คำถามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับ
สุนทรียสนทนามันจะเหมือนการไปปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ? ที่ว่าเมื่อไปหลีกเร้นภาวนาเจ็ดวันสิบวัน ใหม่ ๆ ก็รู้สึกดี
เหมือนมีบรรยากาศห่อหุ้มรอบตัว ทำให้อะไรก็ดูดีไปหมด ชีวิตแช่มชื่นเบิกบาน โกรธใครไม่เป็น
แต่แล้วมันก็ค่อย ๆ หดตัว หาญสูญไปในที่สุด ถ้าเป็นเช่นนี้ ทั้งมณฑลแห่งพลังและการปฏิบัติธรรม
เป็นมายาการหรือไม่ ? เมื่อเรากลับสู่โลกความเป็นจริง มายาการนั้นก็ค่อย ๆ ปลาสนาการไป ?
ในเรื่องนี้ สุนทรียสนทาดูเหมือนจะแตกต่างจากการปฏิบัติธรรม ทั้งวิธีการ กระบวนการ และผลที่ได้
แต่ไม่โดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติธรรมก็มีหลายสำนัก มณฑลแห่งพลังอาจจะเป็นสำนักหนึ่ง
แห่งการปฏิบัติธรรมก็ได้ ลองมาดูว่ามันแตกต่างกันและเหมือนกันอย่างไร เราอาจจะได้เรียนรู้อะไร
จากใคร่ครวญประเด็นเหล่านี้บ้างไม่มากก็น้อย และนำไปสู่การตอบคำถามข้างต้น
ที่แตกต่างประการแรกคือ มิติของความเป็นองค์กรจัดการตัวเอง กล่าวคือการเข้าไดอะล็อกอาจจะมี
กติกาชุดหนึ่ง แต่ก็เป็นกติกาที่ทุกคนรวมทั้งผู้ดำเนินรายการ (ซึ่งเมื่อทุกคนคุ้นเคยกับกระบวนการ
ไดอะล็อกดีแล้วก็ไม่ต้องมีผู้ดำเนินการ )ต้องปฏิบัติตาม นอกนั้นแล้วผู้เล่นคือองค์กรจัดการตัวเอง
ที่ไม่มีใครเข้ามาจัดการกับตัวเขาหรือเธอ ในการปฏิบัติจะมีผู้นำ จะมีครูอาจารย์สั่งการให้ปฏิบัติตาม
แผนการเรียนรู้ของท่าน โดยจะมีเนื้อที่ให้กับองค์กรจัดการตัวเองมากน้อยแล้วแต่ความยืดหยุ่นของ
แต่ละเจ้าสำนัก ถ้าหากเข้าใจในกระบวนการศึกษาที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ใหม่ คือสอดคล้องกับ
ศาสตร์แห่งการเรียนรู้รับรู้ทั้งหลาย ที่มีการวิจัยทางสมองมารองรับนั้น ก็จะได้วิธีการจัดการศึกษา
แบบใหม่ ที่เปิดเนื้อที่ให้แก่ความเป็นองค์กรจัดการตัวเองมาก ดังจะเห็นได้ว่า บางสำนักก็อาจจะมี
การพูดคุยกัน และเสียงของผู้เข้าร่วมก็มีน้ำหนักมากกว่าการเป็นนักเรียนเพียงคนหนึ่งเท่านั้น
ถ้ามองจากมุมมองของสุนทรียสนทนา นอกจากจะมีมีเนื้อที่ให้แต่ละคนตลอดจนแต่ละกลุ่มสนทนา
ได้เป็นองค์กรจัดการตัวเองอย่างมหาศาลแล้ว สุนทรียสนทนายังให้พื้นที่ของเนื้อหาแก่กลุ่มคนอีกด้วย
เพราะว่าสุนทรียสนทนาเป็นกระบวนการ ไม่ได้เป็นองค์ความรู้ที่ตายตัวเกี่ยวกับชีวิต การงานและโลก
ในแต่ละกลุ่มแต่ละวง เนื้อหาจะมีความแตกต่างหลากหลายกันไป สุนทรียสนทนาเป็นเพียงกระบวนการ
ที่เปิดเวทีให้คนได้คุยและรับฟังกัน จริง ๆ จัง ๆ ผลที่ได้ทางเนื้อหาที่พูดคุยกัน จึงเป็นเรื่องของแต่ละ
กลุ่มเอง การเป็นคำตอบหรือแนวทางหรือเบาะแสแห่งคำตอบในแต่ละเรื่องเช่นนี้ ทำให้ผลที่ได้
ในแต่ละคนรวมถึงกลุ่มจะรู้สึกเป็นเจ้าข้างเจ้าของ ซึ่งจะเป็นดีกับความรู้สึกร่วมและความยั่งยืนที่
จะเกิดขึ้นจากการนำคำตอบเหล่านี้ไปปฏิบัติด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นในวงสุนทรียสนทนา ที่แตกต่างอีกก็คือ เมื่อเกิดปัญญาจากการสนทนา คนที่เคยไป
ปฎิบัติธรรมก็จะเห็นได้ว่ามันเป็นวิปัสสนากรรมฐานในรูปแบบหนึ่งแน่ ๆ เพราะเมื่อเข้าวงสนทนา
และเริ่มฟังอย่างมีทัศนคติที่ถูกต้อง คือ การฟังอย่างมีสมาธินั่นเอง การพูดคุยก็ไม่เน้นข้อโต้แย้ง
หรือเอาชนะคะคาน ผลที่ได้คือความรู้สึกบวกและดีต่อกัน เป็นการเจริญพรหมวิหารไปด้วยในตัว
ในความนิ่งสงบแห่งจิตใจ ในการฟัง และความเป็นกุศลจิตเมื่อดำรงอยู่ในพรหมวิหาร คือ
เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา คำอุเบกขานี้หมายความว่า ไม่ตัดสินถูกผิดผู้อื่น ให้ห้อยแขวน
เอาไว้ก่อน แต่ให้ความใส่ใจสนใจผู้อื่น สุขทุกข์ ความคิดความอ่านของเขาหรือเธอ
เมื่อการสนทนาดำเนินไปถึงช่วงวุฒิภาวะที่สี่ ตรงนี้เอง ที่การฟังจะเป็นความใส่ใจอย่างยิ่ง
การเหนี่ยวนำของกลุ่ม ทำให้ทั้งกลุ่มมีสมาธิ มีอุเบกขาไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดโยนิโสมนสิการ
เกิดการใคร่ครวญทางปัญญา มีการโผล่ปรากฏแห่งญาณทัศนะ อันเป็นปัญญาที่ก่อผลอย่างยั่งยืนอีกประการหนึ่ง เมล็ดพันธุ์อันเกิดจากการใคร่ครวญดังกล่าว มิได้สิ้นสุด เมื่อการสนทนายุติ
มีรายงานมากหลาย จนเรียกได้ว่าทุกคนที่เข้าสู่การสนทนาด้วยความจริงใจ คำถาม ปริศนา
ทั้งที่คิดขึ้นในวงสนทนา และคิดขึ้นมาได้ในภายหลัง มันเกิดการบ่มเพาะและรอเวลาแห่ง
การโผล่ปรากฏ สำหรับหลายคน คืนวันนั้นหรือคืนต่อไป คำถามคำตอบจะผุดพรายขึ้นมา
มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่ได้สิ้นสุดลงตรงนั้น ด้วยปัญญาด้วยวิถีใหม่แห่งการฟัง
และการสนทนา การบ่มเพาะยังดำเนินต่อไป ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์เป็นเดือนและเป็นปี
อยากจะเรียกได้ว่าตลอดชีวิต
- จากสุนทรียสนทนา -
- วิศิษฐ์ วังวิญญู เขียน-
- หน้า 126 ถึง 128 -