แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

บทสนทนา...กับท่านผู้เฒ่า (ธรรมนิพนธ์จากทิเบต)

(1/3) > >>

ฐิตา:




บทสนทนา.. กับท่านผู้เฒ่า
(ธรรมนิพนธ์จากทิเบต)
A Conversation with an Old Man



รจนาเป็นภาษาทิเบตโดย ลามะ กุน-ตัง กน-ชก ตรอน-เม
แปลพากย์ภาษาอังกฤษโดย เกลน เอ็ช มูลลิน
แปลพากย์ภาษาไทยโดย พัลลภ กฤตยานวัช



สัมโมทนียกถา

ได้อ่านเรื่องคำสนทนากับท่านผู้เฒ่า
ซึ่งแปลมาจากภาษาธิเบตเป็นภาษาอังกฤษ
และมีผู้สนใจแปลเป็นภาษาไทย มีต้นฉบับภาษาอังกฤษไว้ด้วย
เหมาะสำหรับนักศึกษาจะได้อ่าน
ได้ความรู้ทางภาษาด้วย ได้หลักธรรมที่เขาสนทนากันด้วย

เหมือนยิงนกได้สองตัว เป็นประโยชน์มาก
ผู้ใคร่รู้ไม่ควรละเลยไม่สนใจ จักขาดทุน
จงช่วยกันอ่านเพื่อศึกษา จะได้ปัญญาเพิ่มขึ้น
หลวงพ่ออ่านแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์มาก
จึงขอแนะนำแก่ผู้แสวงหาปัญญาควรศึกษาอย่างยิ่ง

พระปัญญานันทะ (พระพรหมมังคลาจารย์)
วัดชลประทานรังสฤษฏ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๘




คัดลอกโดย.. คุณสาวิกา
-http://larndham.net/index.php?showtopic=29550
 


ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย
ผู้หลุดพ้นแล้ว จากข่ายแห่งสังสารวัฏผู้ปราศจากกองทุกข์
แห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ได้โปรดดลใจ
ให้ข้าพระองค์ สามารถตัดกรงข่ายแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
ในภพภูมิแห่งสังสารวัฏนี้ด้วยเถิด



นำมาแบ่งปันโดย.. คุณดอกไม้ 

ฐิตา:






ณ กาลครั้งหนึ่ง มีผู้เฒ่าหง่อมชราท่านหนึ่ง
นอนอ่อนระโหยโรยแรง อยู่ข้างถนนริมราวป่า
ณ ที่นั้น มีชายหนุ่มผู้อหังการ์ ได้ผ่านมาพบเข้าพอดี
และ ต่อไปนี้ คือ บทสนทนาของบุคคลทั้งสอง

ท่านผู้เฒ่าเอย ท่านนั่ง ท่านเดิน หรือท่านทำอะไรก็ตาม
ท่านไม่เหมือนใครเลยที่กระผมเคยประสบพบเห็น
มีเหตุปัจจัยเช่นไรหนอ ที่ก่อให้ท่านเป็นอย่างนั้น?

เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยวจีตอบว่า...
เจ้าหนุ่มเอย เจ้าโลดแล่นระเริงไป ด้วยความภาคภูมิใจ
และหยิ่งผยองในความหนุ่มแน่นแห่งเนื้อหนังมังสาของเจ้า
จงฟังข้าให้ดี เมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว
...ข้ายิ่งมีความแข็งแรงมากกว่าเจ้าเสียอีก



ในการวิ่ง ข้าวิ่งเอาชนะม้า และเมื่อข้าต้องการดักจับสัตว์
ข้าก็อาจจับจามรีป่า ณ แดนเหนือได้
ข้าสามารถเดินเหินได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว
ราวกับนกโบยบินในนภากาศ และใบหน้าของข้าก็สวยสดงดงาม

ข้านุ่มห่มด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณที่งามระยับมีเพชรนิลจินดาประดับแต่ง
ดื่มกินอาหารอันเลิศรสโอชา
และข้าขี่ม้าที่ทรงพลังวังชา วิ่งพุ่งมุ่งหน้าได้อย่างรวดเร็วที่สุด

ไม่มีเกมกีฬาใด ที่ข้าไม่เคยเล่น ไม่มีความสุขสำราญใด ที่ข้าไม่เคยสัมผัส
ข้าไม่เคยคิดถึงมัจจุราช แม้แต่เสี้ยววินาที หรือมีสติใคร่ครวญถึงวัยชรา

เสียงครึกครื้นรื่นเริง และสรวลเสเฮฮา ของบรรดาเหล่ามิตรสหาย
และปวงเครือญาติที่แวดล้อมข้า ทำให้ข้าจดจ่ออยู่แต่ในเรื่องเหล่านั้น
และเมินหน้าหันเหไปจากความจริงอื่น



แต่แล้วความทุกข์ระทมแห่งวัยชรา ก็ค่อยๆ คืบคลานมาสู่ข้า
ตอนแรกข้าก็ไม่ได้สังเกตุเฝ้าดู
แต่เมื่อข้ารู้ข้าเห็นก็สายไปเสียแล้ว
เวลานี้เมื่อข้าส่องดูกระจกเงา
ข้าต้องเบือนหน้าหนีจากความจริงที่ข้าเห็น

บุคคลใดที่บวชตามแบบประเพณีตันตระ
น้ำพระพุทธมนต์แห่งตันตระ จะเริ่มหลั่งจากศีรษะก่อน
และลามไหลลงไปสู่ทั่วสรรพางค์กาย
ความตายนั้นหนา ก็เคลื่อนมาเฉกเช่นเดียวกัน
เส้นผมบนศีรษะของผู้คนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว
และอาการแห่งชราภาพอื่นๆ ก็แสดงออกมาอีก

เส้นผมของข้า ขาวราวกับเปลือกหอยทะเล
ข้าไม่ได้ย้อมผมเปลี่ยนสีใหม่
แต่ทว่าพญามัจจุราชเทพแห่งความตายได้ถ่มน้ำลายรดใส่ข้า
และสะเก็ดขาวนั้นจึงปกคลุมไปทั่วศีระษะของข้า



ริ้วรอยยับย่นปรากฏบนใบหน้า ไม่เปล่งปลั่งอิ่มตึง
ดังช่วงสมัยที่ยังเป็นเด็กน้อยเยาว์วัย ... เหล่านี้ไซร้
บ่งบอกถึงอายุขัยสมควรที่ถูกจัดสรรให้
จากเงื้อมมือของพระกาลผู้กลืนกินสรรพสัตว์

ข้าต้องขยิบนัยน์ตาอย่างต่อเนื่อง
นี่มิใช่ว่า ข้าระคายเคืองจากหมอกควัน
... ทว่าสายตาของข้านั้นได้พร่ามัวลงแล้ว
ข้าจึงต้องขยิบขยี้ตา เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน

เมื่อข้าเอนตัวไปข้างหน้าเช่นนี้
และใช้มือป้องหู เพื่อให้ได้ยิน
... นี่หาใช่ว่า ข้าอยากฟังเสียงกระซิบความลับจากเจ้า
แต่เป็นเพราะว่า หูข้ามันตึง และเสียงทั้งหลาย
เสมือนอยู่ไกลออกไป ข้าจึงต้องดึงตัวเจ้าเข้าใกล้ชิด
เพื่อให้ได้ยินเสียงที่ชัดเจนจากเจ้า


ฐิตา:



น้ำมูกไหลออกจากจมูกข้าโดยไม่ตั้งใจ
นี่คือเกล็ดแข็งแห่งช่วงสมัยที่ข้ายังหนุ่มน้อยเยาว์วัยที่ถูก
หลอมละลายไป
โดยสุริยาแห่งวัยชรา.. หาใช่ว่าเป็นไข่มุกขาว ที่กราวร่วง
จากสร้อยคอไม่

ฟันทั้งหมดของข้าได้หลุดร่วงไป
นี่มิใช่ จะเป็นส่วนหนึ่งแห่งรอบวงจรที่ส่อแสดงว่า
ฟันซี่ใหม่จะกลับงอกขึ้นมาอีก
แต่ทว่าอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิตนี้ ได้ถูกกลืนกินสิ้นแล้ว
และอุปกรณ์การดื่มกิน ก็ถูกเก็บออกเสียแล้ว



ข้าไม่ระเริงสุขอย่างต่อเนื่อง
เพราะเหตุว่า ข้าประสงค์จะคารวะต่อพระแม่ธรณี ด้วยอุทกธารา
ก็หาไม่....
แต่ทว่าสิ่งทั้งหลายที่ข้าเคยเสพสุขสำราญนั้น
มาบัดนี้ มีแต่สร้างความรำคาญแก่ข้า
และน้ำลายจากปากของข้า ก็ไหลออกไปเองตามธรรมของมัน



การพูดคุยสนทนาของข้า ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนนั้น...ก็หาใช่ว่า
ข้าจะส่งภาษาที่แปลกใหม่ที่ข้าเรียนรู้มาจากแดนไกล ถิ่นหนาว
หากเพราะว่าในอดีตกาลที่ล่วงผ่านมานั้น
... ข้าเอาแต่พูดคุยอย่างไร้สาระ ไม่หยุดหย่อน
แต่มาบัดนี้ ลิ้นของข้าได้กร่อนทรุดชำรุดลงแล้ว

ใบหน้าของข้าอันน่าเกลียดน่าชังที่เจ้ามองเห็นนั้น
หาใช่เป็นหน้ากากวานร ที่ข้านำมาสวมใส่...
แต่หากเป็นหน้ากาก แห่งวัยหนุ่มของข้าเอง ...
หน้ากากหนุ่มที่ข้าขอยืมมาใช้เพียงชั่วคราว
ทว่ามาบัดนี้ ผู้เป็นเจ้าของเขาเรียกรับกลับคืน ...
จึงเหลือแต่กระดูกแห่งมรณา ที่น่าชิงชังดำรงอยู่



ข้าสั่นหัวแกว่งไปมา อย่างต่อเนื่อง
...นี่หาใช่ว่า ข้าจะสื่อเรื่องส่งสัญญาณ ว่าข้าคัดค้าน
ไม่เห็นด้วย
แต่เพราะว่าพญามัจจุราชเทพแห่งความตายได้ทุบตีข้า
ด้วยไม้เท้า ...
และหลังจากนั้น ข้าจึงมีสมองความจำที่เสื่อมลง

อาการเดินของข้าที่เจ้ามองเห็น
สายตาข้าที่ทอดกวาดลาดต่ำไปตามพื้นถนน...
หาใช่เป็นการมองค้นหาเข็ม ที่ทำตกหล่นสูญหาย ..
แต่วัชรมณีแห่งวัยหนุ่มของข้า ได้ตกลงสู่พื้นพสุธา
และข้าต้องเดินโยกเยกด้วยอ่อนล้าอ่อนแรง
จนแทบจะจำชื่อตัวข้าเองไม่ได้

ฐิตา:




อาการวิธีที่ข้า ต้องลุกนั่งด้วยสี่แขนขา
...นี่มิใช่ว่า ข้าจะเล่นสนุกเลียนแบบปวงสัตว์จตุบาท
แต่เป็นเพราะว่าขาข้าไม่มีแรงพยุงกาย ได้อีกต่อไป...
ข้าจึงต้องใช้องคาพยพทุกส่วนของข้า
ทั้งแขน และขาเข้าช่วยในการเคลื่อนไหว

ลีลาวิธีที่ข้าหย่อนตัวลงกระแทกนั่ง...ก็หาใช่ว่า
ข้าตั้งใจจะแสดงอาการไม่สุภาพ...
ทว่าเส้นสายแห่งความสุขสราญของข้าได้แตกสลาย
และสายใยแห่งความหนุ่มแน่นของข้าก็ถูกตัดรอนฉีกขาด
...ดังนั้นตัวข้า จึงไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างสง่างาม



เมื่อข้าเดิน ข้าต้องเดินโขยกเขยกไปมา...
นี่มิใช่ว่า ข้าจะวางท่าโอ้อวดอหังการ์ และส่อแสดงว่า
ข้าเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่...แต่เพราะว่าความหนักอึ้งแห่งวัยชรา
ได้ทุ่มทับใส่ข้า ข้าจึงไม่อาจจะเดินได้อย่างตรงดี

สองมือข้าที่สั่นระริกระรัวไหว
...นี่มิใช่ว่า ข้าตื่นเต้นดีใจใคร่ได้รับวัชรมณี
แต่จักขุแห่ง พญามัจจุราช จ้องมองปราดมาที่ข้ารอคอยที่จะแย่งชิงมณีแห่งชีวิต
ปลิดไปจากมือของข้า...และข้าต้องประหวั่นพรั่นพรึงใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้น



ข้าต้องจำกัดการกินอาหารเพียงน้อยนิด...นี่หาใช่ว่า
ข้าคิดตระหนี่ถี่เหนียว ทว่าพลังการย่อยอาหารของข้าได้เสื่อมด้อยถอยลงแล้ว
...และข้ากลัวจะตายเร็ว หากหลงกินมากเกินไป

เสื้อผ้าบางเบาที่ข้าสวมใส่...หาใช่เป็นการวางแผน
เพื่อไปร่วมงานสังคมหรูหรา
ทว่ากำลังกายที่มีของข้า ได้เสื่อมถอยลงมา
...แม้แต่การใส่เสื้อผ้านั้น ก็เป็นภาระที่หนักแล้วสำหรับข้า

อาการวิธีที่ข้าหายใจฟืดฟาดรุนแรงนั้น
...หาใช่ว่าข้ากำลังสวดมนต์ภาวนา เพื่อแผ่เมตตาแก่ผู้อื่นก็หาไม่
หากนั่นเป็นสัญญาณว่า ในอีกไม่ช้าไม่นานนี้
ลมหายใจแห่งชีวีของข้ากำลังจะสิ้นสลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับฟากฟ้า



อาการแปลกพิเศษนานาแห่งพฤติการณ์ของข้า
หาใช่เป็นการแสดงศิลปลีลาอันเลอเลิศ
แต่เป็นเพราะว่า ข้าถูกจู่จับโดยพญามัจจุราช
และข้าไม่อาจมีลู่ทางใดที่จะทำได้อย่างที่ข้าคิดอย่างที่ข้าปรารถนา

ข้าหลงลืมสิ่งทั้งหลายที่ข้าได้กระทำลงไป
...นี่หาใช่ข้าจงใจแสดงว่า ตัวข้าไม่ใส่ใจในความมานะพากเพียร
แต่เป็นเพราะว่า สมองของข้าถูกทำลาย อีกทั้งความจำ
และสติปัญญาของข้าได้เสื่อมด้อยถอยลงแล้ว



เจ้าไม่ต้องมาหัวเราะเยาะข้าหรอก
เพราะถ้วนทั่วทุกคนย่อมหนีไม่พ้นวัยชราภายในช่วงเวลา
อีกไม่กี่ปีที่จะมาถึงนี้ สัญญาณแรกแห่งมรณา ก็จะมาเยือนตัวเจ้าเช่นเดียวกัน

คำพูดของข้าอาจจะไม่ถูกหู ถูกใจเจ้า
...แต่อีกไม่นานหรอกหนาภาวะเช่นนี้ก็จะมีมาสู่เจ้า
ในยุคสมัยนี้ผู้คนมักมีชีวิตสั้น...และไม่มีหลักประกันใดว่า
ตัวเจ้าจะมีอายุยืนยาวหลายขวบปี เช่นเดียวกับตัวข้า
และมาตรแม้นว่าตัวเจ้าจะมีอายุยืนยาวเช่นข้า
...แต่ก็หามีหลักประกันใดว่า
เจ้าจะมีพละกำลังแห่งกาย วาจา และใจ
...เฉกเช่นผู้เฒ่าชราวัย ที่อยู่ต่อหน้าเจ้า ณ กาลบัดนี้



ฐิตา:




เจ้าหนุ่มน้อย ถึงกับถอยผงะ และร้องอุทานอย่างเศร้าสลดว่า

"โอ้ ! ท่านผู้น่าสมเพชเวทนา ผู้ถูกวาจาดูหมิ่นดูแคลนจากปวงผู้คน
และถูกกระโชกโดยเหล่าสุนัขมากหลาย
ร่างกายของท่านก็ช่างน่ารังเกียจ น่ารันทด และหมดเรี่ยว หมดแรง
กระผมขอเลือกที่จะตาย ณ กาลบัดนี้
มากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ในภาวะหดหู่ชราวัยเช่นท่าน"

ท่านผู้เฒ่าอมยิ้ม กล่าวว่า



"เจ้าต้องการจะหนุ่มแน่นชั่วนิรันตรกาล
และเจ้าไม่ต้องการจะเป็นคนแก่ คนชรา
เจ้าพูดว่า เจ้าขอเลือกที่จะตายมากกว่าจะกลายเป็นคนแก่ผู้ชรา
แต่เมื่อเวลาแห่งความตาย ย่างกรายเข้ามาใกล้
เจ้าก็จะรู้เองว่า มิใช่ง่ายเลยที่จะเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างเต็มใจ
และอย่างอาจหาญมั่นใจ

มาตรแม้นว่าใคร ไม่เคยทำร้ายสุภาพชน
สำรวมตนอยู่เนืองนิตย์ และบำเพ็ญจิตภาวนา
สมาทานไตรสิกขา มีรักษาศีล ทำสมาธิ และเจริญปัญญาญาณ
บางทีท่านเหล่านี้ อาจจะตายได้อย่างสงบสุข



แต่ก่อนนี้ตัวข้า หาได้ใส่ใจสักน้อยนิด
หาได้คิดคำนึงถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณ
แต่ ณ กาลบัดนี้ ร่างกายของข้าได้แก่ชราลงแล้ว
ข้าจึงรู้สึกสำนึกได้่ว่าเป็นโอกาสแสนดีในทุกวี่วัน
ที่จะหมั่นฝึกฝนอบรมภาวนาในแนวทางแห่งธรรมมรรคา
และตัวข้าเอง ก็ยังไม่อยากจะตายเร็วนัก"


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version