ผู้เขียน หัวข้อ: บุพกรรมของพระสิวลี  (อ่าน 1875 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
บุพกรรมของพระสิวลี
« เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2011, 10:01:26 am »
บุพกรรมของพระสิวลี

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ท่านกล่าวว่า  สมัยหนึ่งบรรดาภิกษุทั้งหลาย  คำว่าสมัยหนึ่งก็คือเวลาต่อมานั่นเอง คือไม่ใช่เวลาเดี๋ยวนั้น  หลังจากฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  บรรดาภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันว่า  ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  เพราะเหตุอะไรหนอแล  พระสีวลีเถระจึงเป็นผู้อยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  แล้วก็เป็นเพราะกรรมอะไร  พระสีวลีจึงได้ไหม้ในนรก เพราะกรรมอะไร จึงได้ถึงความเป็นผู้เลิศในลาภ และมียศเลิศอย่างนั้น

                        หมายความว่าพระสีวลีนี้  เวลาแม่ตั้งท้อง  อยู่ในท้อง  7 ปี 7 เดือน 7 วัน  และก่อนที่พระสีวลีจะมาเกิด  ท่านก็นอนในนรกสิ้นกาลนาน  เมื่อเกิดแล้วมาเป็นพระ คราวไปป่า คราวนี้มีลาภมาก  เทวดาปรารภพระสีวลีแต่ผู้เดียวว่า  การทำบุญคราวนี้เราต้องการถวายหลวงปู่สีวลี  หลวงพ่อสีวลีของเราเท่านั้น  แม้แต่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ คือพระพุทธเจ้าไปด้วย  เทวดาก็ไม่ได้ปรารภ  พระพุทธเจ้านี้ถ้าเป็นคนที่มีกิเลส  เห็นใครเขามาบูชาลูกน้องมากกว่า  น่ากลัวว่าลูกน้องจะลำบาก  ทั้งนี้ เพราะอะไร  เพราะว่าลูกพี่แกจะอิจฉาเอา  แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อย่างนั้น  พระองค์ทรงยกย่อง  ถ้าลูกศิษย์องค์ไหนดี ก็ยกย่องว่าเป็นพระดี เป็นพระควรแก่การบูชา

                        ในลำดับนั้น  เวลาที่บรรดาภิกษุทั้งหลายโดยทั่วหน้ากำลังปรารภกันว่า พระสีวลีนี้เป็นเพราะกรรมอะไร จึงได้อยู่ในท้องแม่ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  เป็นเพราะกรรมอะไรจึงได้ลงไปในนรกสิ้นกาลนาน  เป็นเพราะกรรมอะไร  เวลาที่เกิดมานี้จึงมีลาภมาก  จึงมียศใหญ่  เป็นที่เคารพของเทวดาทั้งหลาย

                        ในขณะที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายคุยกันอยู่นั้น  องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จพระทับอยู่ในพระคันธกุฎี  สมเด็จพระพิชิตมารฟังเสียงของบรรดาพระสงฆ์ด้วยทิพโสตญาณ  คือหูทิพย์  คุยอยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าก็ได้ยิน  องค์สมเด็จพระมหามุนีใคร่จะเปลื้องความสงสัยของบรรดาภิกษุทั้งหลาย  สมเด็จพระจอมไตรจึงได้เสด็จมา

                        เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เสด็จประทับอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว  จึงถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอกล่าวอะไรกัน  พวกเธอพูดอะไรกัน

                        บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า  ข้าพระพุทธเจ้ากำลังปรารภเรื่องบุพกรรมของพระสีวลีพระพุทธเจ้าข้า  พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยว่า  ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเสด็จไปเยี่ยมพระเรวัตตะคราวนี้  ปรากฎว่าพระสีวลีแสดงบุญญาธิการเป็นที่เลื่อมใสของบรรดาเทวดาทั้งหลาย  ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเกิดสงสัยว่า  ทำไมพระสีวลีมีบุญญาธิการขนาดนี้  จึงได้ต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนจะมาเกิดก็ได้ตกนรกเสียก่อน  เมื่อมาเป็นคนแล้ว ก็มีบุญใหญ่ มีลาภมาก มียศศักดิ์มาก ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยอย่างนี้พระพุทธเจ้าข้า

                        เป็นอันว่า  เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลดังนี้แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพยากรณ์บุพกรรมของพระสีวลีว่า  เหตุที่พระสีวลีต้องไปอยู่ในท้องแม่ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นต้น  มาจากกรรมที่เป็นอกุศลอะไร

                        บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย  สำหรับเรื่องราวบุพกรรมของพระสีวลีก็ของดไว้ก่อน  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนพงคลสมบูรณ์พูนผล  และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี.

                                                             *****************

 

                        บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  สำหรับตอนที่แล้ว  ได้มาจบลงตรงที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพากันมาประชุมกัน  หลังจากที่กลับมาจากที่อยู่ของพระเรวัตตะแล้ว  ต่างพากันมารำพึงว่า  เหตุใดพระสีวลีจึงต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นเพราะกรรมอะไร  พระสีวลีจึงต้องตกนรก  หลังจากนั้นก็เป็นผู้มีลาภมาก  มียศใหญ่

                        หลังจากบรรดาภิกษุทั้งหลายได้พากันประชุมหารือกัน  ขณะเดียวกันนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมา  แล้วถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  เธอพูดปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องอะไร  บรรดาภิกษุทั้งหลายกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตามที่กล่าวมาแล้ว  หลังจากนั้น  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้นำเอาบุพกรรมของพระสีวลีมาแสดงแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย  ซึ่งเรื่องจะได้เริ่มขึ้นในตอนนี้

 

พระราชากับประชาชนแข่งกันทำบุญ

 

                        ความตามพระบาลีมีอยู่ว่า  ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา  ได้ทรงมีพระพุทธฎีการตรัสว่า  ภิกขเว  ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  ในกัปที่ 91 กับ นับถอยหลังไปจากนี้  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก  สมัยหนึ่งเสด็จจาริกไปในชนบท  กลับมาสู่พระนครของพระราชบิดาแล้ว  สมเด็จพระวิปัสสีท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกัน  พระราชาทรงเตรียมอาคันตุกะทาน

                        อาคันตุกะทานคือ ทานแก่พระผู้มา หรือแขกผู้มา  อาคันตุกะ แปลว่า แขกผู้มา พระท่านมาจากที่ไกล  ไม่ได้ประจำอยู่เฉพาะ  ถือว่าเป็นอาคันตุกะ  ทานังแปลว่า การให้  หมายความว่า  ตั้งใจถวายทานแก่พระอาคันตุกะทั้งหมด  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  เพื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

                        แล้วก็ส่งข่าวให้แก่ชาวเมืองทั้งหลายว่า  ชนทั้งหลายจงมาเป็นสหายในทานของเรา  หมายความว่า  พระองค์ให้ส่งข่าวให้ชาวบ้านมาร่วมกันบำเพ็ญทาน  บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้นทำอย่างนั้นแล้ว  คิดว่าเราก็จะต้องถวายทานแด่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเหมือนกัน  แต่ชาวบ้านเขาคิดกันว่า  พวกเราจักถวายทานนี้ให้ยิ่งกว่าทานที่พระราชาถวายแล้ว  เขาเรียกว่าแข่งกันดี  หรืออวดดี ไม่ใช่อวดเลว  เมื่อพระราชาถวายทานแบบไหน  เราจะทำไม่ให้แพ้พระราชา  อย่างนี้เขาเรียกว่าอวดดี ควรอวด

                        จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันรุ่งขึ้น  แล้วก็แต่งทานถวาย แล้วก็ส่งข่าวไปทูลแด่พระราชา  พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรทานของประชาชนเหล่านั้นแล้วดำริว่า  เราจักถวายทานให้ยิ่งกว่าทานนี้  คือดีกว่า ประเสริฐกว่าที่บรรดาประชาชนถวายแล้ว

                        ในวันรุ่งขึ้น  จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  พร้อมไปด้วยบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  พระราชาไม่ทรงสามารถจะให้ชาวเมืองแพ้ได้  เป็นอันว่าต่างคนต่างถวายแข่งกัน  พระราชาถวายแบบนี้ได้  ชาวเมืองก็ถวายได้  ทำให้ดีกว่าพระราชา  พระราชาก็ทำให้ยิ่งไปกว่าชาวเมือง  ชาวเมืองก็ทำให้ยิ่งกว่าพระราชา  ว่ากันอย่างนี้เป็นลำดับ

                        แล้วท่านกล่าวว่า  ถึงชาวเมืองก็ไม่สามารถให้พระราชาท่านแพ้ได้  ต่างคนต่างไม่มีใครแพ้ใคร  วันนี้เราถวายเพียงนี้  วันรุ่งขึ้นเขาถวายยิ่งไปกว่า  วันรุ่งขึ้นอีกเราก็ถวายยิ่งไปกว่านั้น  ฉะนั้น  ในครั้งที่ 6  ชาวเมืองจึงมาคิดว่า  บัดนี้  พวกเราจักถวายทานในวันพรุ่งนี้  จะทำเรื่องของทานที่เราทำทั้งหมด  โดยที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่า  วัตถุชื่อนี้ไม่มีในทานของเรานี้

                        เป็นอันว่าการแข่งการให้ทาน  ยิ่งประเสริฐเท่าไร มากเท่าไร  เกิดการไม่แพ้กันขึ้นมาแล้ว  ชาวเมืองคิดใหม่ว่า  ขึ้นชื่อว่าทานทั้งหมดที่เราจะถวายในวันพรุ่งนี้  ไม่ว่าอะไรทั้งหมดจะไม่มีใครมาติได้เลยว่า  สิ่งทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งมันไม่มีในที่นั้น  จะต้องมีทุกอย่าง

 

ขาดน้ำผึ้งดิบ

 

                        เมื่อต่างคนต่างคิดแล้ว  วันรุ่งขึ้นได้จัดแจงของถวาย  เสร็จแล้วตรวจดูว่า มีอะไรหนอแลที่ยังไม่มีอยู่ในที่นี้อีก  มองไปมองมาก็มองไม่เห็นน้ำผึ้งดิบ  จะมีก็แต่น้ำผึ้งสุก  น้ำผึ้งดิบไม่มี  ส่วนน้ำผึ้งสุกมีมาก   บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้น จึงใช้ให้คน ๆ พวก นำทรัพย์ไปพวกละหนึ่งพันกหาปณะ  คือหนึ่งพันตำลึง  ไปยืนอยู่ที่ประตูพระนคร 4 ประตู  เพราะประตูเมืองมันมีอยู่ 4 ประตู  เพื่อต้องการน้ำผึ้งดิบ  หมายความว่า ถ้ามีคนเขาเอามา เราก็ไปซื้อ

                        ครั้งนั้น  คนบ้านนอกคนหนึ่ง  มาเพื่อจะเยี่ยมพวกชาวบ้านในเมือง  ก็ไม่เห็นจะมีอะไรติดมือมาได้  เพราะแกอยู่ป่า  ก็ถือรวงผึ้งมา 1 รวง  ไล่ตัวผึ้งออกให้หนีไปหมดแล้ว  จึงตัดกิ่งไม้แล้วก็ถือรวงผึ้งนั้นมา  พร้อมทั้งไม้คอนเสร็จ  จึงเข้ามาสู่เมือง  ด้วยคิดตั้งใจว่า  เราจะไปให้กับเพื่อนของเราในเมือง  สำหรับคนที่ไปยืนอยู่หน้าประตูเมือง เห็นบุรุษคนนี้ถือรวงผึ้งมา เป็นคนบ้านนอก จึงถามว่า   ท่านผู้เจริญ  น้ำผึ้งนี้ท่านขายไหม  คนบ้านนอกคนนั้นบอกว่า  น้ำผึ้งฉันไม่ขาย  ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน  คนทั้งหลายเหล่านั้นก็บอกว่า  ท่านผู้เจริญ  ท่านรับเอากหาปณะเท่านี้  คือท่านขายน้ำผึ้งให้เรา  เราจะให้ 4 บาท หรือ 1 ตำลึง  คนบ้านนอกก็คิดว่า  รวงผึ้งนี้ราคาไม่ถึงบาท  แต่ว่าเจ้านี่จะให้สตางค์ถึง 4 บาท  น่ากลัวเจ้าคนนี้มันจะสติไม่ดี  ให้มากเกินไป เรายังไม่ให้  ต้องขึ้นราคาก่อน  แกก็เป็นนักฉวยโอกาสเหมือนกัน

                        แกจึงกล่าวว่า  เราไม่ให้  เราให้ไม่ได้  ราคา 1 ตำลึง น้ำผึ้งรวงนี้ให้ไม่ได้  ราคามันแพง  พวกนั้นก็ขึ้นราคาเป็น 2 ตำลึง  3  ตำลึง  4  ตำลึง  ก็ว่ากันดะไป  ผลที่สุดก็ขึ้นราคาถึง 1,000 ตำลึง  สำหรับบุรุษผู้นั้นจึงคิดว่า  คนพวกนี้น่ากลัวจะสติไม่ดี  น้ำผึ้งรวงเดียวราคาไม่ถึงบาท  มันดันให้ตั้งพัน  และก็บอกด้วยว่า  ฉันมีอยู่แค่ 1,000 ตำลึงเท่านั้นนะ  หมด ขอท่านจงให้น้ำผึ้งแก่เรา

                        แต่ทว่าบุรุษผู้มาจากป่าแกก็เป็นคนมีปัญญา  คิดว่าต้องมีอะไรพิเศษสักเรื่องหนึ่ง  จึงได้ถามว่า  ผู้เจริญ  ข้าพเจ้ารู้ว่ากรรมที่ข้าพเจ้าจะทำในน้ำผึ้งนั้นมีอยู่  เพราะเหตุใดท่านจึงมาขึ้นราคาอย่างนี้  พวกนั้นก็ถามว่า  น้ำผึ้งท่านจะไปทำอะไร  แกก็บอกว่า  ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน  ฉันเป็นคนอยู่ป่า  มาคราวหนึ่งไม่มีอะไรติดมือมามันก็ไม่ดี  พวกนั้นก็บอกว่า  ฉันเองก็มีความจำเป็นด้วยเรื่องน้ำผึ้งดิบ  อย่างอื่นมีครบ  จึงให้ราคาถึง 1,000 ตำลึง  ความจริงฉันรู้ว่า  น้ำผึ้งนี้ราคามันไม่ถึงบาท  แต่ด้วยความจำเป็นจึงให้

                        คนบ้านนอกจึงถามว่า  เรื่องอะไรจึงได้ให้ราคาแพง  บอกมาสิ  อยากจะรู้ ถ้าควรจะให้ก็ให้  บรรดาคนพวกนั้นบอกว่า  พวกข้าพเจ้าเตรียมการถวายทานเป็นการใหญ่ เพื่อสมเด็ยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพล  ผู้มีสมณะ คือพระ รวมด้วยกันทั้งหมด  พระที่เป็นบริวาร 6,800,000 องค์  และก็มีพระพุทธเจ้าอีก 1  ในมหาทานครั้งนี้  อะไร ๆ ของเราก็มีหมด  ไม่มีอยู่อย่างเดียวคือน้ำผึ้งดิบเท่านั้น

                        เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าจึงขอซื้อรวงผึ้งของท่านด้วยราคาแพง  เพราะว่าต้องการจะเอาบุญ  เพราะทานคราวนี้มีความประสงค์ว่าจะให้มีทุกอย่าง  ขึ้นชื่อว่าอะไรในทานนั้นไม่มี  เราไม่ต้องการ  ต้องการให้มันครบ  ฉะนั้นจึงยอมซื้อของแพง ขอให้ขายเถิด

 

ทำบุญปิดท้าย

 

                        คนบ้านนอกแกก็บอกว่า  ถ้าเป็นอย่างนั้นเพื่อนข้าพเจ้าก็จักไม่ให้  ด้วยราคาเรื่องการซื้อไม่ยอมขาย  แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมให้เราร่วมบุญร่วมกุศลด้วยจะให้  บรรดาคนพวกนั้นจึงได้ส่งข่าวไปหาหัวหน้าในเมือง  บอกว่าเวลานี้เจอะคนนำน้ำผึ้งดิบมาแล้ว  แต่ว่าเขาไม่ยอมขาย  แต่ให้เขาร่วมบุญด้วยละก็เขาจะให้

                        เมื่อชาวเมืองทราบที่ศรัทธาของเขามี  จึงได้ยกมือสาธุ  ดีแล้ว ๆ พ่อคุณเอ๋ย  มาร่วมบุญร่วมกุศลด้วยกันเถิด  เรื่องบุญนั้นไม่หวง  ที่ต้องการน้ำผึ้งที่ต้องซื้อเพราะเกรงว่าจะไม่ยอมทำบุญด้วย  จึงกล่าวว่า ขอเขาจงเป็นผู้มีส่วนได้บุญ มาร่วมบุญกัน  บรรดาพวกชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้น  เมื่อได้น้ำผึ้งแล้ว  ก็ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน  ให้มาเสวยอาหาร ถวายข้าวต้ม ถวายของเคี้ยว

                        ทีนี้เขาบอกว่า  ให้คนนำเอาถาดทองคำใบใหญ่มาแล้ว   แล้วก็บีบรวงผึ้งลงไป  เอาน้ำหวานออก  แม้กระบอกนมส้มอันมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นนำมาเพื่อต้องการจะเป็นของกำนัลมีอยู่  เขาก็เทนมส้มเหล่านั้นลงไปในถาดทองคำ  เคล้ากับน้ำผึ้งนั้น  ได้ถวายแก่บรรดาพระภิกษุสงฆ์   มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  น้ำผึ้งนั้นก็ทั่วถึงแก่บรรดาพระภิกษุ
ทุกรูป

                        อย่าลืมว่ามีพระพุทธเจ้าองค์เดียว มีพระสงฆ์ถึง 6,800,000 องค์  น้ำผึ้งรวงเดียวกับนมสัมหน่อยหนึ่งที่เขาผสมกันพอดิบพอดี  คือเหลือจากพระเสียอีก  ท่านกล่าวว่า ผู้รับเอาจนพอความต้องการ  หมายความว่า  บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพอหมดแล้ว  แถมเหลือเสียด้วยซ้ำ

                        ตอนนี้พระบาลีท่านกล่าวว่า  ใคร ๆ ก็คิดไม่ได้ว่า  น้ำผึ้งน้อยอย่างนั้นจะเพียงพอกับภิกษุ 6,800,000 องค์ได้อย่างไร  ท่านกล่าวต่อไปตามพระสูตรว่า  จริงอยู่ น้ำผึ้งนั้นถึงได้ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า  น้ำผึ้งนั้นมีมากมายด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า  แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า  ขึ้นชื่อว่าพุทธวิสัย  ใคร ๆ ก็ไม่ควรคิด

 

อจินไตย

 

                        ท่านบอกว่า  จริงอยู่ เหตุ 4 อย่างที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ไม่ควรคิด  ใคร ๆ เมื่อคิดถึงเหตุเหล่านั้นเข้า  ก็ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นคนบ้าเอาละสิ  ท่านบอกว่า  สิ่งที่เป็นอจินไตยไม่ควรคิด  ถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่า ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว  เหตุ 4 อย่างที่ไม่ควรคิด ที่พระพุทธเจ้ากล่าวก็คือ

                        1.  พุทธวิสัย  วิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เราคิดไม่ได้  ขืนคิดอยากจะรู้เท่าทันพระพุทธเจ้า เราก็บ้า  เพราะว่าเรารู้ไม่ได้

                        2.  ฌานวิสัย  วิสัยของบุคคลผู้ทรงฌาน  ถ้าเราไม่สามารถได้ฌานสมาบัติ  เราอย่าไปคิดเรื่องฌานสมาบัติ  ยิ่งคนสมัยปัจจุบันย่อมอยากจะพูดกันถึงเรื่องพระนิพพานบ้าง  เรื่องวิสัยของอรหันต์บ้าง  แต่ความจริงแค่ฌานโลกีย์เท่านี้  พระพุทธเจ้ากล่าวว่า  ถ้าเรายังเข้าไม่ถึงก็ไม่ควรจะคิด  คิดเท่าไรมันก็ผิด

                        3.  กรรมวิสัย  คือกฎของกรรม  เรื่องกฎของกรรมนี้ก็เหมือนกัน  อย่าไปคิดมันคิดไม่ออกหรอก  นอกจากว่าเราจะได้วิชชาสาม  อภิญญาหก  แล้วก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นอรหันต์  จึงจะพอคิดถึงเรื่องกรรมได้  ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปคิด  คิดแล้วมันก็จบลงไม่ได้

                        4.  โลกจินไตย  เรื่องของโลก  เรื่องของโลกนี้  เราจะคิดว่ามันจะไปจบลงตรงไหน อย่าไปคิด  มันไม่มีทางจบ  คือโลกหาที่สุดไม่ได้

                        จำไว้ให้ดีว่า เหตุ 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ควรคิด  ถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่า ๆ  นั่นก็คือ หนึ่งพุทธวิสัย  สอง ฌานวิสัย  สามกรรมวิสัย  สี่  โลกจินไตย

 

กลับมาเกิดใหม่เป็นพระราชากรุงพาราณสี

 

                        สำหรับบุรุษนั้น  เมื่อทำทานประมาณเท่านั้นแล้ว  ท่านกล่าวว่า  ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ  ก็บังเกิดในเทวโลกเป็นเทวดาท่องเที่ยวไป  สิ้นกัปมีประมาณเท่านี้ คือ 91 กัป  เป็นเทวดาเกะกะ ๆ อยู่  91  กัป

                        ในสมัยหนึ่งจุติจากเทวโลกแล้ว  ก็มาบังเกิดในกรุงพาราณสี  โดยกาลที่พระชนกทิวงคตแล้ว  เขามาเกิดเป็นลูกพระราชาในตระกูลพาราณสี  เมื่อพระราชบิดาตาย ทิวงคต  เขาแปลว่า ตาย  สวรรคต  จึงได้เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา

                        มาในครึ่งหนึ่งท้าวเธอคิดว่า  เราจะยึดเอาพระนครนครหนึ่ง  ซึ่งมีกำลังน้อยกว่าให้ได้  จึงได้เสด็จไปแล้วก็ล้อมพระนครนั้นไว้  แล้วก็ส่งสาส์นกับชาวเมืองว่า  ท่านจะให้ราชสมบัติคือสมบัติแก่เรา หรือจะให้เรารบ  บรรดาชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้นตอบว่า เราจะไม่ให้ราชสมบัติ  และเราก็จะไม่ให้ทั้งการรบ  เราจะปิดประตูเมืองไม่ให้ท่านเข้า ดังนี้

                        พระราชาองค์นั้นก็ล้อมไว้  แล้วก็ปิดประตูเมือง ประตูใหญ่  แต่ว่าชาวเมืองก็อาศัยประตูเล็กออกไปหาฟืน  หาน้ำ  มาทางประตูเล็ก  ทำธุรกิจทุกอย่าง  การล้อมของพระราชาจึงไม่มีผล  ต่อมาเมื่อพระราชาปิดประตูเมืองของเขา  ล้อมไม่ให้เขาออกไว้สิ้นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  ล้อมไว้  ต้องการให้คนในเมืองเขาอดตาย จะได้ยอมแพ้  เขาก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเขาออกทางประตูเล็กมาหากินกันได้

 

กรรมที่ล้อมเมือง

           

                        ในกาลต่อมา  พระราชชนนีคือมารดาพระราชาองค์นั้น  ตรัสถามบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า  ลูกชายของเราเขาทำอะไร  บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ไปล้อมเมืองไว้พระเจ้าข้า  ล้อมประตูใหญ่หมด  ท่านจึงตรัสว่า  พุทโธ่เอ๋ย...ลูกชายของฉันนี้  มันไม่น่าจะโง่อย่างนี้เลย  ก็ไปล้อมประตูใหญ่แล้วก็ไม่ล้อมประตูเล็ก  คนเขาก็ออกมาหากินกันได้  จงล้อมประตูเล็ก ๆ เสีย  ประตูช่องเล็ก ๆ ปิดมันเสีย  ชาวเมืองออกมาไม่ได้  ประเดี๋ยวมันก็ยอมแพ้

                        อำมาตย์จึงได้ไปส่งข่าวพระราชา  ท้าวเธอทรงสดับคำของพระราชชนนีแล้ว  ก็มีคำสั่งให้ปิดประตูเล็ก  คือกันคนออกทางด้านประตูเล็กเสียอีก  ฝ่ายชาวเมืองเมื่อออกไปหากินภายนอกไม่ได้  ก็เริ่มอด  อดแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร  ในวันที่ 7  จึงพากันปลงพระชนม์พระราชาของตนเสีย  แล้วก็ได้เปิดประตูเมืองรับพระราชาองค์นั้น  ถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์

                        ท้าวเธอทรงทำกรรมแบบนี้  ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ  หมายความว่าเวลาที่ตาย แล้วก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก  ไหม้อยู่แล้วในอเวจีมหานรกนั้น  ตราบเท่ามหาปฐพี คือผืนแผ่นดินนี้หนาขึ้นประมาณ 1 โยชน์  โทษของการล้อมเมืองเขา  ทำให้เขาฆ่าพระราชาของเขา  ลงนรกอเวจีด้วย  แล้วให้แผ่นดินหนา 1 โยชน์  ไม่รู้เวลาเท่าไร

                        ครั้งจุติจากอัตภาพ  คือพ้นจากนรกนั้น  แล้วก็มาปฏิสนธิในท้องของมารดานั่นแหละ  หมายความว่า มารดาในสมัยนั้นก็มาเป็นแม่สมัยนี้  เข้าไปอยู่ในท้องแม่สิ้น 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  แม่ต้องถูกทรมานด้วย  ก็เพราะอาศัยที่ให้คำแนะนำกับลูก  แต่บังเอิญแม่ไม่ได้ตกนรกด้วย  จึงได้คลอด  เพราะโทษที่แม่ต้องรับโทษด้วย  เพราะว่าสั่งให้ปิดประตูเล็ก 4 ประตู  นี่เป็นกรรมของพระสีวลีที่ต้องตกนรก  และก็อยู่ในท้องแม่

                        องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  ภิกขเว  ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  พระสีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกาลนานประมาณเท่านี้  เพราะกรรมที่เธอล้อมพระนคร  และยึดไว้ในกาลนั้น  และถือปฏิสนธิของมารดานั้นนั่นแหละ  อยู่ในท้องสิ้นกาลประมาณเท่านั้น  7 ปี 7 เดือน 7 วัน  ก็เพราะว่าความที่เธอปิดประตูเล็กทั้ง 4  ต่อมา  เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภมากและมียศเลิศ  ก็เพราะว่าการที่เธอถวายน้ำผึ้ง ด้วยประการฉะนี้

                        ในวันรุ่งขึ้น  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า  แม้สามเณรผู้เดียว ทำเรือน 500 หลัง เพื่อภิกษุ 500 รูป  มีลาภมีบุญน่าชมจริง ๆ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา แล้วถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้ เธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นรับถ้อยคำเช่นนั้นแล้ว  จึงตรัสว่า

                        “ดูกร  ภิกษุทั้งหลาย  บุตรของเราไม่มีบุญ  ไม่มีบาป  ก็เพราะว่าบุญบาปทั้งสองของเธอละเสียแล้ว”

                        จึงตรัสพระธรรมเทศนาว่า

                        “บุคคลใดในโลกนี้  พ้นเครื่องข้องทั้งสองอย่าง คือบุญและบาป  เราเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นผู้ไม่โศก  ปราศจากกิเลสเพียงดังธุลี  ผู้หมดจดว่าเป็นพราห์ม”

                        เป็นอันว่าท่านทั้งหลาย  เรื่องราวของบุคคลตัวอย่าง  จงจำไว้ด้วยว่า  กฎของกรรมของพระสีวลีท่านมีลาภมาก  มียศยิ่งใหญ่มาก  การที่มีลาภก็เพราะว่าถวายรวงผึ้ง  แต่ว่าต้องลงในนรก  เพราะอาศัยที่ไปปิดล้อมเมืองเขาไว้  และมารดาผู้เป็นต้นคิดก็มีปัจจัยร่วมเช่นเดียวกัน

                        เอาละ  สำหรับเรื่องราวของบุพกรรมของพระสีวลี  ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล  สมบูรณ์พูนผล  จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  สวัสดี. 


-http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CA%D5%C7%C5%D5&getarticle=107&keyword=&catid=3-



http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CA%D5%C7%C5%D5&getarticle=107&keyword=&catid=3

.



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)