ผู้เขียน หัวข้อ: รวมบทความเกี่ยวกับกามละเอียด ระดับอรูปราคะ (เสพกามโดยไม่ใช้กาย)  (อ่าน 4268 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด

กาม หมายถึง การกระทำใดๆ อันทำให้เกิดความสุขที่ไม่ใช่นิพพานเฉพาะตนหรือร่วมกับบุคคลอื่นด้วย “รูป” และ “อรูป” ของตนก็ดี โดยถ้ากระทำด้วยรูปของตน เรียกว่ารูปราคะ แต่ถ้ากระทำด้วยอรูปของตน เรียกว่า “อรูปราคะ” ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เราเรียกเป็น “กาม” ทั้งสิ้นเช่น ใช้รูปร่างของตนกระทำกามกับคนด้วยกัน เป็นรูปราคะ, ใช้พลังภายในของตนทำให้คนอื่นเป็นสุข นี่เป็นอรูปราคะ เช่น การแผ่เมตตาให้คนอื่นมีความสุข เป็นต้น



 


สำหรับผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว จิตตรงนิพพาน ตรงความหลุดพ้น เห็นแจ้งแล้วว่าความสุขทางโลกเป็นภัย ความทุกข์ทางโลกเป็นทางเข้าสู่อริยสัจสี่ ดังนั้น จึงไม่มีทิฐิที่เห็นดีงาม กับการทำความสุขทางโลกให้แก่มวลสัตว์ใด แต่ย่อมมีทิฐิเห็นตรงชัดว่าทางหลุดพ้นคือสัตว์ได้รับความสุขทางธรรม ไม่ใช่ความสุขทางโลก ซึ่งสุขนี้ จะเกิดได้นั้นไม่ใช่ด้วยการกระทำแต่ด้วยการละวางกิจ, ละวางกรรม, ละวางทุกการกระทำ เพื่อปล่อยให้เกิดการดับไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งสัตว์จะได้รับความทุกข์ทางโลกเป็นการเปิดทางธรรม คือ จะได้อริยสัจสี่ตัวแรก คือ ทุกข์ ซึ่งพระอรหันต์จะไม่พึงเป็นผู้กระทำสิ่งใดเลย ได้แต่ปล่อยวางทุกการกระทำเพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นเองนั้น ดับไปเองตามธรรมชาติ ดังนี้ พระอรหันต์จึงไม่มีทิฐิเห็นดีงามกับการแผ่เมตตาเพื่อให้สัตว์มีความสุข เพราะความสุขจากพลังเมตตานั้น ยังไม่ใช่ทางหลุดพ้น ยังไม่ดับ ยังไม่สูญ ไม่ใช่นิพพาน และเห็นว่าการกระทำนั้น ก็นำมาซึ่งกรรม แม้เป็นกรรมดี แต่ไม่สิ้นชาติภพได้ นำพาให้ผู้กระทำต้องไปเกิดเพื่อเสวยกรรมดีนั้น ดังนั้น พระอรหันต์ย่อมละแล้วเสียได้ซึ่งความยึดติดว่า การแผ่เมตตาช่วยให้สัตว์มีความสุขนั้นเป็นของดีแต่ย่อมเห็นเป็นเพียงธรรมดาทั้งสัตว์ที่ได้รับความเมตตาและไม่ได้รับความเมตตา จึงปล่อยวางไปตามยถากรรม ตามธรรมชาติ ไม่กระทำกิจดังกล่าวอีก



 


แต่พระโพธิสัตว์ย่อมไม่คิดเช่นนั้น การทำให้สัตว์มีความสุขได้บ้าง แม้ไม่หลุดพ้น พระโพธิสัตว์ก็ยินดีที่จะกระทำ แม้เป็นความสุขทางโลก เช่น การสร้างความเจริญทางโลก พระโพธิสัตว์ก็ยินดีที่จะกระทำ หรือหากทำไม่ได้ การแผ่เมตตาเนืองๆ เพื่อให้มวลสัตว์มีความสุขทางใจ พระโพธิสัตว์ก็ยินดีที่จะกระทำกรรมนี้ การแผ่เมตตา อันเป็นพลังอรูป ไม่มีรูปร่างชัดเจนให้แก่มวลสัตว์ก่อให้เกิดกรรมดี สร้างชาติต่อภพ เมื่อพระโพธิสัตว์ทำแล้ว ยินดี, เพลินอยู่, ทำไม่จบ, ทำไม่หยุด, ทำต่อเนื่อง, ติดอยู่ในการแผ่เมตตานั้นเรียกได้ว่าพระโพธิสัตว์นั้น เสพกามละเอียดอยู่ เรียกว่า “อรูปราคะ” คือ ความพึงพอใจที่จะกระทำให้ผู้อื่นมีสุขทางโลกด้วยอรูปของตน และสัตว์ที่ได้รับนั้น หากยินดี, เพลินอยู่, ติดใจอยู่ ก็เรียกได้ว่า “ติดกามจากโพธิสัตว์” นั้น สัตว์เหล่านั้นย่อมห้อมล้อม ย่อมแวะเวียน ย่อมไม่อิสระเสียได้ ย่อมไปมาหาสู่ ย่อมติดพันกับพระโพธิสัตว์นั้นๆ ไม่ละวาง ไม่ปล่อยวาง ไม่หลุดพ้น ไม่เป็นอิสระจากบ่วงกามแห่งอรูปราคะของพระโพธิสัตว์องค์นั้นด้วยติดกาม



 


มีพระสงฆ์ดังๆ หลายรูป ท่านมีจิตที่เมตตามาก มีพลังเมตตาแผ่ออกมาเนืองๆ ในใจท่านคิดอยู่ว่าจะให้สัตว์ทั้งหลายมีสุข แต่ไม่ได้ยกระดับจิตถึงขั้นหลุดพ้นทุกข์ทั้งมวล จิตนั้นไม่ใช่พลังแห่งนิพพาน ที่ว่างเปล่าเสียจากทั้งทุกข์และสุขใดๆ แต่เป็นพลังที่แฝงไปด้วยความสุขทางฌาน คือ “อัปมัญญาฌาน” ทำให้ผู้คนทั้งหลายที่ไปมาหาสู่ท่าน มีความยึด มีความติดพันในท่านนั้นแต่ปฏิบัติจิตไม่ถึงซึ่งความหลุดพ้นคือนิพพานอย่างแท้จริง สัตว์ทั้งหลายเมื่อทุกข์ใจ, ร้อนใจ ไม่พึ่งพาตนเอง ไม่สู้ทุกข์ตรงๆ ไม่เอาตัวเองให้หลุดพ้นไปจากทุกข์ได้เสียทีเพราะติดกามเมื่อทุกข์ก็ไปหาพระสงฆ์ดังเหล่านั้นพูดคุยแล้วรู้สึกจิตใจมีปีติสุข เพราะติดในรสแห่ง “อรูปฌาน” นั้น นี่ด้วยเหตุแห่ง “อรูปราคะ” คือ การเสพกามกับพระสงฆ์ดังรูปนั้น อันเป็น “กามละเอียด” ที่ไม่ใช่เรือนร่างสังขาร ไม่ผิดศีลแต่อย่างใด แต่พึงเข้าใจไว้ว่านี่แหละ คือ “กาม” อีกชนิดหนึ่ง อันมีความพอใจ ความสุขใจ การติดใจ ในรสแห่งอรูปฌานนั้น (อรูปราคะ) ทำให้ไม่พึ่งพาตนเอง เอาตัวเองสู้พ้นทุกข์แท้จริง แม้ปัจจุบันเราจะยอมรับว่าพระสงฆ์ดังๆ ท่านอรหันต์จริง แม้จะมีอรูปราคะเหลืออยู่ ก็จัดเป็นอรหันต์ได้เพราะทำนิพพานให้แจ้งได้นั้น แต่จะมีสักกี่รูปที่เห็นอรูปราคะที่ละเอียดนี้


-จบ-



มหาธรรม เรื่อง อรูปราคะแสดงออกเป็นพฤติกรรมให้สังเกตได้ไฉน?



 


“อรูปราคะ” หมายถึง การกระทำใดๆ ทั้งกายกรรม, วจีกรรม และมโนกรรม อันเกี่ยวเนื่องด้วยความสุขซึ่งไม่ใช่นิพพาน (ความหลุดพ้น แม้ทั้งสุขและทุกข์) เฉพาะตนหรือมีบุคคลร่วมด้วย โดยอาศัยซึ่ง “อรูป” ของตนเป็นสำคัญ เช่น พลังจิตที่ไร้รูป, พลังฌานที่ไร้รูป, รัศมีของตนที่แผ่ซ่านออกมา เป็นต้น อันสัตว์ได้เพลินอยู่, พอใจอยู่, ยินดีอยู่, อยากเสพอยู่, ปรารถนาอยู่, ดำรงอยู่, กระทำอยู่, ดำริอยู่, กล่าวถึงอยู่, ติดอยู่, พัวพันอยู่ เหล่านี้ฯ ไม่อาจดับเสียได้หมดสิ้น แม้กริยาใดกริยาหนึ่ง รวมเป็นการเสพอรูปราคะทั้งหมดทั้งสิ้น



 


การเสพกามของสัตว์มีแบบใดบ้าง?



 


๑)   กามแบบหยาบ


คือ กามที่ต้องอาศัยกายสังขาร พบได้ในสัตว์ที่มีสังขารอยู่ เป็นกามที่เห็นได้ชัด ไม่ต้องอธิบายมาก ในสัตว์ที่มีความละเอียดมาก เช่น ไม่มีสังขารแล้ว มีแต่จิตวิญญาณ การเสพกามแบบหยาบนี้ทำไม่ได้ แต่ในสัตว์ที่มีสังขารอยู่ สามารถเสพกามหยาบได้ รวมทั้งกามแบบกลาง และละเอียดอีกด้วย แต่การเสพกามของสัตว์ที่มีสังขารถ้าไม่ใช้สังขารในการเสพกาม ก็ไม่นับเป็นกามหยาบ จัดเป็นกามละเอียดของสัตว์ที่มีกายสังขารเพียงเท่านั้น   



 


๒)   กามแบบกลาง


คือ กามที่ต้องอาศัยวิญญาณขันธ์อันมีรูปเป็นไปด้วยอำนาจแห่ง “รูปราคะ” ที่ไม่มีสังขารแล้ว การเสพกามแบบนี้ มีได้ในสัตว์ที่มีสังขารด้วย เช่น ในคนที่ถอดกายทิพย์ได้ หรือมีจิตวิญญาณเข้าออกกายสังขารได้ อาจมีจิตวิญญาณออกไปเสพกามกับสัตว์ในโลกทิพย์ได้ เช่น จิตวิญญาณของพระสงฆ์บางรูปเสพกามกับนางฟ้า ทำให้หลงเพลินอยู่ในป่าในถ้ำบางแห่งอย่างหาเหตุผลไม่ได้ อยู่แล้วรู้สึกความความสุขที่ไม่ใช่อารมณ์นิพพาน เป็นต้น กามแบบกลางนี้ สำหรับพระไม่ถือว่าผิดธรรมวินัย แต่ถือว่ายังไม่ผ่านด่านอรหันต์ได้ 



 


๓)   กามแบบละเอียด


คือ กามที่ไม่ต้องอาศัยวิญญาณขันธ์อันมีรูป แต่เป็นไปด้วยอำนาจแห่ง “อรูปราคะ” เช่น การไม่อาศัยรูป ไม่อาศัยกายทิพย์ แต่ก็ยังเสพกามกันได้อยู่ดี เช่น การระลึกถึงกันของเทวดาชั้นที่หก ก็มีความสุขด้วยกามแล้ว, การมองตากันของเทวดาชั้นที่ห้า ก็มีความสุขด้วยกามแล้ว, การแผ่เมตตาให้แก่กันของเทวดาชั้นที่สี่ ก็นับเป็นการเสพกามแล้ว อาการที่ยังมีความเหงา ยังคิดถึงกันอยู่, การยังจ้องมองกันอยู่, การต้องพูดคุยหรือไปมาหาสู่กันอยู่ เหล่านี้ นับว่ายังไม่พ้นกาม ยังไม่พ้นความเหงา ยังไม่สละปล่อยวางทุกสิ่งได้



 


ในคนก็มีกามได้ทั้งสามชนิด แต่กามหยาบมักมีในเพศตรงกันข้าม มีบ้างที่เพศเดียวกันเสพกามหยาบ ส่วนในกามกลางและกามละเอียดนั้น พ้นภาวะของเพศแบบมนุษย์ไปแล้ว มีความเป็น “หยิน-หยาง” กันบ้าง ก็อาศัยความเป็น หยิน-หยาง กันนั้นเองในการเสพกามกัน ในสวรรค์ชั้นดุสิต ไม่มีนางฟ้า มีแต่กายแบบเทพบุตรเหมือนมนุษย์เพศชายทั้งหมด พวกเขาถ้ายังละกามไม่ได้ ย่อมเสพกามกันแบบกลางและแบบละเอียด คือ ไม่ได้ร่วมเพศกัน แต่มีความสุขร่วมกันด้วยการแผ่เมตตาให้กันบ้าง สัมผัสมือกันบ้าง ในการเสพกามนี้จึงไม่มีแบ่งแยกเพศชายและหญิง ด้วยพระโพธิสัตว์ล้วนแต่มีกายแบบมหาบุรุษทั้งสิ้น จึงเสพกามกันแบบ หยิน-หยาง คือ กายมหาบุรุษใดมีภาวะตรงข้ามกัน ก็เข้าหากันแล้วปรับถ่ายพลังแก่กัน ย่อมลดความทุกข์ สร้างสมดุลของพลังภายในได้ด้วยวิธีนี้ ในนักปฏิบัติจิตขั้นสูงสามารถเสพกามกันได้แม้เป็นเพศเดียวกัน, หรือเป็นพ่อแม่ลูกกันก็ทำได้ด้วยกามละเอียด คือ การแผ่เมตตา, แผ่พลังให้ความสุขทางใจแก่กัน ไม่ผิดจารีตของสวรรค์และโลกมนุษย์เพราะไม่ได้เสพกามหยาบ ดังนั้น หากบุคคลใดก็ตามที่มีความรักที่ผิดจารีตประเพณี ก็สามารถเสพกามกันได้ด้วยวิธีนี้ คือ กามละเอียด ด้วยการฝึกจิตขั้นสูงให้ถึงอนาคามี แม้ไม่ถึงอรหันต์ยังมีกามอยู่ ก็อาศัยกามละเอียดนี้อยู่กันได้


-จบ- 


มหาธรรม เรื่อง อรูปราคะส่งผลให้เกิดปัญหาในชีวิตได้มากระดับใด



 


“อรูปราคะ” ทำให้ชีวิตมีปัญหาและมีทุกข์น้อยกว่ารูปราคะมาก ทำให้คนหลายคนหลงตัวเองว่าตนสำเร็จอรหันต์แล้วก็มี เมื่อไม่เห็นว่าตนเองยังมีรูปราคะเหลืออยู่ คนที่ยังมีอรูปราคะจะมีทุกข์บางๆ จางๆ น้อยมากๆ ถ้าจิตไม่ละเอียดมากพอก็จับไม่ได้ว่าทุกข์ยังเหลืออยู่ เหมือนเราเพ่งน้ำใสๆ เราคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว น้ำสะอาดมาก แต่ก็ไม่แน่ เราไม่ละเอียดจริง อาจมีเศษเส้นเล็กๆ ที่เรามองไม่เห็นอยู่ อุปมาอรูปราคะเป็นอย่างนั้น ที่เห็นได้ชัดคือ การเหงา, การนิยมให้คนมาหา, การนิยมมีสาวกบริวาร, การนิยมมีสานุศิษย์ห้อมล้อม ฯลฯ เหล่านี้ จะเริ่มมีปัญหาเมื่อ เรากลัวว่าลูกศิษย์จะทิ้งไป เราจะเหงา เราเลยเอาอกเอาใจ ยอมเขาหมด เพื่อให้เขาอยู่ต่อไป หาวิธีเอาเงินมาเลี้ยงดูเขา เช่น ทำนั่นทำนี่ ให้คนมาทำบุญ ก็จะได้เลี้ยงดูคนรอบตัวให้อยู่กับเราต่อไป งานบุญมีไม่ขาดสายเพื่อให้เงินไหลเข้าวัดไม่ขาดตอน เพราะเริ่มต้นจากความเหงาหรืออรูปราคะนั่นเอง ถ้าเพลิดเพลินไป หรือไม่ระวัง การหาเงินเข้าวัดมาเลี้ยงดูให้ผู้คนห้อมล้อมต่อไปนั้น อาจทำพิษ เช่น การหาเงินผิดวิธี, ผิดวินัย, การหาเงินแล้วบริหารไม่โปร่งใส ก็นำภัยและความเดือดร้อนมาให้ในที่สุดได้ อย่างนี้ อรูปราคะ ก็ยังเล่นงานให้เกิดทุกข์ได้เช่นกัน 



 


การฝึกเสพกามเพื่อหลุดพ้นจากกาม



 


๑)   การฝึกกามหยาบ


คือ การฝึกเสพกามด้วยร่างกายให้ถึงที่สุดแล้วพิจารณาว่าที่สุดคืออะไรสุขจริงหรือ ทุกข์บ้างไหม ให้เห็นรอบคือทั้งสุขและทุกข์ เห็นตัวเองแบบไม่ปิดบังอำพรางตัวเอง ก็จะพบเองว่ากามมีสุขด้านเดียวจริงหรือ (ขอไม่ตอบ ไปพิจารณาเอง) การฝึกกามระดับนี้ นิยมฝึกด้วยกุณฑาริณี เพื่อเดินลมปราณระหว่างการมีกาม เป็นการใช้พลังทางเพศกระตุ้นพลังภายในของตนเองที่ซ่อนอยู่ให้ออกมา ส่วนผู้ที่ฝึกด้วยเก้าอิมก็ดี ปราณหงส์ฟ้าก็ดี จะเป็นแบบดูดซับพลังฝ่ายตรงข้ามเข้ามาสะสมไว้ในตัวเองเพื่อเพิ่มพูนอิทธิฤทธิ์ของตน และลดทอนอิทธิฤทธิ์ของคู่นอนไปด้วยในตัว ทั้งหมดนี้ เป็นพื้นฐานคือกามที่หยาบที่สุด 



 


๒)   การฝึกกามกลาง


คือ การเสพกามด้วยการใช้เพียงพลังภายใน ไม่ต้องใช้การร่วมเพศ เช่น การประสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน แลกเปลี่ยนพลังภายในกันและกัน ฝ่ายผู้ให้ก็มีความสุขที่ได้ให้ ฝ่ายผู้รับ ก็มีความสุขที่ได้รับ ผู้ให้พลังจัดเป็นฝ่ายหยาง (ชาย) ผู้รับพลังจัดเป็นฝ่ายหยิน (หญิง) เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว บุคคลจะละการมีกามทางกายได้สิ้นเชิง เพราะมีความสุขจากการถ่ายเทพลังให้แก่กันมากกว่า เช่น เอี้ยก้วยกับเซียวเล่งนึ้ง ก็จับคู่ฝึกกามแบบนี้กัน เอี้ยก้วยไม่รู้เลยว่าการมีเพศสัมพันธ์คืออะไร จึงไม่ทราบเรื่องที่เซียวเล่งนึ้ง ถูกลักหลับ เพราะความไม่เคยมีเพศสัมพันธ์จริงๆ นั่นเอง ทั้งคู่ล้วนอยู่เป็นสามีภรรยาที่ไม่มีเพศสัมพันธ์กันเลย



 


๓)   การฝึกกามละเอียด


คือ การเสพกามด้วยการใช้พลังภายในโดยไม่สัมผัสร่างกาย เช่น การเพ่งด้วยตา, การใช้การนึกเอาด้วยใจ, การอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนเป็นกามละเอียดได้ทั้งสิ้น เมื่อทำแล้วมีความสุขทางโลก ยังวนอยู่ในเรื่องความสุข ไม่หลุดพ้นไปสู่ความไม่สุข ไม่ทุกข์เสียที ดังนี้ จัดเป็นกามละเอียด เมื่อฝึกถึงขั้นนี้แล้ว ก็สามารถละวางการมีเพศสัมพันธ์และการแตะเนื้อต้องตัว ฯลฯ ได้ทั้งหมดสิ้นเชิง แต่ก็สามารถมีความสุขและทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้ วิธีแบบนี้ จะทำให้เราละกามหยาบและกลางได้



 


เมื่อฝึกได้ถึงขั้นนี้จิตมีความละเอียดมากแล้ว และพร้อมที่จะละกามในขั้นสุดท้าย คือ การละกามละเอียด ด้วยการไม่ทั้งดึงพลังเข้าและถ่ายพลังออกไปสู่บุคคลใด เขา, เรา ล้วนไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางรูปหรืออรูปต่อกันอีกเลย การไม่พัวพันด้วยใคร, อะไร, ใดๆ อีก การหลุดพ้นเป็นอิสระอย่างแท้จริง การไม่เหงา ไม่อาลัยอาวรณ์ใครอีกเลยสิ้นเชิง


-จบ-


มหาธรรม เรื่อง สันติภาพและกาม กับความทะเยอทะยานของผู้ชาย



 


ผู้ชายเป็นเพศที่มีความทะเยอทะยานเป็นปกติ ซึ่งผู้หญิงปกติแล้วนั้น จะไม่ค่อยมี ความทะเยอทะยานของผู้ชายคือการได้เป็นใหญ่เหนือคน, อำนาจ และอิทธิพล ส่วนผู้หญิงไม่นิยมสิ่งเหล่านี้เลย ยกเว้นผู้หญิงที่ผิดไปจากปกติเท่านั้น ในบทความฉบับนี้ จะขอกล่าว ถึงความทะเยอทะยานของผู้ชายกับกาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างมาก ดังต่อไปนี้



 


สันติภาพจะเกิดด้วยกาม แต่สันติภาพมากไปคนจะลุ่มหลง


สันติภาพจะเกิดเพราะกามมาก แต่ถ้าสันติภาพมากไปคนจะลุ่มหลง ตรงกันข้าม ถ้าคนมีกามน้อย สันติภาพจะลดลง และสงครามจะเกิด เพราะกามและโกรธเป็นกิเลสคู่กัน ถ้าไม่ระบายออกทางใด ก็จะออกอีกทางหนึ่ง คนเรามีกิเลสเป็นธรรมดา เพราะไม่ใช่อรหันต์ แต่เมื่อไม่ระบายออกทางกาม ก็จะออกทางโกรธ ถ้าไม่ออกทางโกรธก็จะออกทางกาม เป็นอย่างนี้ตามปกติโลก ยามใดมนุษย์โลกมีกามมาก ยามนั้นจะลุ่มหลงโลกียสุขมาก มีสันติภาพมาก สงครามไม่มี แต่น้ำจะท่วม ทำให้คนตายมาก คนที่ตายไปจะไม่ใช่ดวงจิตปัจเจกชน เพราะธรรมชาติสร้างมนุษย์มาเป็นสัตว์สังคม มนุษย์น้อยนักที่จะหลุดออกไปเป็นปัจเจกชนได้อย่างสมบูรณ์ คือ คนที่ไม่พึ่งพาใคร ไม่ไยดีกับใคร ไม่ง้อใคร ไม่มีหนี้กรรมติดค้างใคร เอาตัวเองรอดได้ คนที่ทำได้อย่างนี้นิพพานเร็วเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่จะทำได้ง่ายหรือมาก คนส่วนใหญ่ยังคงเป็นสัตว์สังคมอยู่ การที่สัตว์มีสังคม จะเชื่อมกันด้วยกรรม เช่น ทำสงครามกันตายหมู่ ก็จะมีกรรมพัวพันกันเป็นสัตว์สังคมที่มีหมู่เหล่า มีหัวหน้าที่ตนนับถือศรัทธา หรือคนมีกามมาก แล้วตายด้วยน้ำ อาศัยกามนั้นเป็นกรรมพัวพันกันไว้ จึงได้กลายเป็นสัตว์สังคม ที่มีดารายอดนิยมเป็นศูนย์รวมใจของกาม ซึ่งดาราเหล่านั้นอาจมีศูนย์รวมใจของตนเป็นพระโพธิสัตว์อีกที ยามใดที่โลกมีผู้ชายนำ และศรัทธามาก ยามนั้นสงครามจะมาเยือน สันติภาพจะหายไป ยามใดที่มีผู้หญิงออกหน้าเป็นผู้นำ มนุษย์โลกติดกามมาก มนุษย์จะมีความลุ่มหลงมาก ใช้อารมณ์พอใจไม่พอใจ มากกว่าคำนึงถึงเหตุผลและความถูกต้อง ยามนี้ สันติภาพมีมาก มนุษย์ไม่ต้องรบ จึงไม่สนใจคนเก่งจริงมีความสามารถจริง มองคนแต่เปลือกนอกที่สวยงาม ดังนั้น มนุษย์จะลุ่มหลงมาก และตายด้วยน้ำ น้ำจะท่วมมาก ท่วมบ่อย เพราะเหตุมนุษย์มีกามมาก แต่ถ้ามนุษย์มีโกรธมาก ไฟจะไหม้คนตายมาก คือ ไฟสงคราม ไฟจากอาวุธสงครามจะเกิด



 


กามและโกรธเป็นของตรงกันข้ามกัน


คนเรามีกิเลสเพราะไม่ได้เป็นพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์เองก็เช่นกัน ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังมีกามหรือโกรธอยู่ ถ้าไม่ระบายออกทางใด ก็จะออกมาทางหนึ่ง ดังนั้น การมีกามจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระโพธิสัตว์ที่ไม่ปรารถนาจะให้เกิดไฟสงคราม คือ การดับไฟสงครามด้วยน้ำกามนั่นเอง ผู้ชายนั้นถ้ามีกามมาก พลังปราณภายในจะลดลง ทำให้ความทะเยอทะยานลดลงด้วย การแก่งแย่งแข่งขันก็ลดลง ความบ้าอำนาจก็ลดลง และทำให้สงครามไม่เกิด แต่จะหลงในโลกียสุข และไม่สนใจคนเก่งมีความสามารถ จะทำให้คนเก่งแต่ประจบไม่เป็น บุคลิกไม่ดี พูดจาไม่นอบน้อม เหมือนแม่ทัพมากกว่าขันที ต้องพ่ายแพ้ และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม เพราะมักพูดตรงไปตรงมาเกินไป ประจบและเข้าสังคมไม่ค่อยเป็นแบบนี้เพราะโลกเต็มไปด้วยกามและความหลง ดังนี้ คนที่เก่งและมีความสามารถจะเข้าป่า แล้วพร้อมเข้าสู่วิถีเซียนกันมาก นักปราชญ์จะเกิดมาก ศิลปะและวรรณกรรมใหม่ๆ จะเกิดขึ้นมาก แต่เมื่อใดที่โลกพลิกผันตรงข้าม คือ ผู้ชายมีกามน้อย มีโกรธมาก ความทะเยอทะยานสูง บ้าอำนาจมาก สงครามจะมา ขันทีจะไม่มีค่า แม่ทัพจะเรืองอำนาจ พระราชาจะร้องหาคนเก่ง ผู้ชายจะนำ ผู้หญิงจะสงบปากอยู่บ้าน แต่แบบนี้ โลกจะวุ่นวาย คนเก่งมีความสามารถจะถูกทางโลกเรียกใช้ตัว คนที่ดีแต่เปลือกจะถูกไล่ออกไปเป็นสนม, นางบำเรอ และขันที ที่ดีแต่ร้องรำทำเพลงเข้าสังคมปรนเปรอความสุขให้คนหลงเพลินได้เท่านั้น แต่ไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาที่รุมเร้าอย่างหนักได้แท้จริง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์โลกและผู้นำแห่งมวลมนุษย์นั้น หนักทางกามหรือโกรธมากกว่ากัน



 


การใช้ผู้หญิงลดความทะเยอทะยานของผู้ชาย


ผู้ชายถ้ามีกามน้อย จะทะเยอทะยานมาก คิดการณ์ไกล วางแผนใหญ่ อันนำไปสู่การเกิดสงครามได้ แต่เมื่อใดที่ผู้ชายมีกามมาก พลังปราณจะลดลงถ่ายไปสู่ผู้หญิง และทำให้ผู้หญิงมีพลังปราณเพิ่มมากขึ้น จนกล้าอยู่เหนือผู้ชาย เมื่อผู้หญิงคลอดบุตรแล้ว จะเสียลมปราณให้ลูก และต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกของตน จนไม่ค่อยสนใจสามีได้ นี่เป็นปกติตามธรรมชาติอย่างหนึ่งของกามและพลังปราณ ผู้ชายที่มีพลังปราณมาก จะมีภรรยามาก จึงจะลดความทะเยอทะยานและสงบนิ่งลงได้ จะยอมลดความอยากมีอำนาจ อยากใหญ่ อยากเป็นผู้นำเหนือคนอื่นได้ แต่ถ้ามีภรรยาน้อยหรือมีคนเดียว จะทำให้เสียลมปราณไม่มาก และมีความทะเยอทะยานสูง จนผู้หญิงหรือภรรยาหลวงไม่อาจจะรั้งได้ จะทำการณ์ใหญ่ ทำให้ครอบครัวไม่ค่อยสงบสุขได้ ภรรยาหลวงจะต้องหาภรรยาน้อยมาเพิ่มให้สามี แต่ผู้หญิงที่ไม่เข้าใจกลไกลนี้จะมัวแต่หลง มัวแต่หึงหวง และไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ เมื่อผู้หญิงมีความหึงหวงมาก ผู้ชายมีกามน้อย จะมีความโกรธมาก นอกจากจะทำให้ต้องทะเลาะกันในครัวเรือนแล้ว ยังต้องทำให้เกิดสงครามระหว่างสองประเทศอีกด้วย



 


ผู้หญิงเป็นเพศที่มีหน้าที่ทำให้เกิดความสงบสุข และการใช้กามเพื่อลดทอนพลังปราณของผู้ชายก็เป็นหน้าที่อีกเช่นกัน ยังมีผู้หญิงบางคน ที่มีพลังภายในสามารถดูดซับและสะสมลมปราณได้มาก เธอจะไม่อิ่มในกามได้ง่ายๆ อย่าคิดว่าเธอเป็นคนสำส่อน แต่นี่คือธรรมชาติหนึ่งของคนเรา ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผู้หญิงแบบนี้เหมาะสมมากที่จะคู่กับผู้ชายที่มีความทะเยอทะยานมาก เพราะมีพลังดูดซับลมปราณได้มาก ให้สังเกตดูจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกมาก คือ เป็นคนชอบเก็บ เก็บได้ดี ทั้งความรู้สึก อารมณ์ ต่างๆ จะทำให้สามารถดูดซับพลังของผู้ชายได้มาก ส่วนผู้ชายถ้ามีพลังปราณน้อย ในที่สุดก็จะอ่อนน้อมยอมผู้หญิงแต่โดยดี ผู้หญิงจะดูห้าวและนำผู้ชายได้ ถ้าพลังภายในไม่เสมอกันคือหยิน-หยาง ไม่สมดุล ผู้ชายอาจไปหาผู้หญิงเพิ่ม หรือผู้หญิงอาจไปหาผู้ชายเพิ่ม ไม่เช่นนั้น ส่วนเกินที่ไม่สมดุลนี้ จะระบายออกทางโกรธ ทำให้สามีภรรยาทะเลาะกัน สามีที่มักโกรธใส่ภรรยาเพราะพลังมีมาก แต่ไม่ระบายออกด้วยกาม ไปหาผู้หญิงอื่นเพื่อระบายกาม เมื่อไม่ได้ก็ระบายโกรธใส่ภรรยาของตน ส่วนผู้หญิงที่มักโกรธใส่สามีนั้นเพราะมีพลังมาก แต่ไม่ระบายออกได้ด้วยกาม หรือสามีไม่ยอมมีกามด้วย ทำให้ต้องไปมีชู้ก็ดีหรือระบายสามีด้วยความโกรธก็ดี ปัญหาเหล่านี้เกิดจากความไม่สมดุลของปราณ



 


การเสพกามโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์         


ถ้าเราเข้าใจเรื่องพลังปราณได้อย่างนี้ว่าเมื่อชายหญิงมีพลังปราณไม่สมดุลกัน จะระบายออกทางกามหรือโกรธ แต่ถ้าระบายปราณได้ด้วยวิธีอื่นแล้ว เช่น การถ่ายปราณทางฝ่ามือ ก็ไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ อิ่มและเต็มได้ด้วยการถ่ายลมปราณ แบบนี้ทั้งกามและโกรธจะลดลงได้ แต่ไม่ใช่จะใช้ได้กับคนทุกคน จะต้องฝึกด้วย ผู้หญิงต้องฝึกดูดซับพลังคือเก้าอิม ผู้ชายจะต้องฝึกถ่ายพลังคือเก้าเอี๊ยง ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล โดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์กันก็ได้ เมื่อผู้ชายอยากระบายก็ระบายออกด้วยการถ่ายลมปราณออก แทนการระบายด้วยความโกรธหรือกาม เมื่อผู้หญิงมีความกระหายกาม ก็รับพลังปราณเข้ามาได้ ทำให้อิ่มเต็ม ก็จะไม่ต้องมีโกรธหรือกาม การถ่ายเทลมปราณนี้จะช่วยทำให้ กามและโกรธลดลง ทำให้ภัยสงครามและภัยน้ำท่วมลดลง แต่ถ้าไม่ระบายออกด้วยวิธีนี้ การปรับสมดุลหยินหยาง ต้องใช้กามหรือโกรธอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เมื่อปรับสมดุลด้วยกามมากไป น้ำจะท่วมเป็นภัยแก่คน เมื่อปรับสมดุลด้วยโกรธมากไป ไฟสงครามจะเกิดเป็นภัยแก่มนุษย์ เมื่อคนมีปราณภายในไม่ต่างศักย์กันมาก ผู้หญิงผู้ชายปรับลมดุลปราณ ได้ดีแล้ว จะทำให้สภาพสิ่งแวดล้อมดีขึ้น นิ่งขึ้น ไม่เกิดการเคลื่อนย้ายของปราณมากไป เหมือนยุคที่โลกมีแต่มนุษย์เพศชายอย่างเดียว มีแต่พรหมมาเกิด อยู่อย่างสงบ และไม่มีภัยมากอย่างนี้ แต่เมื่อมีผู้หญิงมาเกิดบนโลก สงครามก็เกิดขึ้นตามมาเพราะสมดุลได้ถูกเปลี่ยนไปนั่นเอง ดังนั้น การช่วยโลกได้ง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งก็คือ การฝึกปรับพลังปราณกันระหว่างชายหญิง ให้สมดุลโดยไม่มีเรื่องเพศสัมพันธ์และโกรธเข้ามาร่วมด้วย วิธีนี้ทำให้ครอบครัวมีสุขด้วย โดยไม่มีการนอกใจหรือเป็นชู้ แต่ต้องฝึกให้ได้ผลอย่างแท้จริง -จบ-






ขอบพระคุณที่มาจากท่านเรือนใจ และhttp://www.oknation.net/blog/buddhabath/2010/02/22/entry-4

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13:  อนุโมทนาครับพี่เล็ก
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~