ผู้เขียน หัวข้อ: อิสระภาพอันมืดมน...  (อ่าน 2078 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
อิสระภาพอันมืดมน...
« เมื่อ: มีนาคม 17, 2011, 09:17:37 am »



เสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นอย่างแซงแซ่ในขณะที่ผมบังเอิญผ่านไป เสียงร้องยิ่งดังขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ ๆ บ้านหลังหนึ่ง ผมแอบหลังพุ่มไม้จ้องมองไปยังที่มาของเสียง สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็ประจักษ์แก่สายตาของผม
 
ร่างของเจ้าของเสียงที่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือนั้นอยู่หลังลูกกรงขนาดใหญ่ เขาตะโกนเพื่อเรียกร้องอิสระภาพที่เคยเป็นของเขามาก่อน ผมเหลี่ยวซ้ายแลขวาก่อนที่จะก้าวข้ามรั่วคอนกรีตขนาดใหญ่นั้นเข้าไป
 
เสียงค่ำครวญอันน่าเวทนาของเขายิ่งทำให้ผมต้องรีบเร่ง ไม่ทันไรผมก็ไปยืนเกาะลูกกรงเพื่อสอบถามความเป็นไป สาเหตุที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เราพูดคุยกันโดยมีลูกกรงกั้นอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ ผมซึ่งพยายามมองหากลไกอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเขาออกมาอย่างไม่ทันระวังตัว
 
เพียงครู่เดียวที่ผมก้าวเข้าไปใกล้ ท่อนไม้ขนาดใหญ่กลับพุ่งตรงข้ามหัวผมไปอย่างเฉียดฉิว ผมตกใจเกินกว่าที่จะมีสติอีกต่อไป ร่างที่นอนแน่นิ่งของผมถูกจับขึ้นพลิกซ้ายขวาและถูกค้นไปทั่วทั้งตัว
ผมรู้สึกตัวขึ้นในที่คุมขังขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับร่างที่ผมเห็นก่อนอิสระภาพ ผมงุนงงลุกขึ้นและเซไปติดอยู่ที่ลูกกรงของห้องขังด้านหนึ่ง ผมพยายามมองหาหนทางที่จะหนีรอดไปจากที่นี่ ผมวิ่งวนไปจนทั่วร้องตะโกนเหมือนคนบ้า บัดนี้อิสระภาพของผมถูกริดรอนเสียแล้ว
 
ผมพยายามร้องหาเหตุผลที่ต้องถูกจับกุมในครั้งนี้ แต่ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีใครให้เหตุผลที่จะพอฟังได้ว่าเพราะเหตุใด เสียงภายนอกดังขึ้นแข่งกับเสียงผมเซ็งแซ่ ผมถูกทรมาณโดยการจับไปขังในห้องมึด มึดมิด ไม่มีแม้นแสงเดือนแสงตะวัน ผมหวาดกลัวจนร้องไม่ออกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด และทันทีที่ผมถูกพามาในที่โล่งแจ้ง ผมไม่เคยจะละความพยายามที่จะขอความช่วยเหลือ ผมตะโกนก้องจนสุดเสียง แม้นว่าที่โล่งแจ้งแห่งนั้นจะร้อนละอุด้วยเปลวแดดสักปานไหนก็ตาม บ่อยครั้งที่ลมแรง ๆ ช่วยทุเลาความร้อนได้บ้าง แต่มันก็ไม่ทำให้ใจของผมหยุดร้อนรนได้เลย
 
ผมหวลคิดถึงลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลก เมียของผมคงจะต้องดูแลพวกเขาให้เติบโตแต่เพียงลำพัง ผมยังหวังว่าสักวันผมจะได้เจอหน้าพวกเขาอีกครั้งในขณะที่ผมตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่าที่ผมถูกคุมขัง ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่ผมจะไม่ถวิลหาอิสระภาพที่เคยได้รับ อิสระภาพใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ทีเคยเป็นของผม ผมไม่รู้ว่าผมทำผิดอะไรจึงต้องโดนคุมขังราวอาชญากรทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยคิดแม้นแต่จะฆ่าใคร
วันแล้ววันเล่าที่ผมถูกจองจำอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ โลกภายนอกหมุนเวียนเปลี่ยนไปทางไหนบ้าง ผมไม่เคยรับรู้ จนวันหนึ่งท่ามกลางเปลวแดดที่กำลังทรมาณร่างกายผมอยู่นั้น เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นไม่ไกลนัก ผมจับใจได้ไม่มากท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ลางสังหรณ์ว่าไม่นานผมคงต้องจากไปยังที่ไกลแสนไกลและจะไม่ได้พบหน้าลูกเมืยอย่างที่หวังอีกแล้ว
 
ราวกลับจะมีสัมผัสรู้ล่วงหน้า ในค่ำวันหนึ่งผมถูกนำตัวออกมาจากที่คุมขัง ผมดิ้นรนอย่างสุดกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม แต่ไม่ว่าผมจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของผมไปเท่าไรก็ดูมันจะไร้ผล ผมถูกนำมาขังไว้ในห้องทีมืดมิดเพดานต่ำจนผมต้องขดหัว มีเพียงช่องเล็ก ๆ ไว้สำหรับให้มีอากาศหายใจ ผมขดตัวอยู่ในห้องคุมขังนั้น รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วออกจากที่คุมขังเดิมอย่างไม่รู้ชะตากรรม
 
ในห้องมืดแห่งใหม่นี้ ทั้งมืดมิด ทั้งแคบและต่ำจนอึดอัด เหมือนถูกบีบรัดให้ร่างกายที่เล็กอยู่แล้วของผมยิ่งเล็กลงจนแทบไม่มีตัวตน ความโคลงเคลงของการเคลื่อนที่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก ผมไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนี้ ผมกลัวจนตัวสั่นอยู่ในความมืดแต่เพียงลำพัง ผมคิดถึงบ้าน คิดถึงลูกและเมียที่บัดนี้ผมคงไม่ได้เจอพวกเขาอีกต่อไป น้ำตาผมไหลเป็นสายอยู่ในความมืดอันสับสนและร้อนรนในความรู้สึกขณะนั้นเรี่ยวแรงผมไม่มีให้ดิ้นหนีอีกต่อไป ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น
 
ยาวนานราวชั่วกัปล์กัลย์ผมถูกเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ผมพะอืดพะอมและวิงเวียนเกินกว่าจะทำอะไรได้ ร่างกายผมร้อนรุ่มไปด้วยความหวาดกลัว ทุกอณูที่ผมสัมผัสได้มีเพียงแต่ความสับสน สิ้นหวัง
 
ในที่สุดผมก็ได้พบกับแสงสว่างอีกครั้ง ภายใต้ที่คุมขังใหม่ ณ ที่นี่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมมากมายกว่าที่เก่า แต่ทุก ๆ เสียงร่ำร้องกลับมีเพียงเสียงโหยหาอิสระภาพที่ไม่มีใครได้ยิน พวกเราถูกขังเดี่ยวและรอการลงฑัณฑ์ในแต่ละวันอย่างเลื่อนลอย มีเพียงเสียงอันโหยหาอิสระภาพของตัวเองเท่านั้นเป็นเพื่อน
 
"กรงหัวจุกตัวนี้เป็นไงพี่ ตาแดง หงอนตั้ง ตูดแดงเข้มเลยนะพี่  ไม่ใช่ปรอดหัวเขม่าแน่พี่รับรอง เสียงดีด้วยนะ พี่จะลองนับขนหางดูหรือดูบัวก่อนก็ได้พี่ เดี๋ยวผมเอาออกมาให้ ตัวนี้น่ะหางสิบสองเส้น บัวแดงสดชัดเลยพี่"
 
เขาบรรยายสรรพคุณของผมชัดเจน ก่อนจะเอาผมออกไปตากเปลวแดดอันร้อนแรงอีกครั้ง พร้อมให้สัญญาณแห่งการเรียกร้องอิสระภาพของผมอีกที เขาเรียกพวกผมว่า "นกกรง หัวจุก" ชื่อที่ผมไม่เคยชอบมันเลย เพราะผมเป็นนกตามธรรมชาติ ไม่ใช่ "นกกรง" อย่างที่เขาเรียกขาน และจับผมเข้ามาอยู่ในกรงเช่นนี้
ผมโกงคอขันเสียงร้องเรียกอิสระภาพดังกังวานไปทั่วบริเวณ พวกเขายิ้มอย่างยินดี ยินดีที่ผมถูกกังขังและทรมาณอย่างนั้นหรือ จิตใจของพวกเขาทำด้วยอะไรจึงได้ยินดีกับความปวดร้าวของร่างกายและจิตใจของผม ทุกสรรพเสียงที่ผมกู่ตะโกนล้วนเปล่งมันออกมาจากวิญญาณอันโหยหาอิสระภาพซึ่งเป็นของผมมาแต่เดิม พวกเขามีสิทธิ์อะไรที่มาทำกับผมเช่นนี้ พวกเขาต่างหากที่ควรจะถูกกักขังแทนที่จะเป็นผม
 
มนุษย์เรียกตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีความคิดไตร่ตรองดีชั่วได้กว่าบรรดาสัตว์เล็ก ๆ อย่างพวกผม แต่มนุษย์บางคนกลับไม่มีสามัญสำนึกดังเช่นมนุษย์ทั่วไปพึงจะมี ต่างเห็นความทุกข์ทรมาณของสัตว์เล็ก ๆ อย่างพวกผม เป็นความเพลิดเพลินสนุกสนาน พวกเขาไม่เคยคิดถึงสิ่งได้กระทำลงไป หากจะมีใครทำกับพวกเขาดังเช่นที่เขากระทำกับพวกผมบ้าง พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
ผมกระโกนร้องหาอิสระภาพท่ามกลางแสงแดดอันร้อนจัดจ้าจนแสบไปทั้งลำคอ พวกเขากลับชื่นชมกับความทุกข์ของพวกผมอย่างเลือดเย็น !!!
 
แล้วคุณหละ อยากเป็นเหมือนผมมั้ย ???
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
นกกรงหัวจุก หรือนกปรอดหัวโขน หรือนกปิ๊ดจะลิ่ว ที่ติดเพนียดดักนก
สภาพและความบอบช้ำที่นกได้รับ
และสุดท้ายกับอิสระภาพอันมืดมนภายในกรงขัง
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...