ผู้เขียน หัวข้อ: หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๑๙. หยุดโลก  (อ่าน 2489 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



๑๙. หยุดโลก



            เช้าของวันต่อมาในทันทีที่ผมตื่นขึ้นผมเริ่มถามปัญหาต่างๆกับดอนฮวน แกกำลังตัดไม้ฟืนอยู่หลังบ้าน ส่วนดอนเกนาโรไม่ทราบว่าไปไหน ดอนฮวนบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ผมชี้ให้แกเห็นว่า ผมประสบผลสำเร็จในการอยู่เฉยๆ และเฝ้าดู "การว่ายน้ำบนพื้น" ของดอนเกนาโรโดยไม่อยากหรือปรารถนาในคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น แต่การควบคุมตัวเองเช่นนั้นไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อรถหายไป ผมกลับหมกมุ่นกับการแสวงหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลขึ้นมาอีกโดยอัตโนมัติ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจอีกเช่นกัน
           ผมบอกกับดอนฮวนว่า การยืนกรานในอันที่จะพบกับคำอธิบายในเรื่องต่างๆ ของผมนั้น หาใช่สิ่งที่ผมหาอุบายบ่ายเบี่ยงโดยปราศจากเหตุผลเพียงเพื่อจะทำให้ยุ่งยากขึ้นมา แต่มันเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในตัวของผม ซึ่งมีอำนาจเหนือสิ่งที่น่าจะเลือกกระทำอย่างอื่นทั้งหมด
            "มันเหมือนกับเชื้อโรค" ผมบอก
           "ไม่มีเชื้อโรคอะไรหรอก" ดอนฮวนพูดอย่างสงบ "มีเพียงการปล่อยตามใจตัวเองเท่านั้น และคุณปล่อยตัวเองให้กับความพยายามที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง คำอธิบายจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วในกรณีของคุณ"

           ผมยืนกรานว่า ผมจะทำสิ่งต่างๆ ได้ก็ต่อเมื่อตกอยู่ในสภาวะของความเป็นระเบียบและมีความเข้าใจเท่านั้น ผมเตือนให้แกระลึกขึ้นมาถึงการเปลี่ยนแปลงบุคลิกของผมชนิดที่น่าใจหายใจคว่ำในช่วงที่เราเกี่ยวข้องกัน และเงื่อนไขที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้ ก็เนื่องจากการที่ผมสามารถบอกกับตัวเหตุผลต่าง ๆ ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปทำไม
           ดอนฮวนหัวเราะออกมาเบา ๆ และไม่พูดอะไรเลยอยู่นาน

           "คุณเป็นคนฉลาดมาก" แกกล่าวออกมาในที่สุด "คุณย้อนกลับไปสู่จุดที่คุณตั้งต้นได้เสมอไป แต่คราวนี้คุณจบเห่แน ่ๆ ไม่มีที่ที่คุณจะย้อนกลับไปอีกแล้ว ไม่ว่าเกนาโรจะทำอะไรกับคุณเมื่อวานนี้ แกทำกับร่างกายของคุณ ดังนั้นให้ร่างกายของคุณตัดสินว่าอะไรเป็นอะไร"
           น้ำเสียงที่ดอนฮวนพูดนั้นเป็นกันเอง แต่ไม่มีลักษณะผูกพันน่าประหลาดที่สุด และนั่นทำให้ผมรู้สึกเหงามาก ผมบอกถึงความเศร้าที่เกิดขึ้น ดอนฮวนหัวเราะ แกฉวยข้อมือของผมไว้แน่น
           "เราทั้งสองคือสัตว์โลกที่กำลังจะตาย" แกพูดค่อยๆ "ไม่มีเวลาสำหรับสิ่งที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้คุณต้องใช้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับ การไม่-กระทำ ที่ผมเคยสอนคุณ และ หยุดโลก เสีย"

           ดอนฮวนฉวยข้อมือของผมไว้อีก สัมผัสของแกแน่นแฟ้นและเป็นกันเอง มันเหมือนกับคำมั่นที่ว่า แกใส่ใจและมีความรักในตัวผม และในขณะเดียวกันนั้นสัมผัสดังกล่าวทำให้ผมรู้ถึงจุดมุ่งหมายประการหนึ่งที่มั่นคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
           "นี่เป็นท่าแนะของผมสำหรับคุณ" แกพูดพลางบีบข้อมือของผมแน่นแฟ้นชั่วขณะหนึ่ง "ตอนนี้คุณต้องเดินทางโดยลำพังคนเดียวสู่ขุนเขาอันเป็นเสมือนมิตรเหล่านั้น"
           แกไหวลูกคางชี้ไปยังเทือกเขาไกลออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แกบอกว่า ผมต้องอยู่ที่นั่นจนกว่าร่างกายของผมจะบอกให้กลับแล้วจึงเดินทางกลับมายังบ้านของแก แกทำท่าให้ผมรู้ว่าไม่ต้องการจะพูดอะไรอีกต่อไปหรือให้รอนานกว่านี้ แกผลักผมเบา ๆ ไปยังทิศที่รถของผมจอดอยู่
           "ผมน่าจะทำอะไรบ้างที่นั่น" ผมถาม
           ดอนฮวนไม่ตอบ แต่มองมาแล้วสั่นศีรษะ
           "เรื่องนี้พอกันที" แกพูดออกมาในที่สุดแล้วแกชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ "ไปที่นั่น" แกพูดตัดปัญหา

           ผมขับรถไปตามทางทิศใต้แล้ววกไปทางทิศตะวันออกตามถนนที่เคยร่วมเดินทางกับดอนฮวนบ่อย ๆ ผมจอดรถไว้แถวบริเวณสุดโรยกรวดแล้วออกเดินไปตามทางเดินที่เคยเดินมาแล้ว จนกระทั่งถึงที่ราบสูง ผมคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรที่นั่น ผมเดินลดเลี้ยวไปมาเพื่อมองหาที่พัก ทันใดนั้นผมสัมผัสกับบริเวณเล็ก ๆ ที่อยู่ทางซ้ายมือ ดูเหมือนว่าส่วนประกอบของดินในที่ตรงนั้นแตกต่างจากที่อื่น ๆ แต่เมื่อผมเพ่งดูจัง ๆ ก็ไม่มีอะไรปรากฏออกมาทำให้แตกต่างจากบริเวณอื่น ผมยืนห่างจากที่ตรงนั้นไม่กี่ฟุต และพยายามที่จะ "ทำความรู้สึก" อย่างที่ดอนฮวนเคยบอก

           ผมยืนนิ่งอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง ความคิดของผมลดน้อยลงไปตามลำดับจนกระทั่งผมไม่คุยจ้อกับตัวเองอีกต่อไป ต่อมาผมรู้สึกหงุดหงิด ความรู้สึกชนิดนี้ดูจะมีขอบเขตในบริเวณท้อง และมันรู้สึกชัดขึ้นเมื่อผมหันไปทางบริเวณดังกล่าว ผมถูกมันผลักไสและบีบบับคับให้เดินจากไป ผมเริ่มกวาดตาดูบริเวณโดยรอบด้วยการหรี่ตา และเมื่อเดินมาได้ครู่หนึ่งก็พบหินแบนก้อนโต ผมหยุดยืนหน้าหินก้อนนี้ มันไม่มีลักษณะที่เด่นเป็นพิเศษที่จะทำให้ผมชอบขึ้นมาได้ ผมไม่เห็นสีที่ต่างออกไปหรือเป็นแสงที่ปรากฏออกมาจากหินก้อนนี้ แต่ก็ชอบมัน ร่างกายของผมรู้สึกสบายดี ผมรู้สึกอบอุ่นทางกาย และนั่งลงตรงนั้นครู่หนึ่ง
           ผมเดินลดเลี้ยวต่อไปตามที่ราบสูงนั้นและตามเทือกเขาที่อยู่โดยรอบตลอดทั้งวันโดยไม่ทราบว่าจะทำอะไรหรือหวังในสิ่งใด ผมกลับมายังหินแบนก้อนนั้นเมื่อใกล้ค่ำ ผมรู้ว่าถ้าหากผมนอนที่นั่นผมจะปลอดภัย

           วันต่อมาผมเสี่ยงเดินเข้าไปทางทิศตะวันออกสู่เทือกเขาสูงในแถบนั้น เมื่อเวลาบ่ายคล้อยผมมาถึงที่ราบสูงมากแห่งหนึ่ง ผมคิดว่าเคยมาที่นี่มาก่อน ผมมองไปรอบๆ เพื่อปรับทิศทางแต่ผมก็จำยอดเขาที่อยู่รอบ ๆ ไม่ได้ และหลังจากที่ได้เลือกที่พักอย่างระมัดระวัง ผมนั่งลงตรงขอบของลานหินโล่งแห่งหนึ่ง ที่ตรงนั้นทำให้ผมอบอุ่นและสงบ ผมพยายามที่จะเทอาหารออกมาจากลูกน้ำเต้า แต่อาหารหมดเกลี้ยงไปแล้ว ผมดื่มน้ำเล็กน้อยน้ำนั้นอุ่นและมีกลิ่นอับ ผมคิดว่าไม่มีอะไรที่จะทำอีกนอกเสียจากกลับไปยังบ้านของดอนฮวน และเริ่มเกิดสงสัยขึ้นมาว่าจะกลับในตอนนี้เลยจะดีหรือไม่
           ผมนอนตะแคงลงไป เอาหัววางไว้บนแขน ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายนักและเปลี่ยนท่าอยู่หลายครั้งจนผมหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปมากแล้ว ดวงตาของผมเหนื่อยอ่อน ผมมองลงไปที่พื้นและเห็นแมลงปีกแข็งสีดำตัวโตตัวหนึ่ง มันเดินออกมาหลังหินก้อนเล็ก ๆ พร้อมกับดันก้อนมูลสัตว์กลมๆ ใหญ่กว่าตัวของมันถึงสองเท่า ผมมองดูการเคลื่อนไหวของมันอยู่นาน
           แมลงตัวนั้นก็ดูจะไม่สนใจในการที่ผมอยู่ที่นั่น และคงดันก้อนกลมๆ นั้นข้ามก้อนหินรากไม้ หลุมและโหนกดินไปเรื่อย ๆ ผมคิดว่า แมลงตัวนี้ไม่รู้สึกเลยว่าผมอยู่ที่นั่น ความคิดเกิดขึ้นมาอีกว่าบางทีผมก็ไม่อาจจะแน่ใจได้หรอกว่ามันจะไม่รู้ว่าผมอยู่ที่นี่ ความคิดผุดขึ้นอย่างมากมายเกี่ยวกับการให้ค่าสิ่งต่างๆ โดยทั่วไปในโลกของแมลงซึ่งแตกต่างตรงกันข้ามกับการให้ค่าอย่างของผม แมลงปีกแข็งตัวนี้และผมเองอยู่ในโลกลูกเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าโลกลูกนี้แตกต่างกันมากสำหรับเราทั้งสอง ผมดื่มด่ำอยู่กับการเฝ้าดูแมลงตัวนี้ และรู้สึกอัศจรรย์ใจในเรี่ยวแรงมหาศาลที่มันยกน้ำหนักมากมายข้ามก้อนหินและลงไปตามรอยแยก

           ผมสังเกตแมลงตัวนั้นอยู่นาน และทันใดนั้นผมรู้สึกในความเงียบรอบ ๆ ตัว มีเพียงเสียงลมเท่านั้นที่พัดซู่ไปตามกิ่งและใบของต้นไม้ในป่าละเมาะ ผมเงยหน้าขึ้นและหันไปทางซ้ายในทันทีโดยไม่ตั้งใจก็เห็นเงาจาง ๆ หรืออะไรบางอย่างแวบหนึ่งบนก้อนหินที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต แรกทีเดียวผมไม่สนใจกับมันเลย แต่ต่อมาผมรู้ว่าการไหวตัวแวบหนึ่งที่เห็นนั้นเกิดขึ้นทางซ้ายมือของผม ผมหันไปดูอย่างรวดเร็วอีกครั้งและเห็นชัดว่ามีเงาเงาหนึ่งอยู่บนก้อนหิน ผมรู้สึกขนลุกขนพองที่เห็นว่าในทันใดนั้นเงาชนิดนั้นเลื่อนลงมาที่พื้นดิน และแผ่นดินดูดซับเอามันเข้าไปเหมือนกับกระดาษซับดูดเอาหมึกเข้าไปฉะนั้น ความเย็นเยียบชนิดหนึ่งแล่นผ่านไปตามกระดูกสันหลังของผม ความคิดผุดขึ้นมาว่า ความตายกำลังเฝ้าดูผมและแมลงปีกแข็งตัวนั้นอยู่

           ผมมองหาแมลงตัวนั้น แต่ผมก็หามันไม่พบ ผมคิดว่ามันคงไปถึงที่หมายของมันแล้ว และมันได้กลิ้งก้อนมูลสัตว์ลงไปในรูบนผืนดินเรียบร้อยแล้ว ผมแนบหน้าลงบนแผ่นหินที่ราบเรียบนั้น
           เจ้าแมลงปีกแข็งโผล่ขึ้นมาจากรูลึก และหยุดอยู่เบื้องหน้าของผมห่างออกไปประมาณ ๒-๓ นิ้ว ดูเหมือนมันจะมองมาทางผมและขณะนั้นเองที่ผมรู้สึกว่ามันรู้ถึงการปรากฏตัวของผมด้วย บางทีคงจะรู้เหมือนกับที่ผมรู้ถึงการปรากฏตัวของความตายของผม ผมตัวสั่นขึ้นมา แมลงปีกแข็งตัวนี้และตัวผมไม่มีความแตกต่างกันเลย ความตายซึ่งเหมือนกับเงากำลังตามล่าเราอยู่เบื้องหลังก้อนหินใหญ่ก้อนนั้น ผมรู้สึกเปี่ยมไปด้วยปีติชั่วขณะหนึ่ง แมลงปีกแข็งตัวนี้และตัวผมมีความเท่าเทียมกัน เราไม่ได้ดีกว่ากันและกันเลย ความตายของเราทำให้เราเท่าเทียมกัน

           ความปลื้มใจและปีติปราโมทย์เต็มตื้นขึ้นมาในใจของผมจนทำให้ผมร้องไห้ออกมา ดอนฮวนพูดถูกแล้ว แกพูดถูกเสมอไปแหละ ผมอยู่ในโลกที่ลึกลับ และเหมือนกับคนทุกคน ผมเองก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความลึกลับที่สุด แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นผมก็ไม่มีความสำคัญมากกว่าแมลงปีกแข็งตัวหนึ่ง ผมเอามือมาเช็ดลูกตา และในขณะที่ผมเอาหลังมือถูกลูกตาอยู่นั้นผมมองเห็นชายคนหนึ่ง หรือคงเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งมีรูปร่างเหมือนกับผู้ชาย มันปรากฏตัวห่างออกไปประมาณ ๕๐ หลาทางด้านขวามือของผม
           ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วเพ่งดู ดวงอาทิตย์เกือบจรดขอบฟ้าและเรืองแสงสีทองของมันทำให้ผมมองเห็นไม่ชัด ผมได้ยินเสียงครางกระหึ่มประหลาดมากดังอยู่ชั่วครู่ มันเหมือนกับเสียงเครื่องบินไอพ่นที่อยู่ในระยะไกล ขณะที่ผมเงี่ยหูลงฟังนั้น เสียงดังกระหึ่มดังเป็นเสียงวี้ดแหลมเหมือนกับโลหะเสียดสีกันอยู่เป็นเวลานาน ต่อมามันดังค่อยลงเป็นเสียงไพเราะอ่อนหวานน่าจับใจ เสียงหวานระรื่นนั้นเหมือนกับการสั่นของเครื่องเสียงไฟฟ้า ผมมองเห็นภาพบริเวณที่มีประจุไฟฟ้าสองแห่งเลื่อนเข้ามาหากัน หรือวัตถุไฟฟ้าที่เป็นแท่งสี่เหลี่ยมตันสองอันกำลังเสียดสีกันอยู่ ต่อมาเมื่อถูกกดให้หยุดด้วยนิ้วหัวแม่มือแท่งทั้งสองนั้นก่ายกันอยู่ในระดับเดียวกัน
           ผมเพ่งดูอีกให้ชัดขึ้นว่ามีคนคนหนึ่งซ่อนอยู่ที่นั่นหรือไม่ แต่ผมเห็นเพียงเงาดำทาบอยู่กับพุ่มไม้ ผมเอามือมาป้องลูกตา และแสงจ้าของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปในทันที ผมจึงทราบว่าสิ่งที่ผมเห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นเงาและการไหวไปมาของใบไม้เท่านั้นเอง

            ผมเบนสายตาออกจากที่ตรงนั้น และมองเห็นหมาป่าไคโยติกำลังวิ่งตัดทุ่งหญ้ามาช้า ๆ หมาไคโยติอยู่แถวจุดที่ผมคิดว่ามองเห็นผู้ชายคนนั้น มันวิ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๕๐ หลาทางด้านทิศใต้ ต่อมามันหยุดวิ่ง เลี้ยวตัวและเดินมายังผม ผมตะโกนไล่มันไปสองครั้ง แต่มันยังคงเดินเข้ามา
           ผมรู้สึกกลัวขึ้นมา ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นหมาบ้าก็ได้ และใคร่ครวญถึงว่าจะเก็บเอาก้อนหินมาไว้เพื่อป้องกันตัวเมื่อถูกจู่โจม แต่เมื่อหมาไคโยติอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐-๑๕ ฟุตผมก็เห็นว่ามันไม่มีลักษณะลุกลนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันดูสงบและไม่น่าหวาดกลัว มันเดินช้าลงและมาหยุดห่างจากผมสี่หรือห้าฟุตเท่านั้น เรามองดูกันและกัน มันขยับเข้ามาใกล้อีก

           นัยน์ตาสีน้ำตาลของมันสดใสและแสดงความเป็นเพื่อน ผมนั่งลงบนก้อนหินและหมาป่าไคโยติยืนอยู่ชิดกับผม ผมพูดไม่ออก ผมไม่เคยเห็นหมาป่าไคโยติใกล้ขนาดนี้มาก่อนและสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในขณะนั้นคือ พูดกับมัน ผมกล่าวออกมาเหมือนดังว่าพูดกับสุนัขเลี้ยง และต่อมาผมคิดว่าหมาป่าไคโยติ "พูด" ตอบผม ผมมั่นใจว่ามันพูดกับผมจริงๆ
           ผมรู้สึกสับสนแต่ผมก็ไม่มีเวลาที่จะมาพิจารณาถึงความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะมัน "พูด" ขึ้นมาอีก มันไม่ใช่การที่สัตว์ออกเสียงพูดอะไรออกมาในลักษณะที่ผมคุ้นอยู่กับการออกเสียงพูดของมนุษย์ มันน่าจะเป็น "ความรู้สึก" ว่ามันกำลังพูดอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่เรามีต่อสัตว์เลี้ยงขณะที่เราสัมพันธ์กับมันอีกด้วย หมาป่าไคโยติพูดออกมาจริงๆ มันถ่ายทอดความคิด และการสื่อความหมายนั้นออกมาในลักษณะคล้ายคลึงกับรูปประโยค
           ผมถามว่า "สบายดีหรือ หมาป่าน้อย" และผมคิดว่ามันตอบ
           "ผมสบายดี แล้วคุณล่ะครับ" หมาป่าไคโยติพูดประโยคนั้นซ้ำขึ้นมาอีกทำให้ผมผลุดลุกขึ้นมาทันที สัตว์ป่าตัวนั้นไม่ไหวตัวแม้แต่น้อย มันไม่สะดุ้งเอาเลยเมื่อผมลุกขึ้นอย่างกะทันหัน

           นัยน์ตาของมันส่อแววเป็นกันเองและสดใส มันหมอบลงแล้วเงยหน้าขึ้นมาพลางถามขึ้นมาว่า "ทำไมคุณถึงกลัวล่ะ" ผมนั่งลงเบื้องหน้าของมัน และส่งภาษาชนิดที่พิลึกพิลั่นที่สุดเท่าที่ผมเคยพูดคุยมา ในที่สุดมันถามว่าผมมาที่นี่ทำไม ผมตอบว่าผมมาที่นี่เพื่อ "หยุดโลก" มันตอบว่า "Que bueno" และคำตอบนั้นทำให้ผมทราบว่าหมาป่าตัวนี้พูดได้สองภาษา มันใช้คำนามและกิริยาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ใช้คำสันธานและคำอุทานเป็นภาษาเสปน
           ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่าผมอยู่กับหมาป่าไคโยติที่เป็นชิคาโน ผมหัวเราะให้กับเรื่องตลกบ้า ๆ ทั้งหมดนี้ และผมหัวเราะอย่างหนักแทบจะชักลงไปทีเดียว ต่อมาน้ำหนักของความเป็นไปไม่ได้ในเรื่องทั้งหมดนี้โถมทับเข้ามาและจิตของผมเริ่มซัดส่าย
           หมาป่าไคโยติลุกขึ้น และนัยน์ตาของเราประสานกัน ผมจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของมัน ผมรู้สึกว่าดวงตาของมันดึงผมเข้าไป และทันใดนั้นสัตว์ป่าที่อยู่เบื้องหน้าของผมก็สุกปลั่งรุ่งเรืองขึ้น มันเหมือนกับว่าจิตของผมย้อนกลับไปเล่นอยู่กับความจำของเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ในคราวนั้นเมื่อเสพสมุนไพรเปโยติเข้าไปแล้วผมเห็นสุนัขธรรมดาแปรรูปไปเป็นสัตว์ที่มีร่างเรื่อเรืองชนิดที่ผมจะลืมไม่ได้เลย ราวกับว่าหมาป่าไคโยติตัวนี้กระตุ้นให้จำได้ถึงความหลังในครั้งนั้น และความทรงจำในอุบัติการณ์ที่ผ่านมาแล้วนั้นถูกเรียกกลับมาอีกและทาบทับลงไปกับร่างของหมาป่าไคโยติตัวนี้ มันเป็นชีวิตที่เลื่อนไหล เป็นของเหลวและรุ่งเรือง ร่างที่เรืองรองของมันทำให้แสบตา ผมอยากเอามือมาปิดที่หน้าเพื่อป้องแสงชนิดนั้น แต่ผมขยับไม่ได้เลย ชีวิตที่รุ่งเรืองนั้นสัมผัสเข้ากับส่วนหนึ่งซึ่งไม่อาจหยั่งรู้ในร่างกายของผม และร่างกายของผมสัมผัสกับความอบอุ่นและความสบายอันมหัศจรรย์ยิ่งนั้นจนรู้สึกเหมือนกับว่า สัมผัสอันนั้นจะทำให้ผมระเบิด ผมตัวแข็งทื่อ และไม่รู้สึกที่เท้า ขา หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แต่แม้จะรู้สึกเช่นนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่มาทำให้ผมนั่งตัวตรงอยู่ได้

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๑๙. หยุดโลก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 09:21:32 pm »
 ผมไม่รู้ว่านั่งอยู่ในท่านั้นนานเท่าใด ในขณะเช่นนั้นหมาป่าไคโยติที่เรืองรองและเนินเขาที่ผมยืนอยู่ละลายหายไป ผมไม่มีความนึกคิด ไม่มีความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกวาดออกไปและผมล่องลอยไปอย่างมีอิสระ
           ทันใดนั้นผมรู้สึกว่าสิ่งหนึ่งกระทบเข้ากับร่างของผม และสิ่งหนึ่งที่โอบล้อมเข้ามาจุดให้มันเรื่อเรืองขึ้น ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าดวงอาทิตย์ฉายแสงลงมายังร่างของผม ผมมองเห็นเทือกเขาทางทิศตะวันตกอย่างลางเลือนดวงอาทิตย์อยู่จรดขอบฟ้า ผมมองตรงเข้าไป และ ผมมองเห็น "เส้นใยของโลก" ผมรู้สึกได้จริงๆ ถึงเส้นสีขาวเรื่อเรืองพิเศษที่สุดยอดประสานโยงใยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ในขณะหนึ่งนั้นผมคิดว่าผมรู้สึกถึงแสงแดดหักเหผ่านขนตาของผมเข้ามา ผมกระพริบตาแล้วมองออกไป เส้นใยเหล่านั้นยังมีอยู่เหมือนเดิมและทาบทับลงไป หรือพุ่งออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ ผมหันไปโดยรอบเพื่อตรวจดูโลกชนิดใหม่อันแสนจะมหัศจรรย์ เส้นใยเหล่านั้นมองเห็นได้และคงที่แม้ว่าผมหันไปยังทิศตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์

           ผมอยู่บนยอดเนินแห่งนั้นในสภาวะที่ดื่มด่ำ เพราะสิ่งที่ปรากฏนั้นดูจะปราศจากกาล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งบางทีคงนานเท่ากับช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ฉายลำแสงสุดท้ายก่อนที่จะลับขอบฟ้าลงไปเท่านั้นกระมัง
           แต่สำหรับผมมันดูจะเป็นเวลาอันไม่สิ้นสุด ผมรู้สึกในบางสิ่งที่อบอุ่นและปลอบประโลมเอิบอาบออกมาจากโลกและร่างกายของผม ผมรู้ว่าผมพบกับความลับแล้ว มันง่ายนิดเดียว ผมประสบกับกระแสของความรู้สึกมากมายที่ไม่รู้จักถาโถมเข้ามา ไม่เคยมีคราวใดในชีวิตของผมที่ได้พบกับความปลาบปลื้มอันมหัศจรรย์ พบกับความสงบสันติ พบกับความเข้าใจอันเป็นทั้งหมดเช่นนี้ และแม้จะรู้สึกเช่นนั้นผมก็ไม่สามารถบรรยายความลึกลับที่พบนี้ให้เป็นคำพูดได้เลย ไม่สามารถแม้จะนำมาคิด แต่ร่างกายของผมรู้จักมันดี

           ต่อมาผมคงหลับไป หรือไม่ก็เป็นลมหมดสติไป เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งนั้น ผมนอนอยู่บนก้อนหิน ผมยืนขึ้น โลกก็ยังเป็นโลกที่ผมเคยเห็น เวลาใกล้จะมืดแล้วและผมเดินกลับมายังรถเหมือนกับว่าเป็นเครื่องจักร


           เมื่อผมกลับมาถึงในเช้าของวันต่อมา ดอนฮวนอยู่ในบ้านคนเดียว ผมถามถึงดอนเกนาโร ดอนฮวนบอกว่าแกไปทำธุระบางอย่างแถวนั้นเอง ผมเล่าถึงประสบการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นกับผมให้ดอนฮวนฟังในทันที
           "คุณ หยุดโลก ได้เท่านั้นเอง" แกให้ข้อสังเกตเมื่อผมเล่า เราเงียบกันไปชั่วครู่

           ต่อมาดอนฮวนบอกว่าผมน่าจะขอบคุณดอนเกนาโรที่ได้ช่วยเหลือผม ดอนฮวนดูจะพออกพอใจผมเป็นพิเศษ แกตบหลังของผมครั้งแล้วครั้งเล่าและหัวเราะคัก ๆ ออกมา
           "แต่นึกไม่ถึงเลยว่าหมาป่าไคโยติจะพูดได้" ผมพูด
           "มันไม่ได้พูด" ดอนฮวนบอก
           "ถ้าอย่างนั้นมันทำอะไรล่ะ"
           "ร่างกายของคุณเข้าใจเป็นครั้งแรก แต่คุณสังเกตพลาดไปในข้อที่ว่ามันไม่ใช่หมาป่าไคโยติหรอก ถ้าจะพูดไป และมันไม่ใช่การพูดคุยในลักษณะเดียวกับที่คุณพูดกับผมอย่างแน่นอน"
           "แต่หมาป่าตัวนั้นพูดจริง ๆ นี่นาดอนฮวน!"
           "เอาละตอนนี้ขอให้ดูว่าใครล่ะ ที่กำลังพูดเหมือนคนบ้าบัดซบ จากการที่ได้เรียนรู้มามากมายหลายปี คุณก็น่าจะรู้มากขึ้นเมื่อวานนี้คุณได้ หยุดโลก และคุณอาจจะ เห็น แล้วด้วย ชีวิตที่มหัศจรรย์นั้นบอกบางสิ่งกับคุณ และร่างกายของคุณสามารถเข้าใจในสิ่งนั้นได้เพราะโลกได้แตกทำลายลง"

           "โลกก็เหมือนกับที่มันเป็นอยู่เดี๋ยวนี้นั่นแหละดอนฮวน"
           "ไม่หรอก มันไม่เหมือนกันเลย วันนี้พวกหมาป่าไคโยติไม่มาบอกอะไรกับคุณและคุณไม่สามารถ มองเห็น เส้นใยของโลก แต่เมื่อวานนี้คุณทำสิ่งเหล่านั้นได้เพียงเพราะว่าบางสิ่งในตัวของคุณหยุดลง"
           "อะไรล่ะในตัวของผมที่หยุดลง"
           "สิ่งที่หยุดลงในตัวของคุณเมื่อวานนี้คือ สิ่งที่ผู้คนบอกกับคุณว่าโลกนี้เป็นเช่นไร คุณพอมองเห็นหรือยังว่าผู้คนบอกกับเราว่าโลกเป็นเช่นนั้นเช่นนี้นับตั้งแต่วันที่เราเกิด และเป็นธรรมดาอยู่เองที่เราไม่มีทางเลือกเลยนอกจากจะเห็นโลกในลักษณะเดียวกันกับที่ผู้อื่นบอกเราไว้"
           เรามองดูกันและกัน

           "เมื่อวานนี้ โลกเป็นดังที่หมอผีทั้งหลายบอกกับคุณว่าเป็นเช่นไร" ดอนฮวนพูดต่อ "ในโลกชนิดนั้น หมาป่าไคโยติพูดได้ งูกะปะ ต้นไม้และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็พูดได้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่ผมต้องการให้คุณได้เรียนรู้คือ การเห็น บางทีในตอนนี้คุณทราบแล้วว่า การเห็น เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณด้องมองเข้าไปในทั้งสองโลก คือ โลกของคนธรรมดาและโลกของหมอผี ตอนนี้คุณพรวดพราดเข้าไปตรงจุดกึ่งกลางของโลกทั้งสองนั้น เมื่อวานนี้ คุณเชื่อว่าหมาป่าตัวนั้นพูดกับคุณได้ หมอผีคนใดที่ยังไม่เห็น จะเชื่ออย่างเดียวกัน แต่หมอผีที่ เห็น แล้วจะรู้ว่า การเชื่อเช่นนั้นคือการถูกตรึงเอาไว้ในโลกของหมอผี และในทำนองเดียวกัน การไม่เชื่อว่าหมาป่าตัวนั้นพูดได้ก็จะถูกตรึงไว้ในโลกของคนธรรมดา"
           "หมายความว่า ทั้งโลกของคนธรรมดาและโลกของหมอผีไม่จริงใช่ไหมดอนฮวน"
           "โลกทั้งสองนั้นจริง ทั้งสองโลกนั้นสามารถที่จะกระทำกับคุณได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะถามหมาป่าในเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณอยากรู้ และมันจะตอบคำถามของคุณได้ เพียงแต่ว่าส่วนที่น่าสลดใจในเรื่องนี้ก็คือหมาป่านั้นไว้ใจไม่ได้เลย พวกมันเป็นนักหลอกลวง นับว่าเป็นกรรมของคุณ ที่ไม่มีเพื่อนที่พอพึ่งพาอาศัยได้"

           ดอนฮวนอธิบายว่า หมาป่าไคโยติจะเป็นสหายของผมในชีวิตนี้ และในโลกของหมอผีนั้นการมีสหายเป็นหมาป่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา แกบอกว่าน่าจะเป็นอุดมคติทีเดียวสำหรับผมหากว่าจะมีสหายเป็นงูกะปะในเมื่องูกะปะเป็นเพื่อนที่ยิ่งใหญ่ได้
           "ถ้าผมเป็นคุณ" แกพูดต่อไป "ผมจะไม่มีวันเชื่อหมาป่าไคโยติ แต่คุณก็ต่างออกไป คุณอาจเป็นหมอผีหมาป่าก็ได้"
           "หมอผีหมาป่าคือหมอผีชนิดไหนล่ะ ดอนฮวน"
           "หมอผีหมาป่า คือ หมอผีที่ได้รับอะไรหลาย ๆ อย่างจากพี่น้องหมาป่ายังไงล่ะ"
           
           ผมอยากจะถามต่อไป แต่ดอนฮวนทำท่าทางให้ผมหยุดพูด
           "คุณได้เห็นเส้นของโลก" แกกล่าวต่อไป "คุณได้เห็นชีวิตที่รุ่งเรือง ตอนนี้คุณเกือบจะพร้อมแล้วที่จะพบกับพันธมิตรของคุณ คุณรู้แล้วนี่นะว่า ชายคนที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้คือพันธมิตรของคุณ คุณได้ยินเสียงครางของมันเหมือนกับเสียงเครื่องบินไอพ่น ชายคนนั้นจะรอพบคุณอยู่ที่ขอบที่ราบ ซึ่งเป็นที่ราบที่ผมจะนำคุณไปด้วยตัวของผมเอง"

           เราเงียบกันไปอีกนาน ดอนฮวนประสานมือไว้ที่หน้าท้อง และนิ้วหัวแม่มือของแกไหวไปมาแทบจะไม่เป็นที่สังเกตเห็นได้
           "เกนาโรจะไปยังหุบเขาแห่งนั้นพร้อมกับเราด้วย" แกพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน "เกนาโรเป็นคนที่ได้ช่วยให้คุณ หยุดโลก"
           ดอนฮวนมองมาทางผมด้วยแววตาที่ทิ่มแทง
            "ผมจะบอกคุณอีกเรื่องหนึ่ง" แกพูดแล้วหัวเราะ "ตอนนี้มันมีความหมายจริง ๆ ขึ้นมาแล้ว เมื่อวันก่อนเกนาโรไม่ได้เคลื่อนรถของคุณออกไปจากโลกของคนธรรมดาหรอก แกทำเพียงบีบให้คุณมองโลกของคนธรรมดานั้น ในลักษณะที่หมอผีทั้งหลายมอง เกนาโรต้องการให้ความเชื่อมั่นของคุณอ่อนตัวลง การทำตลกบ้า ๆ บอ ๆ ของเกนาโรได้บอกกับร่างกายของคุณว่า ความพยายามที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็น เรื่องเหลวไหลไร้สาระ และเมื่อเกนาโรชักว่าวขึ้นไปนั้นคุณเกือบจะ เห็น คุณพบรถของคุณและคุณอยู่ในโลกทั้งสองโลก ส่วนเหตุที่เราเกือบจะม้ามแตกเพราะหัวเราะก็คือว่า คุณคิดอย่างจริงจังขึ้นมาว่าคุณขับรถจากจุดที่เราพบมันเพื่อพาเรากลับบ้าน"

           "แต่ดอนเกนาโรบีบให้ผมเห็นโลกของหมอผีได้อย่างไรล่ะ"
           "ผมอยู่กับเกนาโร และเราทั้งสองรู้จักโลกชนิดนั้น เมื่อใดที่คุณรู้จักโลกชนิดนั้นแล้ว ทั้งหมดที่คุณทำขึ้นเพื่อจะทำให้มันอุบัติขึ้นมาคือ ใช้วงแหวนแห่งพลังพิเศษที่ผมบอกกับคุณแล้วว่าพวกหมอผีมีติดตัว เกนาโรทำมันได้ง่าย ๆ เหมือนกับดีดนิ้วมือ แกทำให้คุณยุ่งอยู่กับการพลิกก้อนหิน เพื่อจะเบนความคิดของคุณ และเพื่อให้ร่างกายของคุณ เห็น"

           ผมบอกกับดอนฮวนว่า เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมานั้น ทำให้แนวความคิดที่ผมมีต่อโลกบุบสลายลงชนิดที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผมบอกว่าตลอดสิบปีที่ผมติดต่อสัมพันธ์กับแก ผมไม่เคยรู้สึกรุนแรงขนาดที่ทำให้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แม้ในช่วงที่ผมเสพยาสมุนไพรลวงจิตเข้าไป
           "พืชสมุนไพรที่มีพลังเป็นเพียงเครื่องช่วยเท่านั้น" แกบอก "ของจริงอยู่ตรงที่ ร่างกายรู้ขึ้นมาว่ามันสามารถ เห็น นับจากนั้นเท่านั้นที่คุณจะสามารถเข้าใจได้ว่า โลกที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันเป็นเพียงคำอธิบายเท่านั้น จุดมุ่งหวังของผมอยู่ตรงที่จะแสดงให้คุณเห็นในเรื่องนี้ แต่นับว่าเป็นโชคร้ายที่คุณมีเวลาเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก่อนที่พันธมิตรจะจัดการกับคุณ"
           "พันธมิตรที่ว่านั้นจะจัดการกับผมด้วยหรือ"
           "ไม่มีทางเลี่ยงจากมันได้หรอก การที่จะ เห็น คุณต้องเรียนรู้วิถีทางในการมองโลกของหมอผี และด้วยเหตุนี้เองพันธมิตรจะต้องถูกเรียกตัวเข้ามา และเมื่อเราทำเช่นนั้น มันก็จะมาหา"
           "คุณสอนให้ผม เห็น โดยไม่เรียกพันธมิตรเข้ามาได้ไหมล่ะ"
           "ไม่ได้หรอก การที่จะ เห็น คุณต้องเรียนรู้ที่จะมองดูโลกในอีกลักษณะหนึ่ง และลักษณะเดียวที่ผมทราบคือ วิถีทางของหมอผี"


--------------------------------------------------------------------------------

ขอออภัยที่เปลี่ยนเสียงจากต้นฉบับเดิมที่สะกดชื่อหมาป่า coyote
จาก"โคโยต" เป็น "ไคโยติ" (ซึ่งยังเป็นรูปคำแบบไทย ๆ อยู่)
The American Heritage Dictionary
of the English Language, Third Edition
แยกการออกเสียงเป็น "ไค-โอ-ที" หรือ "ไค-โอท"



1. A small, wolflike carnivorous animal (Canis latrans) native to western North America
and found in many other regions of the continent. Also called prairie wolf.
2. A firefighter who is sent to battle remote,
usually very severe forest fires, often for days at a time.
[American Spanish, from Nahuatl cóyotl.]


http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...