แสงธรรมนำใจ > หยาดฝนแห่งธรรม
วันวิสาขบูชา
สายลมที่หวังดี:
อนุโมทนา สาธุค่ะพี่แป๋ม :13:
ฐิตา:
กรมการศาสนา จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
วันวิสาขบูชาปี53
พิมพ์หนังสือบัตรอวยพรกว่า50,000ใบแจกประชาชนร่วมงาน
นายสด แดงเอียด อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า กรมการศาสนาร่วมกับองค์กรเครือข่าย ทางพระพุทธศาสนา จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา ประจำปี 2553 จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชาขึ้น ระหว่างวันที่ 22 – 28 พฤษภาคม 2553 แบ่งเป็นส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค
โดยส่วนกลาง ที่กรุงเทพมหานคร
แบ่งเป็น 3 แห่ง ได้แก่ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง วันที่ 22 – 28 พฤษภาคม
วัดสระเกศ วันที่ 26 – 28 พฤษภาคม
วัดยานนาวา วันที่ 28 พฤษภาคม
โดยมุ่งเน้นให้ เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนเห็นความสำคัญวันวิสาขบูชา ซึ่งถือเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลก
สำหรับกิจกรรมของงานเทศกาลวิสาขบูชาประกอบด้วยพิธีทำบุญตักบาตร เจริญพระพุทธมนต์ การแสดงพระธรรมเทศนา พิธีเวียนเทียน โดยเฉพาะที่บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง จะมีการเปิดศูนย์จริยศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เข้าร่วมกิจกรรม การประกวด แข่งขันสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัยทำนองสรภัญญะ การตอบปัญหาธรรมะ เล่านิทาน รวมทั้งการแสดงตนเป็นพุทธมามกะ สำหรับในส่วนภูมิภาคได้มอบหมายให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดประสานความร่วมมือในการจัดกิจกรรม ณ วัด หรือ ศาสนสถานที่สำคัญทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้จัดพิมพ์บัตรอวยพรจำนวน 50,000 ใบ และหนังสือพุทธวิธีแก้ปัญหาชีวิต จำนวน 25,000 เล่ม แจกจ่ายให้กับประชาชนที่มาร่วมงาน
:http://www.posttoday.com/
พุทธสังเวชนียสถานเนื่องด้วยวันวิสาขบูชา
เหตุการณ์สำคัญทั้ง 3 เหตุการณ์ที่เกิดในวันวิสาขบูชา เกิดภายในบริเวณที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล หรือประเทศอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน โดยสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงประสูติอยู่ที่ลุมพินีวัน ประเทศเนปาลในปัจจุบัน, สถานที่ตรัสรู้ อยู่ที่ พุทธคยา และสถานที่ปรินิพพานอยู่ที่ กุสินารา ประเทศอินเดียในปัจจุบัน โดย 2 ใน 3 ของพุทธสังเวชนียสถานที่เกี่ยวข้องกับวันวิสาขบูชาได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก
มีที่น่าสนใจมากมาย รวมภาพด้วยค่ะ... -http://skly.in.th/buddhism2yourmind/?m=200905
ฐิตา:
ร่วมอนุโมทนาบุญ
ในสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาวิสาขบูชา..
พระรัตนตรัย
สัญลักษณ์สูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ พระรัตนตรัยในฐานะที่เป็นองค์รวมสูงสุดแห่งมนุษย์ ธรรมชาติและสังคมเป็นแม่แบบแห่งความสมบูรณ์สูงสุด และเป็นองค์คุณธรรมที่สัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะเป็นแบบอย่างและเป็นอุดมคติ ชีวิต พิธีกรรมการแสดงถึงความเป็นพุทธศาสนิกชน ก็คือการปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัยโดยการเปล่งวาจา 3 ครั้ง ดังนี้
1. พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
2. ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
3. สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
พระรัตนตรัยแปลว่า ดวงแก้วอันประเสริฐ 3 ดวงคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึงอาจจำแนกอธิบายได้ดังนี้
ก. พระรัตนตรัย ในฐานะสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
1. พระพุทธเจ้า
องค์แห่งพระรัตนตรัยที่ 1 คือพระพุทธเจ้า ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงคุณลักษณะ 2 ประการ
ประการที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลหรือมนุษย์ในประวัติศาสตร์ พระนามว่าสิทธัตถะ ทรงเป็นราชโอรสของพระมหากษัตริย์ พระนามว่าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายาเผ่าพันธุ์ศากยะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงประสูติ ณ สวนลุมพินีวันในวันเพ็ญเดือน 6 ณ ชมพูทวิป อายุ 16 พรรษา อภิเษกสมรสกับพระนางสิริยโสธรา มีพระโอรส 1 พระองค์ พระนามว่า ราหุล
ประการที่สอง พระพุทธเจ้าในฐานะมนุษย์ผู้มีตนอันพัฒนาสูงสุด และเป็นแม่แบบที่มนุษย์ทั้งปวงที่จะต้องถือไว้เป็นตัวอย่าง เพราะทรงมีพัฒนาการสูงสุดในความเป็นมนุษย์ โดยทรงคุณสมบัติ 9 ประการ กล่าวคือเป็นพระอรหันต์
1. ตรัสรู้เองโดยชอบ
2. ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
3. เสด็จไปดีแล้ว
4. เป็นผู้รู้แจ้งโลก
5. เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า
6. เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
7. เป็นผู้มีโชค
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถย่นย่อได้ 3 อย่างคือ
1. พระปัญญาคุณ ทรงมีพระปัญญาคือ ความรู้สัพพัญญูญาณ
2. พระกรุณาคุณ ทรงคุณความดี คือความกรุณาในฐานะที่เป็นคุณธรรมที่ทำให้ความดีอื่น ๆ ทั้งหลาย และประโยชน์สุขเกิดขึ้นแก่คนอื่น
3. พระวิสุทธิคุณ ทรงบริสุทธิ์ทั้งพระชาติ และความประพฤติทางกาย วาจา ใจ โดยทรงประกอบด้วยวิมุติ
ฐิตา:
2. พระธรรม
พระธรรมคือความจริงที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยปัญญา ซึ่งทำให้ผู้ค้นพบเป็นพุทธะ และถ้าเป็นผู้นำพระธรรมนั้นมาประกาศสั่งสอนผู้อื่น เผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้ตามหรือตั้งศาสนาได้ เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าค้นพบเอง แต่ถ้าไม่ได้เผยแพร่พระธรรมนั้นแก่คนอื่น เรียกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะไม่สามารถจะตั้งศาสนาได้ ถ้าเป็นผู้รู้ธรรมตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนนั้น เรียกว่าอนุพุทธหรือ สาวก
คุณของพระธรรมมี 6 อย่างคือ
1.) เป็นธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว
2.) เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง
3.) เป็นธรรมไม่ประกอบด้วยกาล (หรือกาลเวลา)
4.) เป็นธรรมอันควรเรียกให้มาดู (พิสูจน์ได้)
5.) เป็นธรรมที่ควรน้อมเข้ามาในตน
6.) เป็นธรรมอันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
ความหมายของพระธรรมอาจแยกได้ 5 ประการคือ
1.) ตัวธรรมชาติ คือ กลุ่มหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลาย
2.) ตัวกฎธรรมชาติ คือ กฎแห่งเหตุผล กฎแห่งกรรม เป็นต้
3.) หน้าที่ตามธรรมชาติ คือ การทำหน้าที่ให้ผลอย่างตรงตัวและพันธกรณีในทิศทั้ง 6
4.) ผลที่เกิดจากหน้าที่ คือความสุข ทุกข์ บาป บุญ เกิดขึ้นตามการปฏิบัติทั้งในส่วนตัว และสังคมมีลักษณะเป็นธรรมาธิปไตย เพราะถือหลักการหรือธรรมเป็นใหญ
5.) ธรรมวินัย คือคำแนะนำสั่งสอนและข้อบัญญัติห้ามมิให้การกระทำอีก
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นคุณชาติที่ทำให้ปุถุชนผู้ปฎิบัติตามกลายเป็นพระอริยบุคคลมี 4 ระดับ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ พระธรรมมีวิมุติเป็นแก่น และความพ้นทุกข์เป็นรส
พระคัมภีร์รองรับพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว เรียกพระไตรปิฎกแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ พระวินัยปิฎก ว่าด้วยระเบียบวินัยและศีล พระสุตตันตปิฏก ว่าด้วยหลักธรรมที่แสดงแก่บุคคลต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เวลา และสถานที่ และพระอภิธรรมปิฎกว่าด้วยองค์แห่งสภาวธรรมล้วน ๆไม่ปรารภบุคคลหรือสถานที่ พระธรรมทั้งปวงรวมเป็นสามอย่างคือ ปริยัติธรรม การศึกษาเล่าเรียน อันเป็นส่วนเบื้องต้น ปฏิบัติธรรม ได้แก่ความประพฤติตามธรรมที่ตนได้สดับมา และปฏิเวธธรรม คือผลของการปฏิบัติที่เรียกว่า อริยมรรค อริยผล มีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นต้น มีอรหันต์ผลเป็นที่สุด
ฐิตา:
3. พระสงฆ์
พระสงฆ์ คือผู้ที่เข้าถึงธรรมตามที่ทรงแสดง โดยอาศัยพระกรุณาคุณ ของพระพุทธเจ้าทำให้เข้าถึงธรรม มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นองค์แรก และต่อมาได้สำเร็จมรรคผล เรียกอริยสงฆ์ที่ยังไม่สำเร็จมรรคผลอย่างพระภิกษุทั่วไป เรียกว่าสมมติสงฆ์ เพราะท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าและเป็นพยานการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติตาม และได้สั่งสอนธรรมต่อมาจึงเป็นที่ควรเคารพนับถือ พระสงฆ์ คือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติถูกต้อง ตรงกับพระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้
พระสงฆ์คือ บุคคลที่เมื่อบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว จะมีฐานะแตกต่างไปจากคฤหัสถ์หรือบุคคลทั่วไปถือเพศเป็นสมณะ ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มีหน้าที่ 2 ประการคือ
1. ทำหน้าที่ตนเอง คือการศึกษาพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และทรงบัญญัติไว้เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในพระธรรมวินัยถูกต้องตามความเป็นจริง
2. หน้าที่ต่อสังคม พระสงฆ์นอกจากจะปฏิบัติในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วพระสงฆ์ในฐานะกัลยาณมิตรของสังคม มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ 6 ประการ กล่าวคือ
2.1) แนะนำอบรมชี้แจงให้เขาละเว้นความชั่ว
2.2) แนะนำสั่งสอนเชิญชวนให้เขาปฏิบัติดี
2.3) สงเคราะห์เขาด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตากรุณา มุ่งดี ปรารถนาดีต่อเขา
2.4) ให้เขาได้ยินได้ฟังเรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟัง
2.5) อธิบายสิ่งที่เขาได้ฟังมาแล้ว แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจชัดเจน ให้เข้าใจให้ชัดเจน
2.6) บอกทางสุข ทางเจริญ และทางสวรรค์แก่เขา
พระสงฆ์ทรงคุณลักษณะ 9 ประการ คือ
1. เป็นผู้ปฏิบัติดี มุ่งปฏิบัติชอบด้วยพระวินัย พัฒนาตนเองไปตามลำดับไม่เป็นข้าศึกต่อผู้อื่น พยายามขัดเกลาจิตใจ และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตนไปตามลำดับความสามารถของตน
2. เป็นผู้ปฏิบัติตรง คือพยายามทำตนให้ตรงต่อคำสอนเหล่านั้น เป็นผู้ตรงต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อภารกิจการงานที่ต้องจัดต้องทำ
3. เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม คือ ปฏิบัติมุ่งให้สงบกาย วาจา ใจ จนถึงหลุดพ้นจากความทุกข์
4. เป็นผู้ปฏิบัติสมควร คือ ปฏิบัติตามสมควรแก่สมณเพศ สมควรแก่ฐานะจนสามารถขจัดกิเลสได้โดยลำดับจนถึงหมดสิ้น
5. เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา คือ ปฏิบัติตนดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติสมควร ดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นที่เคารพสักการะของคนทั้งหลาย
6. เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ คือ เป็นผู้เมื่อประชาชนต้อนรับแล้ว ย่อมเกิดความสุขสบายใจคือประสบบุญ อันมีผลเป็นความสุขทั้งในปัจจุบันและกาลภายหน้าด้วย
7. เป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทาน คือ เป็นผู้ปฏิบัติดีงามเหมาะสมเป็นรับทักษิณาทาน เพราะช่วยให้ทานที่เขาบริจาคมีผล มีอานิสงส์มาก
8. เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี คือ เป็นผู้ปฎิบัติชอบ ควรแก่การประณมมือไหว้ท่านด้วยความเคารพ เป็นการแสดงความเคารพต่อท่านผู้มีคุณความดี
9. เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งไปกว่าเพราะคุณความดีองท่าน ดังกล่าวมาแล้ว เป็นเหมือนกับนาที่ดี ชาวโลกที่ต้องการความดีอันเป็นสุข ย่ิอมคบหาสมาคมเพราะความเป็นกัลยาณมิตรบ่อเกิดแห่งความดีทั้งปวงเมื่อเข้าสมาคมย่อมได้รับสิ่งที่เป็นกุศล และความสุขเต็ม ที่
ดังนั้น พระสงฆ์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version