ผู้เขียน หัวข้อ: หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๒๐. จาริกสู่อิกซท์แลน  (อ่าน 2405 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
             



๒๐. จาริกสู่อิกซท์แลน


(อิกซท์แลน เป็นชื่อหมู่บ้านหรือเมืองแห่งสันติสุข อาจมีอยู่จริงเท่าๆกับมีอยู่ในจินตนาการ เรามีชื่อเมืองในลักษณะเดียวกันนี้เช่น ยูโตเปีย สรวงสวรรค์ เมืองนิพพาน หรือแดนศิวโมกขนภาลัย เป็นต้น-ผู้แปล)



             
               ดอนเกนาโรกลับมาในราวเที่ยงวัน และดอนฮวนเสนอให้เราทั้งสามคน นั่งรถเดินทางไปยังเทือกเขาที่ผมไปมาแล้วในวันก่อน เราออกเดินไปตามทางสายเดิมโดยไม่แวะตรงที่ราบสูงดังที่ผมทำ แต่ปีนต่อไปจนถึงยอดเขาลูกที่ต่ำที่สุด ต่อมาเราเดินลงสู่หุบเขาที่เป็นที่ราบ
           เราหยุดพักกันบนยอดของเนินสูงแห่งนั้น ดอนเกนาโรเป็นคนเลือกที่พัก ดังที่เคยทำในทุกครั้งที่ร่วมเดินทางไปกับหมอผีทั้งสอง ผมนั่งลงทันทีให้ดอนฮวนนั่งทางด้านขวามือ ส่วนดอนเกนาโรนั่งทางซ้ายเป็นรูปสามเหลี่ยม

           ละเมาะไม้ในทะเลทรายอาบความชื้น เป็นประกายสวยงาม ฝนที่ตกลงมาบางเบาในฤดูใบไม้ผลิทำให้พุ่มไม้เหล่านั้นมีสีเขียวสดใส
           "เกนาโรจะบอกบางอย่างกับคุณ" ดอนฮวนพูดโพล่งขึ้นมา "เกนาโร จะเล่าเรื่องราวที่เขาเผชิญกับพันธมิตรเป็นครั้งแรก อย่างนั้นไม่ใช่หรือเกนาโร" ดอนฮวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่รบเร้า
           ดอนเกนาโรมองมาทางผมแล้วห่อริมฝีปากเป็นรูกลมๆ แกกระดกลิ้นขึ้นไปติดเพดานแล้วอ้าปากหุบปากพะงาบ ๆ เหมือนกับว่าแกขากเสลดออกมา ดอนฮวนมองดูแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง ผมไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น
           "แกทำอะไร" ผมถามดอนฮวน
           "แม่ไก่"
           "ดู ดูที่ปากของแก นั่นมันแม่ไก่ลาและมันกำลังจะออกไข่"
           อาการพะงาบ ๆ ที่ปากของดอนเกนาโรถี่ขึ้น นัยน์ตาของแกมีแววประหลาดและผิดปกติมาก ปากของแกอ้าขึ้นราวกับว่าอาการพะงาบ ๆ ปากออก แกทำเสียงครืดคราดในลำคอแล้วเอามือกอดอกให้มือแนบติดกับลำตัวแล้วแกถ่มเสลดออกมาอย่างไม่มีมารยาทอะไรทั้งสิ้น

           "ไอ้ห่....มันไม่ใช่ไข่" แกพูดออกมาด้วยใบหน้าท่าทางจริงจังมาก ท่าทางและสีหน้าของแกน่าขันมาก จนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
           "เกนาโรเกือบจะวางไข่แล้วละ บางทีเกนาโรจะเล่าให้คุณฟังถึงเรื่องการเผชิญหน้ากับพันธมิตรของแกได้แล้ว" ดอนฮวนพูดเร่งเร้า
           "บางทีเท่านั้นนะ" ดอนเกนาโรพูดอย่างไม่ค่อยสนใจนเรื่องนี้นัก
           ผมวิงวอนให้แกเล่าให้ผมฟัง

           ดอนเกนาโรยืนขึ้น แกเหยียดแขนแล้วยืดหลัง กระดูกของแกลั่นกรอบแกรบ แล้วก็นั่งลง
            "ผมยังหนุ่มมากเมื่อผมสู้กับพันธมิตรของผม" แกเล่าออกมาในที่สุด "ผมจำได้ว่าขณะนั้นเลยเที่ยงไปเล็กน้อย ผมออกไปยังท้องทุ่งแต่เช้ามืดและผมกำลังเดินกลับบ้าน ทันใดนั้นพันธมิตรเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ แล้วขวางทางผมไว้ เขาคอยผมอยู่แล้วและกล่าวเชิญให้ผมเข้าไปประลองกำลังกัน ผมทำท่าจะหันไปทางอื่นเสียเพื่อเลี่ยงหนีไป แต่ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่าผมแข็งแรงพอแล้วนี่นะที่จะสู้กับเขาได้ ผมกลัวเหมือนกันแหละ ความเย็นเยียบแล่นผ่านไปตามกระดูกสันหลังและคอของผมแข็งเหมือนกับไม้กระดาน อย่างไรก็ตาม นั่นจะเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณพร้อมแล้ว ผมหมายถึงเมื่อคอของคุณแข็ง"

           แกเปิดกระดุมเสื้อออกเพื่อให้ผมดูหลังของแก แกเกร็งกล้ามเนื้อที่คอ ที่หลังและที่แขนทั้งสองข้าง ผมเห็นคุณภาพอันเยี่ยมยอดของกล้ามเนื้อในร่างกายของแก มันเหมือนกับว่าความทรงจำในการผจญภัยในครั้งนั้น มาทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายเขม็งตัวขึ้นมา
           "ในสภาวะเช่นนั้น" ดอนเกนาโรเล่าต่อ "คุณต้องหุบปากไว้แน่นเสมอ"
           แกหันไปทางดอนฮวนแล้วถามว่า
           "ถูกไหมล่ะ"
           "ถูกแล้ว" ดอนฮวนตอบเรียบๆ
           "แรงปะทะตอนที่คุณจับพันธมิตรของคุณไว้นั้นแรงมาก จนคุณอาจจะกัดลิ้น หรือฟันกระทบกันจนหลุดออกมาได้ ร่างกายของคุณต้องตั้งตรง ยืนอยู่อย่างมั่นคงและเท้าทั้งสองต้องยึดอยู่กับพื้นอย่างเหนียวแน่น"

            ดอนเกนาโรยืนขึ้นเพื่อแสดงท่าที่ถูกต้องให้ผมดู.....เข่าของแกหย่อนเล็กน้อย แขนทั้งสองข้างห้อยอยู่ข้างลำตัว นิ้วมืองอเล็กน้อย แกอยู่ในท่าที่ผ่อนคลายแต่กระนั้นก็ปักหลักยืนอยู่อย่างมั่นคง ดอนเกนาโรยืนอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งและขณะที่ผมคิดว่าแกจะนั่งลง แกกลับพุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับว่าแกติดสปริงไว้ที่ส้นเท้า แกพุ่งออกไปอย่างกะทันหันจนผมผงะหงายหลังล้มลงไป ตอนที่ผมหงายลงไปนั้น ผมรู้สึกว่าดอนเกนาโรกอดเอาใครคนหนึ่งหรือสิ่งหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์เอาไว้

           ผมลุกขึ้นนั่ง ดอนเกนาโรยังคงเขม็งเกร็งร่างอยู่ แล้วแกคลายกล้ามเนื้อออก เดินกลับมาที่เดิมและทรุดตัวนั่งลง
            "คาลอสเพิ่ง เห็น พันธมิตร ของคุณเมื่อกี้นี้เองแหละ" ดอนฮวนพูดออกมาลอย ๆ "แต่เขายังอ่อนแอมากจึงล้มลงไป"
           "อย่างนั้นรึ" ดอนเกนาโรถามออกมาด้วยน้ำเสียงซื่อ ๆ แล้วผึ่งรูจมูกออก
           ดอนฮวนยืนยันว่าผม "เห็น" พันธมิตรของแกจริง ดอนเกนาโรกระโจนออกไปด้วยพลังพิเศษอีกครั้งหนึ่งทำให้ผมล้มลงไปทางด้านข้าง แกพุ่งออกไปเร็วมากจนผมไม่อาจบอกได้ว่าแกพุ่งออกไปจากท่าที่นั่งอยู่นั้นได้อย่างไร
           ทั้งสองหัวเราะออกมาเสียงดัง และต่อมาดอนเกนาโรเปลี่ยนเสียงหัวเราะของแกเป็นเสียงหอนที่ไม่ต่างจากเสียงหอนของหมาป่าไคโยติเท่าใดนัก

           "อย่าคิดไปว่าคุณต้องกระโจนให้ได้ดีเท่า ๆ กับเกนาโรเพื่อที่จะจับตัวพันธมิตรของคุณ" ดอนฮวนเตือน "เกนาโรพุ่งออกไปได้รวดเร็วมาก เพราะแกมีพันธมิตรของแกคอยช่วยเหลืออยู่ แต่สิ่งที่คุณต้องทำคือ ให้ยืนอย่างมั่นคงเพื่อทานกับกำลังปะทะให้ได้ คุณต้องยืนให้เหมือนกับเกนาโรตอนก่อนที่แกจะกระโจนออกไป แล้วคุณต้องพุ่งไปข้างหน้าเพื่อจับตัวของมันไว้"
           "เขาต้องจุมพิตเหรียญตราเสียก่อนสิ" ดอนเกนาโรพูดสอดขึ้นมา ดอนฮวนแกล้งทำเป็นจริงจังขึ้นมาพลางพูดว่า ผมไม่มีเหรียญตราอะไรทั้งสิ้น
           "แล้วสมุดบันทึกของเขาล่ะ" ดอนเกนาโรยืนกระต่ายขาเดียว "เขาต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งกับสมุดบันทึกของเขาละ.... วางมันลงตรงไหนสักแห่งก่อนที่เขาจะพุ่งออกไป หรือไม่ก็ บางทีนะ เขาอาจจะใช้สมุดบันทึกฟาดตัวพันธมิตรของเขาก็ได้"
           "ว้า ผมอยากจะบ้า!" ดอนฮวนพูดออกมาราวกับว่าประหลาดใจอย่างแท้จริง "ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ผมพนันไว้เลยว่า จะเป็นครั้งแรกแหละที่พันธมิตรถูกตีล้มลงกับพื้นด้วยสมุดบันทึก"

           เมื่อเสียงหัวเราะของดอนฮวนและเสียงหอนของดอนเกนาโรเงียบลง พวกเราดูจะมีอารมณ์ดีกันทุกคน
           "มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่คุณจับตัวพันธมิตรของคุณได้แล้ว ดอนเกนาโร" ผมถาม
           "มันเป็นการปะทะที่แรงมาก" แกพูดออกมาหลังจากที่รีรออยู่ครู่หนึ่ง แกคงจะเรียบเรียงความคิดให้เข้ารูปเข้ารอย
           "ผมไม่คิดฝันมาก่อนว่ามันจะเป็นเช่นนั้น" ดอนเกนาโรพูดต่อ "มันเป็นอะไรอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งหนึ่ง เป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง....ว้า ไม่เหมือนอะไรเลยที่ผมจะบอกกับคุณได้ พอผมจับตัวเขาไว้ได้เราก็เริ่มหมุนไปรอบ ๆ เขาเหวี่ยงผมไปรอบ ๆ แต่ผมไม่ยอมปล่อย เราหมุนไปในอากาศด้วยความเร็วและกำลังแรงชนิดที่ผมมองไม่เห็นอีกต่อไป ทุกสิ่งสลัวมัวมืดไปหมด เราหมุนจี๋ต่อไป หมุนต่อไป ต่อไปเรื่อย ๆ และทันใดนั้นรู้สึกว่าผมยืนอยู่บนพื้นดินอีกครั้งหนึ่ง ผมมองดูตัวเอง เขาไม่ได้ฆ่าผมหรอก ร่างของผมยังคงอยู่เป็นชิ้นเดียว ผมยังเป็นตัวของผมเอง! ตอนนี้ผมจึงทราบว่าผมประสบความสำเร็จ ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานนี้ในที่สุดผมก็มีพันธมิตร ผมกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ ด้วยความสุข มันช่างเป็นสุขเสียเหลือเกิน! เป็นสุขจริง ๆ!

           "ต่อมาผมหันไปมองดูโดยรอบเพื่อจะทราบว่าผมอยู่ที่ไหน ทัศนียภาพรอบ ๆ ตัวนั้นผมไม่รู้จักเลย ผมคิดว่าพันธมิตรคงนำผมมาทางอากาศ แล้วปล่อยผมลงมาบนสถานที่แห่งหนึ่งไกลจากตรงที่เราเริ่มหมุนมาก ผมหาทิศทางที่จะออกเดิน ผมคิดว่าบ้านของผมคงอยู่ทางทิศตะวันออก ดังนั้นผมจึงออกเดินไปทางทิศนั้น ขณะนั้นยังวันอยู่มาก การประทะกับพันธมิตรนั้นไม่นานเลย เดินมาไม่นานนักผมก็พบทาง และต่อมาผมมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงเดินตรงมาหาผม คนเหล่านั้นเป็นชาวอินเดียนแดง ผมคิดว่าเป็นชาวอินเดียนแดงเผ่ามาซาเต็ก พวกเขาเข้ามารุมล้อมตัวผมไว้แล้วถามว่าผมจะไปไหน 'ผมจะกลับบ้านที่อิกซท์แลน' ผมบอก 'คุณหลงทางหรือ' อีกคนหนึ่งถาม 'ใช่ ผมหลงทาง' ผมตอบ 'ทำไมล่ะ' 'เพราะอิกซท์แลนไม่ได้ไปทางนั้น อิกซท์แลนอยู่ทางทิศตรงกันข้าม พวกเราก็จะเดินทางไปอิซท์แลนเหมือนกัน' อีกคนหนึ่งพูด 'ไปพร้อมกับพวกเราสิ!' พวกเขาชวน 'พวกเรามีอาหารนะ!' "

           ดอนเกนาโรหยุดพูดแล้วหันมาทางผมเหมือนกับจะรอให้ผมถามออกไป
           "แล้วอะไรเกิดขึ้นล่ะ" ผมถาม "คุณร่วมเดินทางไปกับคนเหล่านั้นหรือเปล่า"
           "ไม่หรอก" ดอนเกนาโรตอบ "เพราะคนเหล่านั้นไม่จริง ผมรู้แล้วตั้งแต่ตอนแรก รู้ในวินาทีแรกที่พวกเขาเดินมาหาผม มีพิรุธในน้ำเสียงและความเป็นกันเองของพวกเขาซึ่งเปิดเผยตัวเขาออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาขอให้ผมร่วมเดินทางไปด้วยกัน ดังนั้นผมจึงวิ่งหนี พวกเขาร้องเรียกและขอร้องให้ผมกลับไปหา คำวิงวอนนั้นหลอกหลอนน่ากลัว แต่ผมตั้งหน้าวิ่งหนีต่อไป"
           "พวกเขาเป็นอะไรดอนเกนาโร" ผมถาม
           "เป็นคน" ดอนเกนาโรตอบอย่างตัดรอน "เพียงแต่ว่า พวกเขาไม่จริงเท่านั้น"
           "คนเหล่านั้นเหมือนกับปิศาจ" ดอนฮวนอธิบาย "หรือเหมือนกับภูตผี"

           "เมื่อเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง" ดอนเกนาโรเล่าต่อ "ผมเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น ผมรู้ว่าอิกท์ซแลนอยู่ทางที่ผมมุ่งไปนั่นเอง ต่อมาผมเห็นชายสองคนเดินลงมตามทางเพื่อพบกับผม ทั้งสองก็ดูจะเป็นชาวอินเดียนแดงเผ่ามาซาเ็ต็ก จูงลาที่บรรทุกไม้ฟืนมาด้วย ชายสองคนนั้นเดินมาข้างตัวของผม แล้วทัก 'สวัสดี' ออกมา "สวัสดีครับ ผมกล่าวตอบแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ ชายทั้งสองไม่ใส่ใจกับผมเลย พวกเขามุ่งหน้าเดินต่อไป ผมชะลอฝีเท้าลงแล้วหันไปพิจารณาดู พวกเขาเดินไปโดยไม่สนใจผมแม้แต่น้อย ทั้งสองคนนี้ดูจะจริงกระมัง ผมวิ่งตามพวกเขาไปแล้วตะโกนออกมาว่า 'คอยด้วย คอยผมด้วยครับ!'
           "ทั้งสองดึงลาไว้แล้วยืนขนาบข้างลาตัวนั้นราวกับจะปกป้องไม้ฟืนที่บรรทุกไว้นั้น
           "ผมหลงทางในภูเขาเหล่านี้ ผมบอก อิกซท์แลนอยู่ทางไหนครับ ชายทั้งสองชี้ไปทางที่ตัวกำลังเดินอยู่ คุณอยู่ไกลจากที่นั่นมาก ชายคนหนึ่งพูด อิกซท์แลนอยู่อีกด้านหนึ่งของขุนเขาเหล่านี้ พวกเขาหันกลับแล้วออกเดินต่อ ผมรู้สึกว่าทั้งสองคนนี้เป็นคนอินเดียนแดงจริงๆ ผมจึงวิงวอนให้พวกเขายอมให้ผมร่วมเดินทางไปด้วย

            "เราเดินไปด้วยกันครู่หนึ่ง ต่อมาชายคนหนึ่งหยิบเอาห่ออาหารออกมาแล้วยื่นส่วนหนึ่งให้กับผม ผมตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ท่าทางที่เขายื่นอาหารให้ผมนั้นแปลกที่สุด ผมกลัวจนตัวสั่น ผมกระโดดถอยออกมาแล้วหนี ชายทั้งสองคนนั้นบอกว่า หากผมไม่ร่วมเดินทางไปกับพวกเขาจะอดตายอยู่บนภูเขาเหล่านี้ ทั้งสองคะยั้นคะยอให้ผมร่วมเดินทางไปด้วย คำชักชวนนั้นอ่อนหวานจับใจ แต่ผมวิ่งหนีเต็มฝีเท้า
           "ผมตั้งหน้าเดินต่อไป ผมทราบดีแล้วว่าทางที่ผมเดินอยู่นั้นตรงไปสู่อิกซท์แลนถูกต้องแล้ว พวกผีเหล่านี้พยายามที่จะให้ผมเขวออกนอกทาง

           "ผมพบกับพวกผีอีกแปดตัว พวกมันคงทราบว่าความตั้งใจของผมนั้นจะไม่สั่นคลอนอย่างแน่นอน ผีเหล่านี้พากันมายืนข้างทางเดินแล้วมองมาทางผมด้วยสายตามีแวววิงวอน พวกมันเอาอาหารและสิ่งของอื่นๆ ออกมาวางแสดงแถวข้างทางเหมือนกับว่าพวกมันเป็นพ่อค้าที่บริสุทธิ์ ผมไม่ยอมหยุดเดินหรือแม้แต่จะหันไปมอง
           "เวลาบ่ายคล้อยผมมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ผมทำท่าจะจำที่แห่งนี้ได้และรู้สึกว่าจะคุ้นกับที่นี่อยู่ ผมคิดว่าเคยมายังที่แห่งนี้มาแล้ว และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงผมก็อยู่ทางทิศตะวันตกของอิกซท์แลน ผมมองหาวัตถุที่หมายบางอย่างเพื่อปรับทิศทางที่จะเดินต่อไปให้ถูก และทันใดนั้นผมมองเห็นเด็กชายชาวอินเดียนแดงกำลังเลี้ยงแพะอยู่ เด็กคนนั้นคงมีอายุราว ๗ ขวบและแต่งตัวคล้ายกับผมสมัยที่ยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ความจริงเด็กคนนี้ทำให้ผมระลึกถึงตัวผมเองเมื่อยังเลี้ยงแพะให้กับพ่อ
           "ผมเฝ้าดูเด็กคนนั้นอยู่ชั่วครู่ เด็กพูดกับตัวเองอย่างเดียวกับที่ผมเคยทำและต่อมาแกพูดกับแพะ เท่าที่ผมทราบเกี่ยวกับการเลี้ยงแพะ เด็กคนนี้เลี้ยงแพะได้ดี แกเฝ้าระมัดระวังและเอาใจใส่โดยตลอด แกไม่พะเน้าพะนอเอาใจแพะ แต่ก็ไม่ดุด่ามันด้วย

           "ผมตัดสินใจเรียกเด็กคนนั้น เมื่อผมพูดกับแกด้วยเสียงอันดัง แกกระโดดโหยงแล้ววิ่งไปที่เชิงผา แกเยี่ยมหน้าออกมาดูผมจากหลังก้อนหิน ดูแกพร้อมที่จะวิ่งหนีในทันที ผมชอบเด็กคนนี้ แกขี้ขลาดแต่ก็ยังอุตส่าห์ต้อนแพะหลบเลี่ยงผมไปได้
           "ผมพูดกับแกอยู่นาน ผมบอกว่าผมหลงทางและไม่รู้ว่าทางไหนจะนำไปสู่อิกซท์แลน ผมถามถึงชื่อสถานที่ตรงที่เรายืนอยู่ เด็กบอกว่ามันคือสถานที่ที่ผมทราบดีอยู่แล้วนั่นเอง นั่นทำให้ผมมีความสุข ผมทราบแล้วว่าผมไม่ได้หลงทางหรอก แล้วหันมาพิจารณาถึงพลังของพันธมิตรที่ส่งให้ผมมาถึงจุดนี้ในเวลาน้อยกว่าชั่วพริบตาเดียว

            "ผมขอบใจเด็กนั้นแล้วเดินจากไป แกเดินออกมาจากที่ซ่อน แล้วต้อนแพะไปตามทางซึ่งเกือบจะไม่มีใครสังเกต ทางเดินนั้นดูจะนำไปสู่หุบเขาเบื้องล่าง ผมร้องเรียกเด็กคนนั้นและคราวนี้แกไม่วิ่งหนีอีก ผมเดินเข้าไปหา และเมื่อผมเข้ามาใกล้แกกระโดดหลบเข้าไปในพุ่มไม้ ผมบอกกับแกว่า แกเป็นคนที่ระมัดระวังตัวดีมาก
           ผมเริ่มถามปัญหาต่าง ๆ กับแก " 'ทางที่เธอเดินนี้นำไปไหนล่ะ' ผมถาม 'ไปข้างล่างโน่น' แกตอบ 'แล้วเธออยู่ที่ไหน' 'อยู่ข้างล่าง' 'มีบ้านมากไหมข้างล่างนะ' 'ไม่มากหรอก มีอยู่หลังเดียว' 'แล้วบ้านหลังอื่นล่ะ' แกชี้ไปยังอีกด้านหนึ่งของหุบเขาด้วยท่าทางไม่แยแสในอะไรทั้งสิ้นดังที่เด็กในวัยเดียวกันชอบทำ ต่อมาแกออกเดินต่อไปพร้อมกับแพะของแก

           " 'คอยเดี๋ยว' ผมพูด 'ฉันเหนื่อยและหิวมาก พาฉันไปหาพวกพ้องของเธอหน่อยสิ'
           " 'ผมไม่มีพี่น้อง' เด็กน้อยพูด นั่นทำให้ผมสะดุ้ง ผมไม่ทราบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่น้ำเสียงของแกทำให้ผมรีรอ เด็กคนนั้นเมื่อมองเห็นผมลังเลอยู่แกหยุดเดินแล้วหันมาทางผม 'ที่บ้านของผมไม่มีใครหรอก' แกบอก 'ลุงของผมตายจากไปนานแล้วและภรรยาของลุงก็ออกไปยังท้องทุ่ง มีอาหารอยู่ในบ้านมากมาย มากจริง ๆ นะ มากับผมสิ'
           "ผมรู้สึกค่อนข้างเศร้า เด็กคนนี้เป็นผีอีกเหมือนกัน น้ำเสียงและความกระตือรือร้นของแกเปิดเผยความจริงออกมา พวกผีอยู่กันแถว ๆ นี้เพื่อจับตัวผมเอาไว้แต่ผมไม่กลัวหรอก ผมยังรู้สึกทื่ออยู่หลังจากที่ได้ต่อสู้กับพันธมิตร ผมอยากจะบ้าเข้าใส่พันธมิตรและพวกผีเหล่านี้ แต่แม้ว่าอยากจะทำเช่นนั้นผมก็ไม่อาจโกรธเหมือนกับที่ผมเคยโกรธมาก่อน ดังนั้นผมจึงไม่พยายามที่จะโกรธ ต่อมาผมอยากจะรู้สึกเศร้าขึ้นมาเพราะผมก็เหมือนกับเด็กน้อยคนนั้น แต่ผมก็ไม่อาจเศร้าได้อีกเช่นกัน ผมจึงเลิกคิดที่จะเศร้า

           "ทันใดนั้นผมรู้ขึ้นมาว่าผมมีพันธมิตร พวกปิศาจเหล่านี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ผมเดินตามเด็กคนนั้นไปตามทางที่มุ่งลงข้างล่าง ผีปิศาจหลายตัวถลาเข้ามาใกล้และพยายามที่จะล่อให้ผมเดินไปตกหน้าผา แต่ความมุ่งมาดปรารถนาของผมนั้นแรงกว่าของพวกมัน ผีเหล่านั้นคงรู้สึกในข้อนี้ได้เพราะมันหยุดรบกวนผมในที่สุด ผีบางตัวกระโจนเข้าใส่ผมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผมหยุดมันไว้ด้วยความมุ่งมาดปรารถนาของผม ต่อมาพวกมันจึงเลิกรบกวนผมในที่สุด"


           ดอนเกนาโรนิ่งเงียบไปนาน ดอนฮวนมองมาทางผม
           "หลังจากนั้นอะไรเกิดขึ้นบ้างดอนเกนาโร" ผมถาม
           "ผมก็เดินต่อไปนะสิ" แกตอบตามที่เป็นจริง
           ดูเหมือนว่าแกเล่าเรื่องของแกจบลงไปแล้วและไม่มีอะไรจะเล่าเสริมอีก ผมถามแกว่า ทำไมการที่ผีมอบอาหารให้กับแกจึงเป็นเงื่อนงำที่บอกว่าพวกมันเป็นผี   ดอนเกนาโรไม่ตอบ
           ผมพยายามจะหยั่งให้ลึกเข้าไปและถามว่า ถือเป็นธรรมเนียมชาวอินเดียนแดงเผ่ามาซาเต็กหรือเปล่าที่จะปฏิเสธว่าไม่มีอาหาร หรือไม่ก็ใส่ใจในเรื่องของอาหารมากเป็นพิเศษ ดอนเกนาโรบอกว่า น้ำเสียงของพวกมัน ความกระตือรือร้นที่มันล่อให้แกไปหา และกิริยาท่าทางอย่างปิศาจเมื่อมันพูดถึงอาหาร เหล่านี้เปิดเผยถึงเงื่อนงำทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น แกรู้ได้เพราะพันธมิตรช่วยแก

           ดอนเกนาโรยืนยันว่า ลำพังแกคนเดียวคงไม่อาจสังเกตความแตกต่างเหล่านี้
           "ภูตผีปิศาจเหล่านี้เป็นพันธมิตรหรือเปล่าดอนเกนาโร" ผมถาม
           "ไม่ใช่หรอก พวกมันเป็นคน"
            "เป็นคนรึ ไหนคุณบอกว่าพวกมันเป็นผี"
           "ผมบอกว่าคนเหล่านั้นไม่จริงอีกต่อไป หลังจากที่ผมได้ต่อสู้กับพันธมิตรแล้ว ไม่มีอะไรจริงอีกต่อไป"

           เราเงียบกันไปนาน
           "อะไรที่เป็นผลอันเป็นที่สุด ของประสบการณ์นั้นของคุณ ดอนเกนาโร"
           "คุณพูดถึงผลสุดท้ายอย่างนั้นหรือ"
           "ผมหมายถึง คุณเดินทางไปถึงอิกซท์แลนเมื่อไรและไปได้อย่างไร"
           ทั้งสองหัวเราะออกมาทันที
           "ดังนั้น นั่นเป็นผลอันสุดท้ายสำหรับคุณ" ดอนฮวนกล่าวออกมา
           "ขอพูดอย่างนี้ก็แล้วกันว่า ไม่มีผลสุดท้ายในการเดินทางของเกนาโร จะไม่มีผลอันสุดท้ายได้เลย เกนาโรยังอยู่ในระหว่างการจาริกสู่อิซท์แลน!"

           ดอนเกนาโร ชำเลืองมาทางผมด้วยสายตาอันคมปลาบแล้วแกหันไปทางทิศใต้ไกลออกไป
           "ผมจะไม่มีวันถึงอิกซท์แลน" แกพูด เสียงของดอนเกนาโรอ่อนโยนแต่หนักแน่นเกือบจะเป็นการละเมอออกมา "กระนั้นก็ตามในความรู้สึกของผม........... บางคราวในความรู้สึกของผม ผมคิดว่าผมอยู่ห่างจากอิซท์แลนเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่ผมก็ไม่มีวันถึง ในการจาริกไปของผมนี้ ผมไม่พบแม้แต่ที่หมายหนึ่งใดที่ผมรู้จักคุ้นเคยมาก่อน ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป" ดอนฮวนและดอนเกนาโรมองดูกันและกัน มีสิ่งหนึ่งที่บ่งถึงความเศร้าในการมองนั้น
           "ในการจาริกสู่อิซท์แลนของผมนี้ ผมพบแต่นักเดินทางที่เป็นภูตผีปิศาจ" แกพูดค่อย ๆ

           ผมมองไปทางดอนฮวน ไม่เข้าใจในสิ่งที่ดอนเกนาโรพูด
           "ตามทางที่เกนาโรมุ่งไปสู่อิกซท์แลนนั้นแกพบแต่สิ่งที่ไม่จีรังเท่านั้น" ดอนฮวนอธิบาย "ยกตัวอย่างตัวคุณ คุณก็เป็นปิศาจ ความรู้สึก ความทะเยอทะยานอยากของคุณเป็นของคนธรรมดา นี่คือสิ่งที่เกนาโรพูดถึง เมื่อแกพบกับนักเดินทางที่เป็นปิศาจเท่านั้นตลอดกาลที่มุ่งสู่อิกซท์แลน"
           ผมจึงรู้ขึ้นมาทันทีนั้นว่า การเดินทางดอนเกนาโรเป็นเพียงนิทานเปรียบเท่านั้น
           "การเดินทางสู่อิกซท์แลนของคุณก็ไม่จริงนะสิ" ผมพูด
           "จริงสิ" ดอนเกนาโรพูดสอดขึ้นมา "แต่นักเดินทางทั้งหลายเหล่านั้นไม่จริง"
           แกผงกศีรษะไปทางดอนฮวนแล้วพูดเน้นว่า
           "นี่คือคนเดียวเท่านั้นที่ที่จริง โลกนี้จริงต่อเมื่อผมอยู่กับคนคนนี้เท่านั้น"
           ดอนฮวนยิ้ม

           "เกนาโรเล่าเรื่องของแกให้คุณฟัง" ดอนฮวนพูด "ก็เพราะว่าเมื่อวานนี้คุณ หยุดโลก ได้ เกนาโรคิดว่าคุณ เห็น แล้วด้วย แต่คุณช่างเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้จักมัน ผมบอกกับเกนาโรอยู่เสมอว่าคุณเป็นคนพิลึกดี และในไม่ช้าก็เร็วคุณจะ เห็น ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่ ในการพบกับพันธมิตรของคุณในครั้งต่อไป หากว่าจะมีครั้งต่อไปสำหรับคุณ คุณต้องปล้ำกับมันและทำให้มันเชื่องลง หากว่าคุณรอดชีวิตมาได้จากการตกอกตกใจ ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณจะรอดกลับมา เมื่อคุณเองก็แข็งแรงและมีชีวิตอย่างนักรบมาแล้ว คุณจะพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ในดินแดนอันไม่เป็นที่รู้จักมาก่อนเลย ต่อจากนั้น นับเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเราหมอผีทุกคน สิ่งแรกที่คุณอยากจะทำคือเดินทางกลับลอสแองเจอลิส แต่ไม่มีหนทางใดที่จะนำไปสู่ลอสแองเจอลิสได้เลย สิ่งที่คุณละไว้ที่นั่นจะถูกลืมตลอดไป แน่นอนตอนนั้นคุณจะเป็นหมอผี มันเลี่ยงไม่พ้นหรอก และในช่วงนั้น สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือความจริงที่ว่า ทุกสิ่งที่เรารัก ทุกสิ่งที่เราเกลียด หรือทุกสิ่งที่เรามุ่งปรารถนาจะถูกละไว้เบื้องหลัง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ความรู้สึกทั้งหลายในตัวมนุษย์จะไม่สูญหายหรือเปลี่ยนแปลงไป และหมอผีคนนั้นเดินทางกลับบ้านโดยรู้อยู่ว่าจะไม่มีวันไปถึงบ้าน และรู้ดีว่าไม่มีพลังใด ๆ ในโลกนี้แม้แต่ความตายของเขา ที่จะนำเอา สถานที่ หรือสิ่งของ หรือคนที่คุณรักมาให้คุณได้ นี่คือสิ่งที่เกนาโรบอกกับคุณ"

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
 คำอธิบายของดอนฮวนเป็นเหมือนกับสิ่งที่มากระตุ้น ความหมายทั้งหมดที่มีในเรื่องราวของดอนเกนาโรกระทบใจของผมทันทีที่ผมเทียบเคียงเรื่องดังกล่าวกับชีวิตของผม
           "แล้วผู้คนที่ผมรักล่ะ" ผมถามดอนฮวน "อะไรจะเกิดขึ้นกับคนเหล่านั้น"
           "พวกเขาจะถูกละไว้เบื้องหลัง" แกตอบ
           "ไม่มีทางที่ผมจะได้คนเหล่านั้นกลับมาเลยหรือ ผมจะช่วยเหลือหรือพาพวกเขาไปด้วยได้ไหม"
            "ไม่ได้หรอกพันธมิตรของคุณจะเหวี่ยงให้คุณเข้าสู่ดินแดนอันไม่เป็นที่รู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น"
           "แต่ผมกลับลอสแองเจอลิสได้ไม่ใช่หรือ ผมอาจขึ้นรถยนต์หรือนั่งเครื่องบินไปที่นั่น ลอสแองเจอลิสยังคงอยู่ที่เดิมใช่หรือเปล่า"
           "แน่นอน" ดอนฮวนตอบพลางหัวเราะออกมา
           "และเมืองแมนเตค่า เมือเตเมคูล่า และเมืองทุกสันก็ยังคงอยู่ที่เดิมด้วย"
           "และเมืองเตคาเต้ด้วยนะ" ดอนเกนาโรเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
           "และเมืองเปดราส เนกราสและเมืองแทรงควิตาสอีกด้วย" ดอนฮวนพูดพร้อมกับยิ้ม
           ดอนเกนาโรเอ่ยถึงชื่อเมืองอีกหลายชื่อ ดอนฮวนก็ทำอย่างเดียวกัน และทั้งสองยุ่งอยู่กับการจาระไนชื่อพิลึกกึกกือไม่น่าเชื่อว่าจะมีของเมืองน้อยใหญ่มากมาย

           "การหมุนติ้วไปกับพันธมิตรของคุณนั้นจะเปลี่ยนแนวคิดที่คุณมีต่อโลกนี้" ดอนฮวนบอก "ความคิดเป็นทุกสิ่งทุกอย่างและเมื่อความคิดเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยนไปด้วย"
           แกเตือนให้ผมระลึกถึงครั้งหนึ่งที่ผมอ่านบทกวีบทหนึ่งให้แกฟัง แกอยากจะให้ผมท่องบทกวีนั้นอีกครั้ง แกแนะคำบางคำให้และผมจำได้ว่าเคยอ่านบทกวีบางบทของ ฮวน รามอน จิแมแนส ให้ดอนฮวนฟัง บทที่ดอนฮวนกล่าวถึงมีชื่อว่า "การจาริกไปครั้งสุดท้าย"
           ผมท่องบทกวีบทนั้น


           "....และผมจะจากไป
แต่หมู่วิหคจะยังอยู่ที่นี่และส่งเสียงร้อง
และสวนของผมก็ยังอยู่ที่เดิม
มีต้นไม้สีเขียวและมีบ่อน้ำ
เวลาบ่ายมากมายนั้นท้องฟ้าจะมีสีคราม เรียบสงบ
ระฆังที่หอคอยจะส่งเสียงดังกังวาน
เหมือนกับที่มันดังก้องอยู่ในบ่ายวันนี้
ผู้คนที่รักจะตายจาก
และเมืองแห่งนี้จะขยายออกไปใหม่ทุกปี
แต่วิญญาณของผมจะเร่ร่อนไปด้วยความรู้สึกถวิลหา
ถึงมุมพิเศษมุมหนึ่งในสวนดอกไม้ของผม"



           "นั่นเป็นความรู้สึกที่เกนาโรพูดถึง" ดอนฮวนพูด "การที่จะเป็นหมอผีได้นั้นคุณต้องดื่มด่ำอย่างล้ำลึกในสิ่งต่าง ๆ คนที่หลงใหลอย่างดูดดื่มเช่นนี้ย่อมมีสิ่งอันเป็นที่รัก และทรัพย์สมบัติอย่างโลก ๆ หรือถ้าไม่มีอะไรอื่นเลย ก็จะมีเพียงทางที่เขาเดินอยู่
           "สิ่งที่เกนาโรบอกในนิยายของแก สรุปแล้วคือ เกนาโรละความดื่มด่ำผูกพันของแกไว้ที่อิกซท์แลน แกละบ้าน ละคนที่แกรัก และละทุกสิ่งทุกอย่างที่แกใส่ใจระวังรักษา และขณะนี้แกเร่ร่อนไปในความรู้สึกต่าง ๆ ดังที่แกบอกไว้ บางครั้งแกเกือบจะไปถึงอิกซท์แลน เราทุกคนมีสิ่งนี้เหมือนกัน แต่สำหรับเกนาโรมันคืออิกซท์แลน ส่วนคุณเป็นลอสแองเจอลิส ส่วนผม..."

           ผมไม่อยากให้ดอนฮวนบอกถึงเรื่องของแก แกหยุดพูดราวกับว่าแกอ่านความคิดของผมออก
           ดอนเกนาโรถอนหายใจแล้วกล่าวถอดความในบรรทัดแรกของบทกวีที่ผมท่อง
           "ผมจากที่นั่นมาแล้ว
            แต่หมู่นกยังคงอยู่ กำลังส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว......."

           ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงคลื่นแห่งความปวดร้าวและอ้างว้าง อันไม่อาจกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำได้จู่เข้ามาโอบล้อมเราทั้งสามไว้ ผมมองไปยังดอนเกนาโรและทราบดีว่า เนื่องจากที่เป็นคนดื่มด่ำผูกพันกับทุกสิ่งทุกอย่าง แกต้องมีสายโยงใยร้อยรัดใจของแกอยู่มากมาย มีหลายสิ่งที่แกใส่ใจรักใคร่และหลายสิ่งที่แกละไว้เบื้องหลัง ผมรู้สึกชัดขึ้นมาว่า ขณะนั้นพลังแห่งความทรงจำของดอนเกนาโรกำลังจะพรั่งพรูออกมาและแกเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว ผมรีบถอนสายตาไปทางอื่น

           ความเป็นผู้ดื่มด่ำผูกพันอยู่กับทุกสิ่ง และความอ้างว้างอย่างมากมายของดอนเกนาโรทำให้ผมร้องไห้ ผมมองดูดอนฮวน แกกำลังจ้องดูผมอยู่
           "การมีชีวิตอย่างนักรบเท่านั้น จึงจะรอดตายจากวิถีแห่งความรอบรู้ได้" แกพูด "เพราะว่าศิลปะของนักรบคือ การทำให้สมดุลย์ระหว่างความน่าสยดสยองในความเป็นคน กับความน่าพิศวงในความเป็นมนุษย์"


           ผมมองดูพวกเขาทีละคน นัยน์ตาของพวกเขาแจ่มใสและสงบ ทั้งสองเรียกเอาคลื่นแห่งความถวิลหาอันรุนแรงนั้นกลับเข้ามา
           และขณะที่เกือบจะพรั่งพรูน้ำตาร้องไห้ฟูมฟายออกมานั้น พวกเขากลับดึงเอาคลื่นที่โถมทับเข้ามานั้นกลับคืนเสีย ชั่วแวบหนึ่งที่ผมคิดว่าผม เห็น
          ผมเห็นความโดดเดี่ยวอ้างว้างของมนุษย์เหมือนกับคลื่นลูกมหึมาซึ่งจับตัวแข็งอยู่เบื้องหน้าของผม ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงแห่งอุปมาอุปมัยที่มองไม่เห็น ความเศร้าเต็มตื้นขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกปริ่ม ๆ ผมโอบกอดทั้งสองคนนั้น ดอนเกนาโรยิ้มแล้วลุกยืนขึ้น ดอนฮวนยืนขึ้นด้วย แล้ววางมือลงบนบ่าของผม

           "เราจะปล่อยคุณไว้ที่นี่" แกบอก "จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่าเหมาะสม พันธมิตรของคุณจะคอยคุณอยู่ตรงขอบที่ราบแห่งนี้"
           แกชี้ไปยับหุบเขาที่มืดสลัวไกลออกไป
           "ถ้าคุณรู้สึกว่าคราวนี้ยังไม่ถึงเวลา ก็อย่าไปพบกับเขา" ดอนฮวนพูดต่อ
           "ไม่มีผลเกิดขึ้นจากการบังคับให้ตัวเองทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าคุณอยากจะมีชีวิตรอดมาให้ได้ คุณต้องชัดแจ๋วเหมือนกับผลึกแก้ว และมั่นใจในตัวเองอย่างมหันต์"
           ดอนฮวนเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองดูผมอีก แต่ดอนเกนาโรหันกลับมาดูสองครั้งพร้อมกับกระตุ้นผมด้วยการขยิบตาและผงกหัวให้มุ่งไปข้างหน้า


           ผมมองดูจนทั้งสองลับตัวไป
           ต่อจากนั้นผมเดินกลับมาที่รถแล้วขับหนีไป
           ผมทราบว่า เวลาของผมยังไม่มาถึง


--------------------------------------------------------------------------------



El VIAJE DEFINITIVO

....Y yo me iré. Y se quedarán los pájaros cantando;
y se quedará mi huerto, con su verde árbol,
y con su pozo blanco.

Todas la tardes, el cielo será azul y plácido;
y tocarán, como esta tarde están tocando,
las campanas del campanario.

Se morirán aquellos que me amaron;
y el pueblo se hará nuevo cada año;
y en el rincón aquel de mi huerto florido y encalado.
mi espiritu errará, nostálgico…

Y yo me iré; y estaré solo, sin hogar, sin árbol
verde, sin pozo blanco,
sin cielo azul y plácido…
Y se quedarán los pájaros cantando.

     
Juan Ramón Jiménez       


 http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html




" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...