มระดับพลังงานแห่งความรักของพวกเขาขึ้นมาได้


แอนิต้า:

ฉันรู้สึกว่า มันขึ้นอยู่กับตัวฉันเองมากกว่านะ ว่าจะทำให้พลังงานแห่งความรักที่ว่านั้น
แผ่ออกมาสู่ภายนอกมากขึ้นหรือน้อยลง


ตอนที่ความคิดภายในใจของฉันหันมาเล่นงานตัวฉันเอง และเมื่อนานวันเข้าๆ ฉันก็เริ่มหมดแรง
นั่นจึงทำให้สภาวะภายนอกของฉันเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆด้วย

ฉันเคยเป็นคนประเภทที่ภายนอกดูเบิกบาน สดใส และมีไมตรีมากๆ และเสมอมา
แล้วอยู่มาวันหนึ่งโลกของฉันก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา แล้วฉันก็หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วฉันก็เริ่มป่วยหนักขึ้นและหนักขึ้นเรื่อยๆ

บางครั้ง เวลาที่เราเห็นใครบางคนที่ดูภายนอกว่าช่างเป็นคนคิดบวก สดใส และใจดีจริงๆ
แต่แล้วเราก็ได้เห็นว่าชีวิตของเขาต้องพังทลายลงต่อหน้าต่อตา เราก็อาจจะคิดว่า
“ดูสิ การคิดบวกมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

แต่ลองดูให้ดีๆซะก่อน ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เราไม่รู้ว่าความคิดภายในใจของคนผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
เราไม่รู้หรอกว่า เขาพูดกับตัวเองว่าอย่างไร เราไม่อาจรู้ความคิดที่อยู่ในหัวของเขา ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้

แต่จำไว้นะคะว่า ดิฉันไม่สนับสนุน “การคิดเชิงบวก” ในแบบของ Pollyanna-ish
เพราะว่าคำว่า “การคิดเชิงบวก” มันอาจจะทำให้เหนื่อยหน่ายได้ และสำหรับคนบางคน
มันอาจจะหมายถึง “การห้าม” ไม่ให้ความคิดในแง่ลบเกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งผลสุดท้ายก็ยิ่งจะเหนื่อยล้ามากขึ้น


ฉันกำลังพูดถึงความคิดของฉัน ที่มีต่อตัวฉันเองอยู่ สิ่งที่ฉันกำลังบอกตัวฉันเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือ

ฉันรู้สึกว่ามันสำคัญมากจริงๆ ที่จะไม่ไปตัดสิน
และไม่ไปหวาดกลัวต่อความคิดที่ฉันมีต่อตัวฉันเอง

เมื่อความคิดของเราเองกำลังบอกเราว่าเราปลอดภัย เราได้รับความรักแบบไม่มีเงื่อนไข และเราได้รับการยอมรับ
เราก็จะแผ่พลังงานนี้กลับออกไปสู่ภายนอก และเปลี่ยนแปลงโลกภายนอกของเราตามไปด้วย

และฉันก็คิดว่า มันสำคัญมากๆที่จะมองให้เห็นความสมบูรณ์แบบของชั่วขณะนี้
ปัจจุบันขณะคือช่วงที่มีพลังอำนาจมาก แต่ละช่วงขณะล้วนมีความหวังบรรจุอยู่
และทุกๆช่วงขณะก็สามารถกลายเป็น “จุดผกผัน” ของชีวิตคุณได้เลยทีเดียว

มีคนเข้าใจฉันผิดอยู่บ่อยๆ เมื่อฉันบอกว่า “ทุกชั่วขณะล้วนสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น”
และเมื่อฉันพูดว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น” ผู้คนมักจะกลัว
ที่จะมองเห็นความสมบูรณ์แบบ ในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่ชอบใจ พวกเขาจะคิดว่า
การมองเห็นว่ามันสมบูรณ์แบบแล้ว นั่นแปลว่า จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้อีก

แต่สำหรับฉันแล้ว การมองเห็นความสมบูรณ์แบบไม่ได้หมายความว่าจะคงมันเอาไว้แบบนั้นตลอดไป

มันหมายความว่าการมองเห็นความสมบูรณ์แบบ ณ.จุดนั้นๆที่คุณกำลังอยู่ในขณะนั้น
บนเส้นทางชีวิตของคุณ ไม่ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาไหนก็ตาม

มันหมายถึงการมองให้เห็นความสมบูรณ์แบบของวิถีชีวิตของคุณเอง,
มองให้เห็นความสมบูรณ์แบบของสิ่งที่คุณเป็นอยู่,
มองให้เห็นความสมบูรณ์แบบของคุณค่าของความผิดพลาดของคุณเอง,
มองให้เห็นความสมบูรณ์แบบของปัจจุบันขณะนี้เสมอ ไม่ว่าปัจจุบันขณะนั้นๆ
มันจะเป็นช่วงไหนของชีวิตคุณก็ตาม

นั่นแหละคือการมองให้เห็นความสมบูรณ์แบบ


(ปล.สรุปสั้นๆสำหรับคำตอบของคำถามนี้ สำหรับผู้อ่านที่อาจจะอ่านแล้วงงนะครับ..ก็คือ
1). การไม่ตัดสินตัวเอง
2).การไม่กลัวความคิดของตนเอง
3). การคิดเชิงบวก และ
4). การมองให้เห็นความสมบูรณ์แบบ – ผู้แปล)
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ที่มา
http://www.galacticchannelings.com/english/anita-moorjani.html




ตอนที่ 11:

คำถาม: ก่อนหน้านี้คุณได้พูดถึงความรู้สึกของการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ความรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสรรพสิ่ง ที่เกิดขึ้นในขณะที่คุณกำลังอยู่ในสภาวะเฉียดตายในตอนนั้น
คุณจะช่วยอธิบายเพิ่มเติมอีกสักหน่อยไดไหมครับ ว่ามันรู้สึกยังไง?


แอนิต้า:

ในระหว่างที่ฉันอยู่ในสภาวะเฉียดตายนั้น
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันเชื่อมโยงอยู่กับทุกสรรพสิ่ง
ฉันคือทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างก็คือฉัน

มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากมาก เพราะว่ามันไม่มีคำพูดที่จะเอามาใช้อธิบายความหมายให้ตรงจริงๆได้เลย

มันรู้สึกราวกับว่ามันไม่มีความแบ่งแยกใดๆอยู่เลย
จนกระทั่งเมื่อพวกเราเข้ามาอยู่ในชีวิตที่มีกายเนื้อนี้แล้ว
พวกเราจึงมองเห็นโลกผ่านทางจิต (mind) อันที่จริงแล้ว
มันรู้สึกเหมือนกับว่า “สิ่งที่แบ่งแยกนั้น ก็คือจิตเองนั่นแหละ”


ในสภาวะนั้น มันมีแต่ความแจ่มแจ้งและกระจ่างชัดไปซะหมด แต่อย่างไรก็ตาม
มันไม่ได้รู้สึกว่า ความกระจ่างชัดนั้นมาจากจิต (mind) แต่อย่างใดเลย

มันเหมือนกับว่ามีบางอย่าง ที่กำลังทำให้เกิดความเข้าใจที่กระจ่างชัดนั้นอยู่
และบางอย่างที่ว่านั้น ก็สามารถรู้ด้วยว่าจิตมีการแบ่งแยกกันอยู่
และก็รู้ด้วยว่าจิตคือสาเหตุของการแยกขาดจากกันของทุกสิ่งทุกอย่าง

มันรู้สึกราวกับว่า “ความมีอัตตาตัวตน” (ego) และจิตคือสิ่งเดียวกัน ดังนั้น ในสภาวะเฉียดตายนั้น
ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของจิต มันจึงไม่มี ego และความยึดติดใดๆเหลืออยู่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็คือหนึ่งเดียวกัน

ฉันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมต่อซึ่งกันและกันอยู่ ปราศจากการแบ่งแยก
ปราศจากการตัดสินซึ่งกันและกันระหว่างสิ่งใดๆโดยสิ้นเชิง


การก่ออาชญากรรมใดๆ หรือความเจ็บป่วยทางร่างกายใดๆ ล้วนมีสาเหตุมาจากสิ่งเดียวกันนี้ทั้งสิ้น
นั่นก็คือมีสาเหตุมาจากความแบ่งแยกเราเขา และการป่วยทางจิต และยังมีสาเหตุมาจากว่า
จิตจะแปลความหมายความแบ่งแยกนี้ไปในทิศทางใดด้วย


ถ้าเราสามารถออกมาอยู่นอกจิตของเราได้ มันก็จะไม่มีปัญหา เราก็จะสมบูรณ์แบบ
เพราะแม้แต่ “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ก็ยังเป็นผลงานที่จิตนี้แหละเป็นคนปรุงแต่งขึ้น
และเรื่องการตัดสินคนอื่นก็ด้วย สรุปแล้วก็คือทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ

แต่เมื่อใดที่เราเข้ามาอยู่ใน “จิต” ของเราเองแล้ว เราจะรู้สึกว่าเรามีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
และจำเป็นต้องมองเห็นความแบ่งแยก เพื่อที่เราจะได้เข้าใจมันได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้มีสาเหตุมาจากจิตทั้งนั้น

“จิตของพวกเราไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา”

แต่ว่าเมื่อตอนที่ฉันอยู่ในสภาวะเฉียดตายนั้น แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งก็ตาม
แต่ฉันก็ยังคงตระหนักรู้ถึงตัวตนของฉันเองอยู่ว่า เป็นตัวตนหนึ่งที่แบ่งแยกออกมาจากความเป็นหนึ่งเดียวทั้งหมด

เหมือนกับว่าฉันก็ต้องมีวิวัฒนาการของฉันเองด้วย มันเหมือนกับว่าฉันมีจิตดวงนี้ ที่ไม่ใช่ตัวฉัน
แต่ฉันคล้ายๆกับว่ามีภาระหน้าที่ ที่จะต้องพัฒนามันให้ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้
แต่ตอนนั้นฉันอยู่นอกจิตของฉัน และกำลังมองดูมันอยู่


แต่เมื่อใดที่เราอยู่ในร่างกายเนื้อของเราเองแล้ว เราจะเข้าไปอยู่ในจิตของเรา แล้วมองออกมาข้างนอกแทน
แล้วเมื่อนั้นแหละความแบ่งแยกระหว่างทุกสิ่งทุกอย่างก็จะชัดเจน และแจ่มแจ้ง

มันรู้สึกเหมือนกับว่า ปัญหาทุกๆอย่างในโลกล้วนมีสาเหตุมาจากการแสดงตัวมากเกินไปของจิต
(too much mind identification) นั่นคือมายาการ (illusion)

จิตคือมายาการ
แต่ฉันเชื่อว่าพวกเรามีทางเลือกที่จะตื่นขึ้นมาจากมายาการนี้เสมอ ถ้าฉันสามารถตื่นขึ้นได้แล้ว
และโดยการแผ่กระจายต่อๆไป ก็จะทำให้ผู้คนรอบข้างของฉันได้รับผลกระทบจากการตื่นนี้ไปด้วย

พวกเราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ แต่จะต้องไม่เลือกที่อยู่ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้เงาแห่งมายาการนี้
พวกเราสามารถเลือกที่จะมองให้ทะลุทะลวงผ่านมายาการนี้ก็ได้ แม้ว่าพวกเราจะยังมีตัวตนอยู่
ในโลกทางกายภาพนี้อยู่ก็ตาม


หลังจากประสบการณ์เฉียดตายของฉันครั้งนั้น มันรู้สึกเหมือนกับว่า มายาการอันนี้
มันเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ใช้จิตสร้างกันขึ้นมา



ตอนที่ 12:

คำถาม: พอพูดถึงเรื่องจิตแล้ว คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการ “โทรจิต”
คุณคิดว่ามันเป็นการสื่อสารระหว่างจิตต่อจิตหรือเปล่า?


แอนิต้า:

มันรู้สึกอย่างชัดเจนว่า มันเหมือนอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือจิตขึ้นไปอีก มันไม่ใช่การสื่อสารระหว่างจิตสู่จิต
สำหรับฉันแล้ว ฉันรู้สึกว่ามันเป็นความเชื่อมโยงที่พวกเรามีต่อกันและกัน อย่างที่ฉันได้อธิบายไปแล้ว

นั่นก็คือความเชื่อมโยงของพวกเรากับความเป็นหนึ่งเดียว หรือความเป็นทุกสรรพสิ่ง

ฉันรู้สึกว่าเราสามารถใช้การเชื่อมต่อของจักรวาลอันนั้น ติดต่อกับผู้อื่นได้ นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึก
ซึ่งอาจจะพูดได้ว่า ถ้าตามนัยยะนี้ ฉันเองก็สามารถที่จะติดต่อสื่อสารทางโทรจิตกับคุณก็ได้

สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เมื่อฉันได้ชำระจิตของฉันแล้ว และฉันก็ได้ทำให้มันใสขึ้นแล้ว
และฉันก็สามารถเชื่อมต่อกับความเป็นหนึ่งเดียวของจักรวาลอันนั้นได้มากขึ้นแล้ว
และหากคุณก็กำลังทำเช่นเดียวกันนี้ด้วย ดังนั้น ทั้งคุณและฉัน ก็คล้ายๆกับว่ากำลังเข้าไปในเครือข่ายร่วม
แห่ง “ความเป็นหนึ่งเดียว” อันนั้นด้วยกัน

แต่สาเหตุที่มันรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นการสื่อสารระหว่างจิตกับจิต ก็เพราะว่า ที่นี่เรามีกายเนื้ออยู่
พวกเราจึงจำเป็นต้องเชื่อมต่อและสื่อสารกันผ่านทางจิต แต่เพราะว่าเราทั้งคู่กำลังเข้าไปใช้ข้อมูลเดียวกัน
จากเครือข่ายร่วมแห่ง “ความเป็นหนึ่งเดียว” นี้ ในเวลาเดียวกันอยู่ ดังนั้น
เมื่อเราใช้จิตของเราเป็นตัวติดต่อสื่อสารถึงกันและกัน พวกเราก็จะสังเกตได้ว่าพวกเราทั้งคู่ได้มาถึงบทสรุปเดียวกัน
แล้วจากนั้นเราก็จะแปลมันออกมาตามที่จิตของเราได้รับการสื่อสารมา

แต่จริงๆแล้ว เราทั้งคู่ได้เข้าไปในเครือข่ายร่วมแห่ง “ความเป็นหนึ่งเดียว” เดียวกันแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันรู้สึก


(ปล.สรุปย่อๆ เผื่อจะมีคนงงครับ เพราะว่ายังอยู่ในกายเนื้อ เวลาติดต่อสื่อสาร จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องใช้จิต หรือผ่านจิต
จิตเป็นผู้นำข้อมูลไปส่งปลายทาง และไปรับข้อมูลกลับมาให้เรา ซึ่งในกระบวนการนี้
มันก็ต้องมีการแปลข้อมูลกลับไปกลับมาของมัน ดังนั้น ตามที่ผมเคยอ่านข้อความจากต่างมิติมา
พวกเขาบอกว่า มากน้อยยังไงข้อมูลจากการสื่อสารระหว่างมิติ ก็ต้องมีผิด มีเพี้ยน และมีพลาดบ้าง
ขึ้นอยู่กับกระบวนการแปลข้อมูลของจิต ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำสาส์นนั่นแหละครับ
เพราะว่ามันก็แปลไปตามความเข้าใจของมัน เหมือนกับที่ผมกำลังแปลตามความเข้าใจของผม
ให้ท่านอ่านอยู่นี่แหละครับ

ซึ่งนั่นก็แปลว่า ถ้าจิตยิ่งสะอาดและบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ความผิดพลาดก็ยิ่งจะน้อยลงตามไปด้วย – ผู้แปล)




นี่คือเหตุผลว่าทำไม มันจึงมีความสำคัญมากที่จะต้องรักษาจิตให้บริสุทธิ์ ปราศจากพันธนาการใดๆ
และมันก็มีความสำคัญมากว่าจะต้องทำให้มันสามารถเปิดการเชื่อมต่อกับ “ความเป็นหนึ่งเดียว” ให้ได้มากขึ้น
แล้วจากนั้นผู้คนที่เหมาะสมกับเรา ก็จะมาเชื่อมต่อกับเรา เพราะว่าพวกเขาก็จะมีระดับความบริสุทธิ์ของจิต
ระดับเดียวกันกับเราด้วย และก็จะสามารถเข้าถึงเครือข่ายร่วมแห่งความเป็นหนึ่งเดียว
ในระดับเดียวกันกับที่เราเข้าถึงได้นี้ด้วย


แต่ผู้คนที่ยังปิดการเชื่อมต่ออยู่ ก็จะยังคงเดินหลงทางอยู่ในม่านหมอกต่อไป เดินไปชนคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง
ซึ่งก็กำลังหลงอยู่ในม่านหมอกเดียวกัน พวกเขาเหล่านี้ก็ยังจะคงเดินซุ่มซ่าม และเดินสะดุดไปทั่ว
จนตลอดชีวิตของพวกเขาโน่นแหละ

ในขณะที่ผู้คนที่มีจิตสะอาดบริสุทธิ์และใสสว่าง ก็จะสามารถเดินตรงไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่ในม่านหมอกนั้นได้
โดยที่ไม่ชนใคร และก็จะไม่มีใครทำให้พวกเขาหลงทางได้ด้วย เพราะว่าพวกเขามีพลังงานที่ใสและสว่างอยู่

นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันรู้สึกหละ




ตอนที่ 13:

คำถาม: ผมอยากทราบเรื่องราวในชีวิตของคุณละเอียดมากขึ้นอีกสักหน่อย
อาจจะเป็นเรื่องราวเล็กๆในอดีตของคุณ, ความเชื่อของคุณ และเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของคุณในปัจจุบันนี้ก็ได้

ในประสบการณ์เฉียดตายของคุณ คุณบอกว่าคุณเข้าใจหมดแล้วว่าทำไมคุณถึงมาเป็นคนที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้

คุณจะช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้เราฟังเกี่ยวกับเรื่องนั้น และเรื่องความเป็นไปในชีวิตคุณอีกหน่อยได้ไหม
เช่นวัฒนธรรมในการดำเนินชีวิตของคุณ และเกี่ยวกับศาสนาที่คุณอาจจะนับถืออยู่


แอนิต้า:

ตกลงค่ะ ฉันเป็นคนที่มีหลายวัฒนธรรม และพูดได้หลายภาษาด้วย พ่อแม่ของฉันเป็นชาวอินเดีย
แต่ฉันเกิดในสิงคโปร์ คุณปู่คุณย่าของฉันอาศัยอยู่ในศรีลังกา แต่ฉันมาโตที่ฮ่องกง
และฉันได้เรียนแบบอังกฤษ รวมถึงตอนที่ฉันเริ่มทำงานใหม่ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าฉันพูดได้หลายภาษา
งานของฉันจึงเกี่ยวข้องท่องเที่ยวไปทั่วโลก

ฉันเกิดในครอบครัวของชาวฮินดู แต่ตัวฉันไม่ได้นับถือศาสนาฮินดู ฉันเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ
ซึ่งต้องเรียนร่วมกับคนที่นับถือศาสนาต่างๆมากมาย ทั้งชาวคริสต์, ชาวมุสลิม, ชาวฮินดู, ชาวพุทธ, เต๋า, และอื่นๆ
รวมถึงพวกที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็มีด้วย

เพราะว่าฉันโตมาในฮ่องกง เรื่องศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิตของพวกเรานัก
เพราะว่าฮ่องกงเป็นประเทศที่มีหลากหลายวัฒนธรรมมากๆ เรื่องทางด้านจิตวิญญาณ
จึงดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ปรัชญาที่ผู้คนประดิดประดอยขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้ในชีวิตของพวกเขาเท่านั้นเอง

โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่ได้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นพิเศษ

ตอนที่ฉันยังเรียนอยู่ ฉันจะงงมากๆ เพราะว่าฉันไม่เข้าใจว่าทำไม คำสอนของแต่ละศาสนา
จึงแตกต่างกันไปกันคนละโยชน์แบบนี้ (เพราะว่าตอนนั้นฉันอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ที่นับถือศาสนาที่แตกต่างกัน) และฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเนื้อหาที่วิชาวิทยาศาสตร์สอนและที่ศาสนาต่างๆสอน
มันจึงได้ขัดแย้งกันอย่างกับฟ้ากับเหวแบบนี้

ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเนื้อหาเกี่ยวกับการก่อกำเนิดชีวิต
ที่ถูกสอนในชั่วโมงเรียนของวิชาศาสนาต่างๆ
จึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กับเนื้อหาที่ถูกสอนในชั่วโมงเรียน
ของวิชาวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่มันเป็นหัวข้อเดียวกันแท้ๆ

ฉันใช้เวลาอยู่หลายปีเพื่อค้นหาคำตอบให้กับคำถามของฉัน แต่ฉันก็ยังไม่เคยพบว่าจะมีคำตอบไหน
ที่ทำให้ฉันกระจ่างได้เลย

จนกระทั่งฉันได้ประสบกับภาวะเฉียดตาย ฉันจึงได้พบคำตอบ และนับจากนั้นมาฉันก็เลิกค้นหาอีก
แม้ว่าฉันจะยังไม่รู้ทุกๆคำตอบก็ตาม แต่ฉันก็ไม่รู้สึกว่าฉันจำเป็นต้องค้นหาอีก

ฉันรู้สึกว่า “ความตาย” ได้สอนบทเรียนแห่งการดำเนินชีวิตให้ฉันเรียบร้อยแล้ว


แต่ว่า ระหว่างที่ฉันอยู่ในสภาวะเฉียดตายนั้น ฉันเข้าใจแล้วว่าความเป็นคนที่มีหลายวัฒนธรรมของฉัน
มันสำคัญกับฉันอย่างไร และฉันก็รู้แล้วว่าทำไมฉันจึงถูกนำมาไว้ในที่ๆมีขนบธรรมเนียมประเพณี
และระบบการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วแบบนี้ (ระหว่างวัฒนธรรมและระบบการศึกษาแบบตะวันออก
และแบบตะวันตก) มันเป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นมาเอง มันแค่กระจ่างชัดขึ้นมาเอง


ตอนที่ฉันได้รับโอกาสให้ “เลือก” ว่าจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่นั้น ตอนแรกฉันคิดว่าฉันจะขอเลือกที่จะตาย
เพราะว่าในสภาวะนั้น ฉันไม่ได้รู้สึกรักและผูกพันกับใครที่นี่เลย

แต่ในทันใดนั้น มันก็มีความเข้าใจหรือความกระจ่างแจ้งอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา ว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว!
ให้ฉันกลับไปมีชีวิตใหม่เถอะ ฉันจะกลับไปมีชีวิตใหม่พร้อมทั้งความเข้าใจใหม่นี้”

แล้วก็ มันมีความเข้าใจที่แจ่มชัดเกิดขึ้นมากมายว่าทำไมสามี (ผู้ยอดเยี่ยมสุดๆ) ของฉันคนนี้
จึงมาเป็นคนที่เขากำลังเป็นอยู่นี้ได้ และว่าทำไมพวกเราถึงมาด้วยกัน
ฉันเข้าใจแล้วว่า ยังมีสิ่งต่างๆอีกมากมายที่พวกเราจะต้องทำด้วยกัน และถ้าหากตอนนั้นฉันเลือกที่จะตาย
ฉันก็รู้ว่าไม่นานนัก เขาก็จะต้องตายตามฉันไปด้วย เพราะว่าฉันรู้สึกว่าภาระกิจของพวกเรา
เชื่อมโยงผูกพันซึ่งกันและกันอยู่

และมันยังเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับว่า ถ้าฉันไม่กลับมา ฉันอาจจะพลาดโอกาสที่จะได้รับของขวัญ
ที่ชีวิตเก็บไว้รอฉันอยู่อีกมากมายด้วย ในฐานะของผู้ที่ฉันเกิดมาเป็นอยู่ในขณะนี้

อีกความรู้สึกหนึ่ง มันก็รู้สึกราวกับว่า “งานได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เวทีได้จัดเตรียมเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ก็แค่ขึ้นไปเล่นเท่านั้นเอง”

ฉันไม่รู้ว่าจะหาคำพูดไหนมาอธิบาย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้หมด แต่มันก็เป็นอะไรประมาณนั้นแหละค่ะ



ตอนที่ 14:

คำถาม: คุณบอกว่าตอนที่อยู่ในสภาวะเฉียดตาย คุณเห็นอดีตชาติของคุณใช่ไหมครับ
คุณเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไหม๊ และคุณคิดว่านั่นเป็นเพราะว่าพื้นฐานความเป็นชาวฮินดูของคุณหรือเปล่า?


แอนิต้า:

จริงๆแล้ว ถ้าจะให้ตอบตามตรงหละก็ มันก็คงเป็นเพราะว่าพื้นฐานความเป็นชาวฮินดูของฉันเองนั่นแหละ
ที่ทำให้ฉันตีความมันไปแบบนั้น ว่ามันเป็นอดีตชาติ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันกำลังประสบอยู่ในสภาวะนั้น
มันรู้สึกเหมือนกับว่า มันกำลังเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมดในเวลาเดียวกัน
ดังนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว มันเหมือนกับเป็นชีวิตในโลกคู่ขนานมากกว่า

ฉันยังได้เห็นอนาคตของฉันเองด้วย และมันก็รู้สึกว่าเป็นจริงเป็นจังมากๆ

อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันรู้สึกเหมือนกับว่า
มันกำลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน


ประสบการณ์บางส่วนของฉัน แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันเลย แต่ฉันก็หวังว่า
จะสามารถเข้าใจมันได้ในอนาคต มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับว่า “ช่องว่างและกาลเวลาที่ไม่มีอยู่ในมิตินั้น”

ดังนั้น ถ้าจะให้ฉันตอบคำถามของคุณจริงๆหละก็ ฉันคิดว่าเราจะต้องเปลี่ยนความคิดของเรา
ที่มีต่อเรื่องกาลเวลาซะใหม่ก่อน และต้องเปลี่ยนความเข้าใจของเราที่มีต่อเรื่องกาลเวลาซะใหม่ก่อนด้วย

นั่นคือเราจะต้องเข้าใจมันอย่างที่มันเป็นอยู่จริงๆให้ได้ซะก่อน

เพราะว่า มันไม่ได้มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่ามันเป็น
“ภพชาติที่มีการเรียงลำดับก่อนหลังแบบเป็นเส้นตรง” หรือเป็น
“เหตุการณ์ที่มีการเรียงลำดับก่อนหลังแบบเป็นเส้นตรง”
อย่างที่พวกเราซึ่งอยู่ในมิติทางกายภาพแห่งนี้ เข้าใจว่ามันเป็น



ตอนที่ 15:


คำถาม:
คุณจะอธิบายเพิ่มเติมอีกหน่อยได้ไหมครับว่า ตอนนี้ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร
เมื่อคุณสามารถมองทะลุผ่านความเป็น “มายา” นี้ได้แล้ว?


แอนิต้า:

บางครั้งฉันก็ลังเลที่จะใช้ศัพท์คำว่า “มายา” อยู่เหมือนกัน เพราะว่า ในขณะที่พวกเรายังอาศัยอยู่ในนี้
มันจะรู้สึกเหมือนว่า มันเป็นจริงเป็นจังซะเหลือเกิน และมันก็เป็นเพียงโลกแห่งความเป็นจริงโลกเดียว
ที่พวกเราส่วนใหญ่รู้จัก ดังนั้น มันจึงอาจจะไปทำให้คนที่ได้ยินคำนี้ คือที่ฉันบอกว่า “มันเป็นแค่มายาเท่านั้น”
เกิดความเจ็บปวดและไม่พอใจขึ้นมาก็ได้

แต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นหรอกนะคะ และถ้าฉันจะต้องใช้มันตามนัยยะนี้จริงๆ มันก็จะมีหมายความอย่างนี้แหละค่ะ
อย่าลืมนะคะว่า ในช่วงที่ยังอยู่ในสภาวะเฉียดตายนั้น มันจะรู้สึกเหมือนกับว่า
ฉันได้ตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกโลกหนึ่ง โลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่มีช่องว่างและกาลเวลา

และด้วยมุมมองจากโลกนั้น ฉันจึงเห็นว่า
โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพที่เรากำลังอยู่กันนี้
มันเหมือนกับภาพมายา หรือเหมือนกับเป็นความฝันมากกว่า

มันรู้สึกเหมือนกับว่า แม้แต่กาลเวลาเองก็คือมายาด้วย แต่กาลเวลาก็มีความจำเป็นสำหรับพวกเรา
ที่กำลังอยู่ในโลกทางกายภาพที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ เพื่อที่ว่าจิตของเราจะได้ใช้มันจัดการกับข้อมูลต่างๆ
ในแบบที่เป็นเส้นตรงได้

จำได้ไหมคะที่ฉันบอกว่าในขณะที่อยู่ในมิตินั้น แม้แต่กำแพงอิฐฉาบปูนและระยะทาง
ก็ยังไม่สามารถที่จะขัดขวางการรับรู้ของฉัน ในสิ่งที่ฉันอยากรู้ได้เลย

และมันก็ไม่มีการแบ่งแยกกันระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอีกด้วย
ทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน

มันรู้สึกเหมือนกับว่าจิตของร่างกายเนื้อของเรา จำเป็นต้องสร้าง “มายา” แห่งช่องว่าง และกาลเวลาขึ้นมา
เพื่อเอาไว้ใช้จัดการกับสิ่งเหล่านี้ในแบบที่เป็นเส้นตรง

มันรู้สึกราวกับว่า ฉันได้ตื่นขึ้นมาสู่สภาวะๆหนึ่ง ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการตระหนักรู้ของคนส่วนใหญ่
และมันก็รู้สึกเหมือนกับว่า ชีวิตทั้งชีวิตที่ฉันอยู่มาจนกระทั่งถึงจุดนั้น มันเป็นแค่มายาหรือความฝัน
ที่ฉันเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง ด้วยความคิดและความเชื่อของฉัน และรวมถึงของคนอื่นๆทั้งหมดด้วย


เพราะความเข้าใจที่กระจ่างชัดในตอนนั้นเอง ที่ทำให้ฉันมองเห็นว่าแม้แต่มะเร็งของฉัน
ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของมายานี้ด้วย ซึ่งมันเกิดขึ้นมาจากการสร้างของจิตของฉันเอง
และถูกสร้างขึ้นมาจากผู้ที่ฉันเชื่อว่าฉันเป็นก่อนหน้าที่จะถึงจุดๆนั้น


ณ.ช่วงเวลานั้น ฉันได้เห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของฉัน
คือจิตวิญญาณที่สง่างาม มีพลังอำนาจ และสมบูรณ์แบบ
ฉันได้เข้าใจแล้วว่า ไม่มีจิตวิญญาณดวงไหนเลยบนโลกใบนี้
ที่จะยิ่งหรือหย่อนไปกว่ากันเลย

เพียงแต่ว่าเราจะเลือกที่จะรับรู้มันหรือไม่เท่านั้นเอง
และในตอนนี้ ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในแบบอื่นใดได้ ที่นอกเหนือจากการรับรู้ที่ว่า
“มันไม่มีอะไรเลยที่จะต้องให้อภัย และไม่มีอะไรเลยที่จะต้องถูกตัดสิน”
(เพราะว่าทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของความเป็นมายา ซึ่งก็คือความเชื่อของจิตสำนึกร่วมของคนทั้งหมดเท่านั้นเอง)

และในตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกกันว่า “พระเจ้า” ก็คืออะไรบางอย่างที่อยู่ในตัวฉันนี่แหละ อยู่ในตัวคุณ
อยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกๆชนิดบนโลกใบนี้ แล้วพวกเราจะไม่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร?


ดังนั้น ถ้าจะให้ตอบคำถามของคุณ ฉันรู้สึกว่าโลกทางกายภาพนี้ถูกตั้งโปรแกรมขึ้นมาเพื่อให้พวกเรามองเห็น
“ความไม่สมบูรณ์แบบ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเราเอง

แต่อย่างไรก็ตาม ยิ่งฉันมองทะลุเข้าไปในมายาการมากเท่าไหร่
และยิ่งฉันระลึกรู้ถึงความสง่างามของฉันได้มากเท่าไหร่ แล้วแสดงมันออกมามากเท่าไหร่
ฉันก็จะยิ่งมองเห็นความสมบูรณ์แบบของฉันได้มากเท่านั้นด้วย
และฉันก็มองเห็นความสวยงามที่บังเกิดขึ้นในชีวิตของฉันมากขึ้นเท่านั้นด้วย


อย่าลืมนะคะ ฉันไม่ได้บอกว่า ให้ไปมองหาความสมบูรณ์แบบที่มีอยู่ในโลก
แต่ฉันกำลังบอกว่าให้มองหาความสมบูรณ์แบบที่มีอยู่ในตัวคุณเอง ในวิถีชีวิตของคุณเอง และในสิ่งที่เป็นคุณ
แล้วคุณจะพบว่ามันสะท้อนจากคุณกลับไปสู่โลกเอง

ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาชีวิตของฉันง่ายขึ้นอีกเยอะเลย และฉันก็มีความรักมากขึ้นด้วย
นั่นแหละคือผลจากการมองทะลุผ่านมายาการของฉัน
 
http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=644
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณคับผม