ผู้เขียน หัวข้อ: หลู่ซวิ่น  (อ่าน 4611 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
หลู่ซวิ่น
« เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 10:15:32 am »




มีชาวจีนมากมาย และผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองจีน
ได้พร้อมใจกันยกให้หลู่ซวิ่นเป็น "นักปฏิวัติ"รุ่นใหม่คนหนึ่ง
ทั้งๆที่จริงแล้ว เขาเป็นเพียงนักเขียนคนหนึ่งเท่านั้นเอง

หลู่ซวิ่น มีชื่อจริงว่า โจว ซูเริน เป็นชาวเมืองเส้าชิง
มณฑลเจ๋อเจียงมาตั้งแต่กำเนิด เขาเกิดเมื่อ ค.ศ.1863
หมายความว่าเขาเกิดและเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มที่ในยุคราชวงศ์
และได้ผลิตผลงานเขียนมากมายในยุคที่จีนเปลี่ยนระบบ
การปกครองเป็นสาธารณรัฐโดยการปกครองเป็นสาธารณรัฐ
โดยการนำของซุนยัตเซ็นและเจียงไคเชก

เมื่อแรกเกิด หลู่ซวิ่นถูกจัดว่าเป็นชาวจีนในครอบครัวที่มีฐานะดี
คือเป็นเจ้าของที่ดินมีบ้านอยู่ใหญ่โตโอ่โถง มีคนรับใช้มากมาย
เมื่อหลู่ซวิ่นวิ่งเล่นอยู่ในกลุ่มเด็กชาวนาชาวสวนแถวบ้าน
เขาจึงถูกยกให้เป็น "จ่าฝูง" เพราะฐานะของเขามั่งคั่งกว่าเพื่อนเด็กด้วยกัน

ในหมู่เพื่อนเหล่านี้ หลู่ซวิ่นมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ชื่อ "รุนตู้"
เป็นลูกกุลียากจนอยู่ข้างบ้าน แต่เป็นเด็กนิสัยดีและฉลาด
รู้จักสรรหาเรื่องเล่นแปลกๆใหม่ๆและสนุกสนานมาเล่นกับหลู่ซวิ่นเสมอ
ต่อมาอีกหลายปีลูกชายของรุนตู้ ก็คือผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บ้านเกิดของหลู่ซวิ่นนั่นเอง

หลู่ซวิ่นมีชีวิตสุขสบายอยู่ได้ไม่กี่ปี ต่อจากนั้นฐานะทางครอบครัวของเขา
ก็ทรุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อปู่ของเขาซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยข้อหาทุจริตในหน้าที่ โดยการรับสินบนก้อนใหญ่

อีกไม่นาน บิดาของเขาก็ล้มเจ็บลงด้วยโรควัณโรคอย่างแรง
หลู่ซวิ่นต้องมีหน้าที่เดินไปรับยาจากบ้านหมอให้บิดาทุกวัน
แต่อาการก็มีแต่ทรุด ดังนั้น เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดบิดาจนถึงวาระสุดท้ายเช่นนี้
หลู่ซวิ่นจึงตัดสินใจเลือกเรียนวิชาแพทย์ ซึ่งเขาสอบชิงทุนไปศึกษาต่อวิชานี้
ที่ญี่ปุ่นได้ด้วยทุนของรัฐบาลจีนใน ค.ศ. 1902

หลู่ซวิ่น เติบโตจากเด็กเข้าสู่วัยหนุ่มขณะที่ยังอยู๋ในประเทศจีน
เขาตระหนักดีถึงสถานะที่ต่ำต้อยของชาวจีน เมื่อเปรียบเทียบกับชาวต่างชาติ
ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือญี่ปุ่น(ซึ่งได้ทำสงครามชนะจีนใน ค.ศ.1895และ
ได้ยึดดินแดนจีนหลายแห่งไป เช่น เกาะไต้หวัน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2011, 06:48:13 pm โดย lek »

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: หลู่ซวิ่น
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 05:39:04 pm »






ต่อมาเมื่อเขาไปเรียนที่ญี่ปุ่น เขามีโอกาส
ได้ชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อเรื่อง
เกี่ยวกับเด็กหนุ่มชาวจีน ถูกญี่ปุ่นจับ
โดยตั้งข้อหาทำจารกรรมให้แก่รัสเซีย
ระหว่างสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ค.ศ.1904-1905
เด็กหนุ่มจีนผู้นั้นได้ถูกทหารญี่ปุ่นประหารชีวิตอย่างโหดเหี้ยม

จากวันนั้น หลู่ซวิ่นได้เกิดความคิดใหม่ว่า ประเทศจีน
อันเป็นที่รักของเขา มิได้ต้องการแพทย์ เพื่อช่วยชีวิตคน
แต่ต้องการสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นเพื่อที่จะนำศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ
ซึ่งจีนเคยมีใสประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปี
ให้กลับมาสู่สังคมจีน สู่จิตใจและความภาคภูมิใจของชาวจีนอีกให้จงได้

หลู่ซวิ่นเลือกที่จะช่วยประเทศชาติของเขาด้วยการเป็นนักเขียน
เขาถูกยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งงานเขียนสมัยใหม่ของจีน"
เพราะเป็นคนแรกที่เขียนงานทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย
เรื่องสั้น เรียงความ บทวิจารณ์ หรือ บทกวี ด้วยภาษาจีนที่ใช้พูดอยู่ในปัจจุบัน
งานของเขาจึงเป็นที่อ่านง่าย และจับใจชาวจีนร่วมสมัยกับเขา
เพราะทุกคนแลเห็นปัญหาที่เขายกมาเป็นประเด็นในงานเขียนของเขาอย่างชัดเจน

ภาษาเขียนของหลู่ซวิ่นเป็นร้อยแก้ว หรือบทกวีที่ไพเราะ
แต่มีบรรยากาศเยาะเย้ยถากถางสภาพอันไม่น่าพอใจของจีนขณะนั้น
และมีข้อเสนอเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพที่เป็นอยู่
เพื่อให้ความยุติธรรม และเสรีภาพต่อชาวจีน

แนวคิดหลักของหลู่ซวิ่น คือ เขาเชื่อว่าการที่จีนตกอยู่ในสภาพ
"กึ่งเมืองขึ้น"เช่นนี้ เป็นเพราะจีนยึดติดกับขนบธรรมเนียมประเพณี
ดั้งเดิมมากเกินไป ไม่พยายามปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย
ที่เปลี่ยนแปลงไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2011, 06:49:56 pm โดย lek »

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: หลู่ซวิ่น
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 05:55:58 pm »






ดังนั้น จีนจึงตกอยู่ในสภาพล้าหลังมาก
ไม่สามารถสู้กับชาติใดในเรื่องใดได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา อุตสาหกรรม การค้า
และอาวุธ รวมทั้งระบบกฎหมายและกฎระเบียบในสังคม
ตลอดจน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน

ดังนั้น เขาจึงเพียรพยายามที่จะให้งานเขียนเรื่องต่างๆของเขา
เป็นพาหนะนำความคิดเพื่อการพัฒนาของเขาไปกระตุ้นจิตใจ
ของคนจีนรุ่นใหม่ ให้รู้จักสร้างความเคารพในตัวเอง
และเรียกร้องให้ผู้อื่นเคารพสิทธิเสรีภาพของจีนอีกด้วย

เมื่อจีนมีการปฏิวัติครั้งใหญ่ เปลี่ยนแปลงจากระบอบราชวงศ์
มาเป็นระบอบสาธารณรัฐใน ค.ศ.1911 หลู่ซวิ่นตื่นเต้นยินดีมาก
ที่คิดว่าจะเป็นการเริ่มยุค"ฟ้าทองผ่องอำไพ"ของจีนแล้ว

แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังอย่างรุนแรง เมื่อเกิดวิกฤตการณ์
"วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1919"ขึ้น คือ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่1
ได้มีการประชุมสันติภาพขึ้นที่ฝรั่งเศส เยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ในการทำสงคราม จึงต้องถอนกำลังทหารและอำนาจการยึดครอง
ออกจากดินแดนทุกแห่งในโลก รวมทั้งจากแหลมชันต่งของจีนด้วย

ปรากฎว่าญี่ปุ่นได้รับสิทธิให้เข้ามาครอบครองแหลมชันต่ง
ต่อจากเยอรมัน เนื่องจากมีสัญญาลับระหว่างญี่ปุ่นกับอังกฤษ
และฝรั่งเศส ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ.1917 ให้เป็นไปดังนั้น
หากเยอรมันแพ้ ดังนั้นเมื่อเยอรมันแพ้สงครามดังคาด ญี่ปุ่นจึง
ยึดถือข้อตกลงดังกล่าวเป็นมั่นเป็นเหมาะ

เหตุการณ์นี้เป็นการย้ำให้เห็นชัดว่า จีนไม่ว่าจะเป็นในยุคราชวงศ์
หรือยุคสาธารณะรัฐก็ยังคงมีสภาพคล้าย "หุ่น" ที่อยู่ภายใต้
การวางนโยบายและการตัดสินใจของมหาอำนาจต่างชาติ
โดยหาได้มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองตามสถานะ(จอมปลอม)ด้านกฎหมายเลย

หลู่ซวิ่นสนับสนุนการเดินขบวนใหญ่ของคนหนุ่มสาวชาวจีน
ที่คัดค้านเรื่องนี้อย่างรุนแรง ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1919
และต่อจากนั้น เขายิ่งเร่งผลิตงานเขียนของเขาให้มีจำนวนมากขึ้น
และมีเนื้อหาแอบแฝงเข้มข้น เป็นการเชิญชวนให้มีการลุกฮือขึ้น
ต่อสู้สิ่งอธรรมเหล่านี้

เชื่อว่า ณ ขณะนี้งานเขียนของหลู่ซวิ่น คงจะมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ
ทุกชิ้นแล้ว บังเอิญไม่เคยได้ศึกษาละเอียด และไม่มีงานเขียนของเขา
อยู่ในมือครบ จึงขอเพียงแนะนำชื่องานชิ้นสำคัญของเขา
ให้ท่านผู้สนใจได้ไปหาอ่านกันต่อไป

งานเขียนชิ้นแรกของเขาคือ "อนุทินคนบ้า" (A Madman' diary)
ซึ่งแม้จะเป็นงานชิ้นแรกของนักเขียนผู้ไม่มีใครรู้จักขณะนั้น
แต่คนอ่านก็เห็นได้ชัดว่า เป็นงานเขียนแบบใหม่ที่มีข้อความกระจ่าง
และกระทบกระแทกความรู้สึกเชิงสร้างสรรค์และสมสมัย
ซึ่งหาอ่านไม่ได้ในวงวรรณกรรมจีนขณะนั้น

เรื่องต่อไปที่มีชื่อคือ "Call arms" ในชื่อเดิมว่า "นาฮัน"ในเล่มนี้
รวมเอางานชิ้นที่มีชื่อมากของเขาก็คือ "The true story of Ah Q"เอาไว้ด้วย

งานชิ้นนี้หลู่ซวิ่น เขียนในช่วงปี ค.ศ.1918-1922 ขณะที่ซุนยัดเซ็น
ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่สามารถแผ่ขยายสาธารณรัฐจีนออกไปครอบครอง
ทั่วประเทศจีนได้ เพราะยังคงมีบรรดา "ขุนพล" มากมาย
ที่ยึดอำนาจอยู่ตามเมืองสำคัญหลายเมืองตามส่วนต่างๆของประเทศ
ซึ่งหมายความว่ายังไม่มีสันติภาพและเสรีภาพในประเทศจีน
แต่อย่างใด แม้ว่าราชวงศ์ชิงจะถูกโค่นล้มไปแล้วก็ตาม

สภาพของประเทศจีนเช่นนี้เป็นบรรยากาศเบื้องหลังงานเขียนอีกชิ้นหนึ่ง
ของหลู่ซวิ่นคือ "Wondering" ซึ่งเขาเขียนระหว่างปี ค.ศ.1924-1925
แสดงถึงสภาพสังคมที่ยัง "ไม่ลงตัว"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2011, 06:51:18 pm โดย lek »

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: หลู่ซวิ่น
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 06:20:26 pm »




งานเขียนชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของหลู่ซวิ่นคือ "Wild Grass"
เป็นการรวมบทกวีนิพนธ์และร้อยแก้วอันไพเราะ แต่อ่านแล้วหดหู่
เพราะมีบรรยากาศของสังคมจีนที่น่าสมเพชอดสู เนื่องจากไร้ศักดิ์ศรี

เขาเปรียบเทียบพลังควบคุมจากภายนอกที่มีอิทธิพลเหนือสังคมจีน
เสมือนหนึ่งเปลวไฟที่พุ่งผุดขึ้นมาจากบาดาล แล้วแลบเลียสิ่งมีชีวิต
บนผืนแผ่นดินทั้งหมด ในที่สุดจะไม่มีสิ่งใดที่มีชีวิตเหลือรอดไปได้เลย
แม้แต่หญ้ารก ใบสาก และต้นไม้ใหญ่ซึ่งฝังรากลึกหยั่งลงไปในดิน

หลูซวิ่นใช้ชีวิตเป็นอาจารย์มหาวิทยาลับหลายแห่งทางด้านอักษรศาสตร์
บั้นปลายชีวิตของเขา เมื่อเขาอายุได้ 55 ปี เขานิยมขบวนการคอมมิวนิสต์มาก
ในแง่ที่มีความซื่อสัตย์ ยึดมั่นในอุดมการณ์ ทำการต่อสู้กับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง
และได้ผล ต่างจากกลุ่มก๊กมินตั๋งซึ่งมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ปรากฎเป็นที่รู้เห็นทั่วไป

หากเขายังมีชีวิตอยู่นานต่อไป ใครๆเชื่อว่า หลู่ซวิ่นคงเข้าพวกไป
กับคอมมิวนิสต์แล้ว แต่ปรากฎว่าหลูซวิ่นถึงแก่กรรม เมื่อ ค.ศ.1936
ด้วยโรควัณโรคเช่นเดียวกับบิดาของเขา เขาจึงปรากฎเป็นที่รู้จักกัน
ทั่วไปทั้งในและนอกประเทศจีนด้วยผลงานทางวรรณกรรมของเขา
มิใช่นักปฏิวัติที่ลงมือจับอาวุธต่อสู้อย่างจริงจังเคียงบ่าเคียงไหล่
กับเหมาเจ๋อตุงและโจวเอินไหล

บ้านของหลู่ซวิ่น ทีเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จะมีปีแห่งไม่ทราบแน่ชัด
เท่าที่มีข้อมูลคือ 3 แห่ง คือ บ้านเกิดที่เมืองเส้าชิง บ้านพักที่เซี๊ยะเหมิน
ขณะที่เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลับเมืองนั้น และบ้านในเขตเช่าของ
ฝรั่งเศสที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในชีวิตงานเขียน
และตายที่บ้านหลังนั้น

จะขอเล่าถึงบ้านเกิดของหลู่ซวิ่น ที่เมืองเส้าชิง ซึ่งเป็นบ้านของเขา
เพียงแห่งเดียวที่ได้ไปชมมา จะขอแปลย่อๆถึงสิ่งที่หลู่ซวิ่น
ได้เล่าเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของเขาดังต่อไปนี้

"หลังบ้านเราเป็นสวนใหญ่ มีชื่อว่า "สวนพืชร้อยชนิด"
สวนนั้นเราได้ขายไปพร้อมกับบ้านเมื่อหลายปีมาแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้เห็นสวนนั้นก็คือ เมื่อ 7-8 ปีมาแล้ว
จำได้ว่าเห็นคราวนั้นมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด สมัยข้าพเจ้ายังเด็ก
สวนนั้นคือ สวรรค์ของข้าพเจ้า

สมัยนั้น ในสวนนั้นมีผักเขียวขึ้นเป็นแปลงๆ มีก้อนหินใหญ่
และลื่นวางอยู่รอบปากบ่อ มีต้นไม้สูงใหญ่ และต้นหม่อน
ใบออกสีม่วงๆ เวลาเดินผ่านไป จะได้ยินเสียงจักจั่นร้องระงม
อยู่ตามใบไม้ นานๆครั้งจงจะเห็นนกตัวเล็กๆ บินทะยานออกจากพุ่มหญ้า
ไปสู่ท้องฟ้า ที่ตีนกำแพงดินเหนียวเตี้ยๆ มีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง
เช่นจะเห็นจิ้งหรีดบ้านกับจิ้งหรีดสวนกัดกันเสียงดังจิ๊กจั๊ก หากใคร
ไปพลิกอิฐหักพังก็จะเห็นกิ้งกือแอบอยู่ ถ้าเอามือไปโดนตัวมันล่ะก็
อาจได้ยินเสียงฟ่อแผ่นเบา บนต้นมะเดื่อมีสัตว์ตัวเล็กๆหลายชนิด
เกาะติดแน่นอยู่ ลูกมะเดื่อตอนยังไม่แก่ มีรูปร่างเหมือนดอกบัวตูม
ข้าพเจ้าไม่กล้าเข้าไปวิ่งเล่นใกล้ๆพงหญ้าสูง เพราะคนพูดกันว่า
มีงูสีน้ำตาลใหญ่อยู่ในนั้น

พอถึงหน้าหนาว สวนนี้ก็จะแห้งแล้งจนไม่น่าสนุก ยิ่งเวลามีหิมะตกหนา
หากพวกเด็กๆ จะมาเล่นปั้นมนุษย์หิมะกัน ก็ต้องใช้เวลานาน
และใช้ฝีมือมากกว่าจะดูออกว่าเป็นมนุษย์หิมะ ในที่สุดเราก็ไม่เล่นปั้นหิมะ
แล้วไปวิ่งจับนกแทน

ข้าพเจ้าเล่นสนุกอยู่ได้ไม่กี่ปี มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลยว่า
ทำไมพ่อแม่จึงต้องจับข้าพเจ้าไปโรงเรียน โรงเรียนนั้นอยู่ใกล้บ้านที่สุด
คือแค่อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามเท่านั้น แต่ก็เป็นโรงเรียนที่ได้ชื่อว่า
มีครูที่เข้มงวดที่สุด ข้าพเจ้าไม่รู้ตัวเองทำผิดอะไร ถึงได้ถูกลงโทษ
ด้วยการถูกส่งไปโรงเรียนอย่างนี้ จะเป็นเพราะข้าพเจ้าไปขุดหาหนอน
ใต้กำแพงจนกำแพงพังหรือเป็นเพราะข้าพเจ้าขว้างก้อนอิฐเข้าไป
ในสวนบ้านของตระกูลเหรียง หรือข้าพเจ้ากระโดดกำแพงหนีไปเที่ยวนอกบ้าน
แต่จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม ก็หมายความว่า ข้าพเจ้าถูกนำตัวพรากจาก
สวนสวรรค์อันเป็นที่รักของข้าพเจ้า ลาก่อนจิ้งหรีดเพื่อนรัก...
ลาก่อนพุ่มราสเบอรี่....ลาก่อนเจ้าต้นมะเดื่อเพื่อนยาก...

หลู่ซวิ่น บรรยายภาพเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและประสบการณ์ในโรงเรียน
ของเขาด้วยภาษาง่ายๆ แต่เขาสามารถจำลองภาพ กลิ่น เสียง
บุคลิกและความรู้สึกต่างๆออกมาให้คนอ่านตกอยู่ในบรรยากาศเช่นนั้น
ราวกับได้นั่งนอนหรือเดินเหิน วิ่งเล่นไปกับเขาด้วย

ทีเป็นประสบการณ์น่าสนใจจริงๆ ก็คือ ได้เห็นโรงเรียนแห่งแรกของหลู่ซวิ่น
ซึ่งเป็นตึกชั้นเดียวเป็นแนวยาว ตั้งอยู่บนลำคลองแคบๆ อยู่ตรงข้ามกับ
ปากซอยบ้านหลู่ซวิ่นเลย

และได้เห็น "สวนสวรรค์" ภายในบ้านเดิมของเขา ซึ่งบัดนี้...
มีแต่แปลงผักสีเขียว ไม่มีพุ่มหญ้ารก ไม่มีพุ่มหม่อน ไม่มีต้นมะเดื่อ
แต่เชื่อว่าหากขุดลงไปในดินจะต้องเจอจิ้งหรีด กิ้งกือ ไส้เดือน และ
งูตัวเล็กอย่างแน่นอน เพราะพืนดินเฉอะแฉะทำให้เชื่อเช่นนั้น

ไม่ได้ยินเสียงจักจั่น เพราะต้นไม้ใหญ่ใบหนาหายไป ไม่เห็นสวนบ้าน
ตระกูลเหลียง แต่ก็ได้ซับเอาบรรยากาศของชีวิตของชนชั้นเจ้าของที่ดิน
แบบ"จีนเก่า"ไว้เต็มหูเต็มตา

ขอบพระคุณคุณดวงใจ จากหนังสือ จีน หลายมิติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2011, 06:52:28 pm โดย lek »