อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > หลวงปู่เทส เทสรังสี
บันทึกธรรมภาษิต โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ฐิตา:
(๔๗) จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมก็ตาม ถ้าเป็นธรรมที่แท้แล้ว จะต้องเข้าถึงสภาพของเดิม ผู้มีปัญญามาพิจารณาเพิกถอนสมมติบัญญัติเปลือกนอกออกแล้ว เข้าไปเห็นสภาพของเดิมในธรรมนั้นๆ เรียกว่า ผู้เห็นสัจธรรม ของจริง ของแท้ งานของจิตมันผิดจากงานของ กาย ซึ่งทำสำเร็จแล้วเป็นอันเสร็จจริงๆ ไม่ต้องมีการประวิงมันอีกต่อไป จึงเรียกว่า “เสร็จกิจ”
(๔๘) ทั้งรูปแลนามในกายของเรานี้ ที่เราบังคับได้ดีก็ดี (เช่นความเคลื่อนไหวของกาย หรือจิตใจของเรานี้) แลที่เราบังคับไม่ได้ (เช่น การจาม ไอ หรือ ความแก่ ความชรา หรือจิตใจที่คิดปรุงแต่งของผู้ไม่ได้อบรม) มันนานแสนนาน ไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ใช้ของเก่านี้ คือ เอาดิน น้ำ ลม ไฟของเก่านี้มาเกิด แลหู ตา จมูก ลิ้น กาย แลใจ ก็เอาของนี้มาใช้อยู่ร่ำไป ถ้าไม่สิ้นภพ สิ้นชาติตราบใด ก็ใช้ของเก่านี้อยู่เรื่อยไป
มันเบื่อเอือมระอามากทีเดียว เป็นที่น่าสลดสังเวชมากของผู้เห็นโทษมัน
(๔๙) แนวสมาธิเดินมรรคเข้าถึงปัญญาวิปัสสนา ตัดรากมูลเง่า
แนวฌานเป็นเพียง เครื่องระงับ ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรทั้งสองแบบนี้ ที่จะให้สำเร็จประโยชน์อันแท้จริงแล้ว ต้องทำให้มาก เจริญให้ยิ่งจนชำนาญ ให้เป็นฌานจริงๆ
(๕๐) ของง่ายนิดเดียว แต่เราไปทำให้ยุ่งต่างหาก อันแสดงถึงการวาง (ปลง) ความยึดของจิตไม่ถูกนั้นเอง เราปล่อยวาง ทำใจให้เฉยตามสภาพของมันแล้วก็หมดเรื่องเท่านั้นเอง การต่อสู้กับอารมณ์ที่ค้างภายในจิตนั้น (เป็นการเดินมรรค) เมื่อเอาชนะมันได้แล้ว จิตสงบเป็นกลางวางเฉย หากอารมณ์ใหม่จะเกิดขึ้นมาอีก เราจะต้องยึดความเป็นกลางไว้ ก่อนเสมอ แล้วจึงน้อมเอาจิตอีกส่วนหนึ่งออกไปตรวจค้นพิจารณาดู ให้เห็นเหตุผลของอารมณ์นั้นๆ อารมณ์นั้นก็จะหายไป แล้วมากำหนดไว้ตรงที่เดิมอีก เมื่อทำได้อย่างนี้ทุกๆ กรณี จะเป็นการเดินมรรคที่สม่ำเสมอดีมาก แลมั่นคงที่สุด
(๕๑) ความรู้ของนักปฏิบัติ ที่มาปรารภเหตุการณ์ หรือธรรมหมวดใด ข้อความใดเป็นอารมณ์ก็ดี จนจิตแน่วแน่รวมเข้าเป็นเอกัคคตารมณ์ได้ แล้วเกิดความรู้ชัดขึ้นมาในใจในเรื่องนั้นๆ เป็นปัจจัตตังเฉพาะตน จนทำให้หมดสงสัยของใจในเรื่องนั้นๆ ทำให้สำเร็จในภาวนากิจของตนได้ ฉะนั้น ความรู้จึงไม่จำเป็นที่จะให้ไปรู้ตรงตามตำราที่ได้ศึกษามาตลอดไปทั้งหมดก็ ได้ แต่บางทีความรู้นั้น อาจไปตรงกันเข้ากับตำราที่ได้จดจำมาก็มี
(๕๒) นิมิตในความฝันบางคนอาจเห็นไปว่า ไม่มีเหตุผลควรเชื่อถือได้ เพราะคนนอนไม่มีสติ ในทางธรรมท่านพยากรณ์ความฝันไว้สามตอน
๑) ฝันตอนหัวค่ำ เกิดจากธาตุวิการ
๒) ฝันตอนกลางคืน เป็นเทพนิมิต
๓) ฝันตอนจวนสว่าง เป็นธรรม
เรื่องเหล่านี้ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะพึงเชื่ออย่างภาคภูมิใจ ถึงอย่างไร นิมิตในความฝันยังมีคนเป็นจำนวนมาก มิใช่น้อยที่ยังพากันเชื่ออยู่ เรื่องสุบินนิมิตของพระนางมัทรี ก่อนพระเวสสันดร จะให้บุตรเป็นทานก็ได้เป็นจริงไปแล้ว ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่พระพุทธองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้ ก็กำลังคลี่คลายความจริงออกมาเกือบหมดทุกข้อแล้ว ยังเหลือเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ก็เห็นจะเป็นแต่ความฝันเลขท้ายหวยเบอร์
(๕๓) ผู้มาตามรู้เท่าความคิด พูด ทำ ของตนอยู่ทุกขณะ ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้ขันธโลกภายนอกภายใน อารมณ์ทั้งหลายที่ข้องอยู่แล้วย่อมหายไปตั้งอยู่ไม่ได้
(๕๔) ท่านผู้รู้ทั้งหลาย อยู่ด้วยความไม่ประมาท ถือว่าเป็นความสุขของท่าน แต่ปุถุชนทั้งหลายตรงกันข้าม ท่านผู้รู้ทั้งหลายปฏิบัติธรรม หรือทำอะไรๆ เพื่อเป็นไปในการละกิเลสทั้งนั้น แต่ปุถุชนทั้งหลาย ถึงแม้จะปฏิบัติเพื่อเช่นนั้นก็ตาม แต่ยังกอปรด้วยโยคะอยู่
(๕๕) ภัยอะไร จะร้ายยิ่งไปกว่าภัย คือ จิตตสังขารไม่มี
มิตรอะไร จะดียิ่งไปกว่ามิตร คือ ความรู้เท่าทันสังขารจิตไม่มี
(๕๖) ปัญญาที่พิจารณาเห็นชัดแจ้ง ในอริยสัจสี่นั้น มิได้หมายความว่า เมื่อเห็นชัดแจ้งจะต้องเห็นพร้อมๆ กันทั้งสี่ ในขณะจิตอันเดียวกันก็หาไม่ บางทีอาจเห็นชัดแจ้ง ในอริยสัจใดอริยสัจหนึ่งก่อน แล้วเมื่อจะรวมเข้าเป็นองค์มรรคใด มรรคหนึ่ง สัจจะทั้งสี่จึงจะมารวมให้เห็นชัดแจ้ง ในที่อันเดียว แลขณะจิตเดียว
(๕๗) รูปเป็นที่ตั้งของกามราคะ เมื่อมาพิจารณาเห็นโทษภัยของมันด้วยแยบคายแล้ว ก็จะเบื่อหน่ายจนละรูปนี้ได้ ส่วนนามเป็นของละได้ยาก หากไม่ดำเนินให้เข้าถึง มรรค แล้ว ก็จะจมดิ่งอยู่ในโลกนี้ ตลอดกาลนาน
(มีต่อ ๕)
ฐิตา:
(๕๘) รูปกายอันนี้หมายความว่า เป็นวัตถุธาตุตามธรรมดาของโลก แล้วเจ้าสังขารยังมาประดิษฐ์ประดอยให้มันวิจิตรพิสดารขึ้นอีก จนทำให้จิตซึ่งมีโลกธาตุปนอยู่แล้ว ให้หลงติดเข้าไปอีกจึงยากที่ผู้ไม่เห็นโทษทุกข์ภัยจะละได้ เพราะละกามได้ ยังไปติดรูป ละรูปได้แล้ว ยังไปติดนามแต่มิได้หมายความว่า ทุกคนจะละไม่ได้ ถ้าหากผู้มาใช้ปัญญาพิจารณาเห็นโทษทุกข์ภัยในขันธ์แล้วปฏิบัติดำเนินตาม ปฏิปทาอันชอบ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามอย่างของพระพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลายที่ท่านได้ดำเนินมาแล้วก็ย่อมละได้ เมื่อปัญญามาพิจารณาจนรู้เท่าเข้าใจตามเป็นจริงของโลกธาตุแล้ว ไม่ติดอยู่ในโลกธาตุทั้งปวง จิตก็จะพลอยบริสุทธิ์หลุดพ้นจากโลกไป
(๕๙) สัปปายะทั้งสี่ ใครจะมีความรู้สึกโดยวิธีทางใดหรือไม่ก็ตาม แต่มันเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการปฏิบัติธรรมอยู่ตามเคย ผู้ที่ยังมิได้ประสบการณ์หรือสังเกตเรื่องเหล่านี้ให้ชัดด้วยปัญญาของตนเอง แล้ว อาจดูถูกผู้แสวงหาที่สัปปายะว่ายังมีอุปาทานอยู่ก็ได้ ถึงกับอ้างเอาอกาลิโกธัมมะขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์อีกด้วยก็มี จริงอยู่ปฏิบัติธรรมก็ต้องมีอุปาทาน แต่ข้อความของธรรมสองประเภทนั้น มันมีความหมายผิดกันมากทีเดียว
ผู้มีความเห็นเช่นนั้น ตอนท้ายมักปฏิวัติตนเอง ผู้เป็นสุปฏิบัติอุชุปฏิบัติแล้ว ย่อมเชื่อคำสอนของพระพุทธองค์ตามความเป็นจริงเพราะทั้งปริยัติแลปฏิบัติย่อม แสดงถึงของจริงทั้งนั้น ความเข้าใจในทางปฏิบัติเสียอีกซ้ำมักไม่จริง เพราะผู้ปฏิบัติยังโกหกตนเองอยู่โดยมาก
(๖๐) ปริยัติธรรม ย่อมแสดงถึงสัจธรรมโดยแท้ แต่แสดงด้วยสำนวนโวหาร ส่วน ปฏิเวธธรรม นั้นแสดงด้วยภาษาของใจ (ปัจจัตตัง) รู้กัน ได้ในจำพวกที่ถึงปฏิเวธธรรมด้วยกันแล้วเท่านั้น ปฏิบัติธรรม ย่อมแสดงอาการออกมาให้ปรากฏแก่คนอื่นด้วยการรักษาศีล สำรวมอินทรีย์ในอายตนะทั้งหลาย เป็นต้น การพิจารณาธรรมมีสติปัฏฐานเป็นต้น ได้ชื่อว่า ดำเนินเข้าไปหาปฏิเวธธรรมโดยตรงแล้ว
(๖๑) กิเลสทั้งหลาย ถึงแม้พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายท่านจะเห็นโทษแล้วพยายามกำจัดมันอยู่แล้วก็ตาม แต่มันจะแอบสนิทติดอยู่กับจิตของท่านตลอดไป (อนุสัย) ถ้าไม่ใช้แยบคายโดยทางที่ชอบแล้ว ยิ่งทำลายก็ยิ่งฝังลึกลงทุกที มันจะต้องหาโอกาสฟื้นคืนมาทำลายโยคาวจรเจ้าให้ได้วันหนึ่งข้างหน้าจนได้ ฉะนั้น นักปฏิบัติบางคนพูดจากล้าหาญอย่างไม่เสียดายตายอยากในชีวิตชีวา ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสละได้ ตอนท้ายถูกกิเลสมันขยี้เอาจนไม่เห็นหนทางเข้าวัดก็มี
(๖๒) เนื่องจากสติ สมาธิของเราไม่สม่ำเสมอ ความเพียรก็ไม่กล้า พอมาได้สมาธิเข้าก็ได้อุบายใหม่ คือ เดิมเราพิจารณาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสักแต่ว่าธาตุ ๔ แม้ตลอดถึงนิสัยของบุคคลแลสัตว์ย่อมมีสภาพต่างๆ กันตามบุญกรรมของเขา โดยที่เขาเหล่านั้นจะรู้เรื่องของตนหรือไม่ก็ตามแต่มันก็จะต้องเป็นอยู่ อย่างนั้น
(๖๓) ธรรม ๓ ประการ คือ ปีติ ๑ ความสละ ๑ ความรู้เท่า ๑ ซึ่งมีคุณค่าต่างๆ กัน ปีติ มีดีที่เป็นเครื่องอยู่ แลสงบนิวรณ์ เป็นวิหารธรรม เครื่องอยู่ในปัจจุบัน ความสละ เพราะเห็นโทษภัยในสิ่งนั้นๆ จึงสละได้ตามกำลังแลภูมิของตนๆ ได้ ความรู้เท่า ในขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นต้น เพราะมาพิจารณาเห็นในสิ่งนั้นๆ ตามเป็นจริงอย่างไรแล้วปล่อยวางจึงจะหมดภาระ
(๖๔) เป็นที่น่าเห็นใจในความเป็นอยู่ของคนผู้ไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ เมื่อกิเลสมันบงการ ให้เป็นไปตามอำนาจของมัน แต่คนก็มาสำคัญว่าเป็นอำนาจของตนตัวเอง จึงเกิดผยองพองตัวมัวเมาอยู่กับอำนาจนั้น หากกิเลสหยุดสั่งการแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปยึดเอาอะไรมาเป็นเครื่องอยู่ ไม่เหมือนท่านผู้มีธรรมอันได้อบรมไว้ดีแล้วเพ่งธรรมเป็นเครื่องอยู่ตลอดกาล แล้วก็ไม่มีใครติใครชมท่านโดยถูกต้องได้ เพราะอำนาจแลธรรมเครื่องอยู่ของท่านนั้นเป็นปัจจัตตัง
(๖๕) มันยังทำบุคคลผู้เข้าไปยึดถือ ให้เกิดความรักความใคร่ ความกำหนัดติดแน่น สีดำแทนที่จะเห็นเป็นของน่าเกลียด กลับชมว่าดำก็ดำเกลี้ยงน่ารัก สีขาวก็ว่าน่าชม สีเหลืองก็ว่าชอบ สีอะไรจะไม่ดีไม่มีทั้งนั้น ดินภายนอกถึงจะยึดจะถือ ก็ไม่ยึดไม่ถือเข้าถึงเนื้อในหัวใจเท่ายึดถือดินภายใน ความยึดถือดินภายในนี้มันเข้าไปเกาะกินอยู่ในหัวใจของบุคคลอย่างไม่มีวัน สร่างเลย กลายเป็นโรคประจำโลกเสียแล้ว ทั้งแพทย์แลบุคคลทั่วไป ไม่มียารักษาให้หายได้ นอกจากหมอ คือ พระพุทธเจ้าแลใช้ธรรมโอสถเป็นเครื่องบำบัด
(๖๖) สุบินนิมิต อันเจือด้วยภาวนานี้ ย่อมเกิดในขณะที่ทำความสงบก่อนจะนอนหลับ ย่อมแสดงถึงเหตุการณ์ และเป็นอุบายในการภาวนาแลพิจารณาธรรมได้เหมือนกัน แต่จะถือเอาเป็นจริงเป็นจังทีเดียวก็ไม่ได้เพราะเกิดในขณะนอนหลับไม่มีสติ ถึงแม้นิมิตในขณะนั่งภาวนาอยู่เช่นกัน เพราะไม่ชำนาญในการวางจิตที่จะให้ได้ความรู้นั้นอย่างมาตรฐานแต่ถึงอย่างไร ก็ยังดี เพราะจะเป็นเครื่องดำเนินภาวนาของตนให้ก้าวหน้าต่อไป
(๖๗) ใจแท้ คือ ความถึงซึ่งสภาวะความเป็นกลางในสิ่งสารพัดทั้งปวง ผู้ใดทำใจให้ถึงความเป็นกลางได้ ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
(๖๘) ผู้ภาวนาทั้งหลาย พระพุทธเจ้า พระองค์เทศนาไว้ว่าจงทำตัวให้เหมือนนักรบเมืองโบราณสมัยก่อน ต้องทำกำแพงล้อมเมืองให้แน่นหนามีค่ายประตูหอรบเสร็จ เพื่อป้องกันข้าศึกอันจะมาราวี นักรบที่ฉลาด เมื่อออกรบกับข้าศึก เห็นว่าจะสู้ข้าศึกไม่ได้แล้ว ก็ล่าทัพกลับเข้าสู่พระนครแล้วรักษาพระนครไว้ ไม่ให้ข้าศึกเข้ามาทำลายได้ พร้อมกันนั้นก็สะสมลี้พล อาวุธ แลอาหารให้พร้อมเพรียง (คือทำสมาธิให้มั่นคง กล้าหาญ) แล้วจึงออกรบข้าศึกอีกต่อไป (คือ มวลกิเลสทั้งปวง) สมาธิเป็นกำลังสำคัญมาก ถ้าไม่มีสมาธิแล้ว วิปัสสนาจะเอากำลังมาจากไหน ถึงผู้ได้สุกขวิปัสสนกก็เถอะ ถ้าไม่มีสมถะแล้ว จะเอาวิปัสสนามาจากไหน เป็นแต่สมถะท่านไม่คล่องเท่านั้น อย่างนี้จะพอฟังได้
(มีต่อ ๖)
ฐิตา:
(๖๙) ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย เมื่อได้ทำสมาธิให้มั่นคงแน่นหนาดีแล้ว จนกระทั่งจะเข้าจะออกเมื่อไรก็ได้ จะอยู่ให้นานๆ แลพิจารณากายอันนี้ให้เป็นอสุภะหรือเป็นธาตุก็ได้ พิจารณาคนในโลกนี้ทั้งหมด ให้เห็นเป็นโครงกระดูกทั้งหมด หรือพิจารณาให้เห็นในโลกนี้ทั้งหมดว่างเป็นอากาศว่างเปล่าไปหมดก็ได้ จิตผู้มีสมาธิเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ย่อมเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา
แล้วก็มองเห็นกิเลสของตน ซึ่งเกิดจากจิตของตนได้ชัดเจนว่า กิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะเกิดจากสิ่งนี้ๆ แลมันตั้งอยู่ได้ด้วยอาการอย่างนี้ๆ แล้วก็หาอุบายละด้วยอย่างนี้ๆ เหมือน กับน้ำในสระที่ขุ่นมาเป็นสิบๆ ปีพึ่งมาใสสะอาดมองเห็นสิ่งสารพัดที่มีอยู่ก้นสระว่า แต่ก่อนแต่ไร เราไม่นึกไม่คิดเลยว่า ในก้นสระนี้ มันจะมีของเหล่านี้ นั่นเรียกว่า วิปัสสนา คือความรู้ความเห็นตามสภาพความเป็นจริงอย่างไร ก็เห็นตามเป็นจริงอย่างนั้น ไม่วิปริตผิดแปลกจากความเป็นจริงของมัน
(๗๐) สมถะก็ละกิเลสได้เหมือนกัน แต่จะได้เหมือนคนดายหญ้าตัดแต่ต้นให้ขาด ไม่ขุดเอารากให้หมด ย่อมมีเวลาติดขึ้นมาอีก ในเมื่อฝนตกลงมา คือ เห็นโทษในอารมณ์ ที่มันเกิดจากอายตนะหกเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นโทษก็รีบเข้าหาความสงบ โดยไม่พิจารณาอารมณ์นั้นๆ ให้ถ้วนถี่ (คือทำสมาธิ) สรุปความแล้ว เรียกว่า ชอบเอาแต่ความสงบอย่างเดียว ไม่อยากพิจารณาให้เนิ่นช้า เหมือนกับตัวแย้อาศัยรูเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตราย เมื่อเห็นศัตรูมาก็วิ่งเข้ารูเสีย พ้นอันตรายไประยะหนึ่งๆ เท่านั้น
(๗๑) ผู้ต้องการขุดรากเง่าของกิเลสในตัว เมื่อกิเลสมันเกิดจากอายตนะทั้งหก ณ ตัวของตน เช่น ตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียง เป็นต้น เกิดผัสสะขึ้นให้ยินดี หรือยินร้าย ดีใจแลเสียใจ เป็นต้น แล้วเข้าไปยึดเอามาเป็นอารมณ์ของตน ขุ่นมัวในใจ จนเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อน ดิ้นรน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนกระทั่งทำอัตตวินิบาต (ฆ่าตนตาย) ก็มี เมื่อเห็นชัดอย่างนี้แล้ว พึงทำ "สมาธิ" ให้มั่นคงเป็นหลักเสียก่อน แล้วจึงตั้งจิตพิจารณาเฉพาะในอารมณ์นั้นแต่สิ่งเดียว เช่น
ตาเห็นรูปที่เป็นอิฏฐารมณ์แล้ว เกิดความยินดีพอใจขึ้น ก็ให้พิจารณาเฉพาะแต่ความยินดีพอใจนั้นว่า มันเกิดขึ้นจากตาหรือเกิดขึ้นจากรูปกันแน่ เมื่อพิจารณาถึงรูปก็เห็นว่า รูปมันก็เป็นแต่รูปธรรมต่างหาก มันจะดีแลเลว มันไม่ได้มาชักชวนให้เราไปยินดีหรือยินร้าย หรือให้เราไปหลงรักหรือชัง มันเป็นแต่รูปเฉยๆ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ตามสภาพของมันต่างหาก เมื่อพิจารณาตาผู้ไปเห็นรูปเล่า ตาผู้ฉายแสงเห็นรูปพอกระทบเท่านั้น แสงสะท้อนกลับเข้ามาหาจักษุประสาทเข้าก็เป็นรูปต่างๆ นานาเกิดขึ้น ตาก็มิได้ชักชวนให้ไปยินดียินร้ายหรือให้รักให้ชังอะไร ตามีหน้าที่ให้เป็นรูปแล้วดับไป
สิ่งที่เป็นอิฏฐารมณ์ แลอนิฏฐารมณ์ หรืออายตนะอื่นๆ ก็ให้พิจารณาอย่างเดียวกันนี้ เมื่อเราพิจารณาอย่างนี้แล้ว ก็จะเห็นชัดว่า สิ่งทั้งปวงหมดในโลกนี้ มันจะเกิดกิเลสขึ้นก็เพราะอายตนะทั้งหกนี้เป็นต้นเหตุทั้งนั้น ถ้าเราพิจารณาและไม่หลงตามอายตนะทั้งหกนี้ กิเลสก็จะไม่มีเกิดขึ้นในตัวของเรา ตรงกันข้ามมันจะเกิดปัญญาก็เพราะมีอายตนะทั้งหกนี้
อายตนะทั้งหกนั้นเป็นสื่อกลางของความดีแลความชั่ว จะไปสุคติแลทุคติก็เพราะอายตนะทั้งหกเป็นต้นเหตุ โลกนี้จะกว้างก็เพราะจิตไม่มีสมาธิ ปล่อยตามอารมณ์ของอายตนะนั้นๆ โลกนี้จะแคบก็เพราะจิตนี้ได้ฝึกหัดสมาธิอยู่ในบังคับของตน แล้วจะพิจารณาอารมณ์ของอายตนะทั้งหกแต่ภายใน ให้อยู่ในขอบเขตของสมาธิก็ได้ หรือจะให้อยู่ในอารมณ์เป็นกลางๆ นิ่งเฉยก็ได้
เมื่อได้อย่างนี้แล้ว อายตนะทั้งหลายย่อมไม่มี ให้อยู่แต่เฉพาะภายใน ไม่ให้ส่งออกไปภายนอก คือ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วอายตนะเป็นต้นว่า ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เหล่านี้จะไม่ปรากฏเลย จะปรากฏแต่รูปที่เป็นนามธรรม เสียง ที่เป็นนามธรรม ปรากฏเกิดขึ้นในสมาธินั่นโดยเฉพาะ อายตนะภายนอกจะไม่รู้เลย
เมื่อทำสมาธิให้แน่วแน่เต็มที่ แล้วพิจารณาเห็นโลกอันนี้มันเป็นเหตุให้เกิดอายตนะ ผัสสะ สัญญา แลอารมณ์ แลตลอดสรรพกิเลสทั้งปวง แล้วจิตก็จะถอนจากสิ่งทั้งปวงหมด จะยังเหลือแต่ ใจ คือ ผู้รู้ อย่างเดียว จิตกับใจย่อมมีลักษณะอาการต่างกัน จิต คือ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง แลสัญญาต่างๆ ตลอดถึงไปยึดเอาสิ่งต่างๆ มาไว้ที่ใจ จิตเมื่อเห็นโทษทุกข์ทั้งปวงที่ยึดเอากิเลสทั้งปวงมาไว้ที่จิตของตนแล้ว ยอมสละถอนจากอารมณ์แลกิเลสทั้งปวงจากจิต จิตนั้นก็เป็นใจ จิตกับใจมีลักษณะอาการต่างกันอย่างนี้
จิต คือ ผู้คิดปรุงแต่งสารพัดทั้งปวง ใจ คือ ผู้เป็นกลางๆ วางเฉยไม่คิดนึกอะไรทั้งสิ้น เป็นแต่รู้ตัวอยู่ว่าวางเฉย ใจเป็นธรรมชาติเป็นกลางแท้ กลางไม่มีอดีต อนาคต ไม่มีบุญหรือเป็นบาป ไม่มีดีแลชั่ว นั้นเรียกว่า ใจ ชาวบ้านเขาพูดกันทั่วไปว่า สิ่งที่เป็นกลาง เขาเรียกว่า “ใจ”
ใจมือหมายเอาตรงกลางมือ ใจเท้าก็หมายเอาตรงกลางเท้านั่นเอง สิ่งทั้งปวงหมดถ้าพูดถึงใจแล้ว จะต้องหมายเอาตรงใจกลางทั้งนั้น แม้แต่ใจของคนซึ่งเป็นนามธรรม ก็ต้องชี้เข้าไปที่ท่ามกลางอกแต่ใจแท้ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน เราเอาความรู้สึกไปไว้ในส่วนกายส่วนใดส่วนหนึ่งลองดูซิจะรู้สึกขึ้นในที่ นั้น หรือเอาความรู้สึกนั้นไปไว้ภายนอกกาย เป็นต้นว่าเอาไปไว้ที่ต้นเสา หรือฝาผนังบ้าน ก็จะมีความรู้สึกอยู่ ณ ที่นั้น
เป็นอันสรุปได้ว่า ใจแท้ คือ ความรู้สึก เมื่อมีความรู้สึกกลางๆ อยู่ ณ ที่ใด ใจก็อยู่ ณ ที่นั้น ที่ชาวบ้านเขาพูดกันว่า หัวใจๆ นั้น มิใช่ใจแท้ เป็นหทัยวัตถุ เครื่องสูบฉีดเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงสรีระร่างกาย เพื่อให้อยู่ได้ ถ้าไม่มีเครื่องสูบฉีดเลือด ไปหล่อเลี้ยงร่างกายแล้ว กายอันนี้ก็จะอยู่ไม่ได้ต้องตาย สมองก็เหมือนกัน จะคิดดีหรือไม่ดี ก็เพราะสมองเป็นเครื่องใช้ของจิต ระบบประสาทของสมองเป็นรูปธรรม หรือปัจจัยต่างๆ ของรูปธรรมขาดไป รูปธรรมย่อมอยู่ไม่ได้ต้องดับไป
แต่จิตซึ่งเป็นนามธรรมนั้น ในพุทธศาสนาท่านว่า ยังเหลืออยู่เกิดได้อีก นามธรรมจะดับก็ต่อเมื่อปัญญาไปรู้เหตุรู้ผลของนามธรรมนั้นๆ แล้ว ถอนมูลเหตุของมันเสีย จิตกับใจมีลักษณะต่างกันดังอธิบายมานี้
เอวัง
Credit by : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=816
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version