แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์
ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
ฐิตา:
ปฐมเหตุ.. มหาเวสสันดรชาดก
ตอนพระพุทธองค์ทรงแสดงมหาชาติ ๑๓ กัณฑ์
ในสมาคมพระญาติศากยวงศ์และพระอริยสงฆ์
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร
พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดีจุติลงมาเกิด
เป็นพระราชมารดาพระเวสสันดร
เทศน์มหาชาติ: กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร
http://www.oknation.net/blog/Nirvana-Thailand/2008/12/17/entry-6
พระชาติที่ ๑ พระเตมีย์ใบ้ ตอนที่ ๑
http://www.oknation.net/blog/Nirvana-Thailand/2008/11/12/entry-3
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์
พระเวสสันดรพระราชทานช้างเผือก
ชาวเมืองโกรธแค้นให้เนรเทศไปอยู่ยังเขาวงกต
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์
พระเวสสันดรพระราชทานม้าและราชรถ
แก่พราหมณ์ที่ตามมาขอนอกเมืองเชตุพนจนหมด
กัณฑ์ที่ ๔ วันประเวศน์
สี่กษัตริย์ต้องเดินดง ตั้งพระทัยมุ่งตรงสู่ยัง
เขาวงกตเพื่อจะทรงบำเพ็ญพรตเป็นฤๅษี
กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก
ชูชกพานางอมิตดาลูกสาวเพื่อนที่รับฝากทอง
ของแกแล้วยักยอกนำไปใช้หมด
กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน
ชูชกชูกลัักพริกขิง โกหกพรานเจตบุตรว่าเป็น
กล่องใส่พระราชสาสน์ของพระเจ้ากรุงสญชัย
ฐิตา:
กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน
อจุตฤๅษียอมเชื่อคารมของชูชกเฒ่าเจ้าเล่ห์
เลยบอกและชี้ทางให้ไปสู่ยังเขาวงกต
กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร
พระเวสสันดรตรัสเรียกลูกกัณหา ชาลีขึ้นจาก
สระที่ซ่อนองค์เพื่อนำไปให้ทานแก่เฒ่าชูชก
กัณฑ์ที่ ๙ มัทรี
พระนางมัทรีทรงประนมกรทูลวอนไหว้ขอทาง
เทพเจ้า ๓ สัตว์ที่มากั้นมรรคาไว้
กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ
พระอินทร์จำแลงเป็นพราหมณ์มาขอพระนาง
มัทรี แล้วถวายคืนและประสาทพร ๘ ประการ
กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช
เทพเจ้าจำแลงเป็นพระเวสสันดรและพระนาง
มัทรีมาอุ้มชูสองกุมารให้เสวยนมด้วยเมตตา
กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์
ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลง
เมื่อได้พบหน้ากัน ณ พระอาศรมที่เขาวงกต
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์
หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จกลับจากเขาวงกต
แล้วขึ้นครองนครเชตุดรแทนพระราชบิดา
- http://www.seasite.niu.edu/thai/literature/Sridaoruang/matsii/matsii2.htm
ฐิตา:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒
พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี
[๑๐๔๕] ดูกรผุสดีผู้มีรัศมีแห่งผิวพรรณอันประเสริฐ ผู้มีอวัยวะส่วนเบื้องหน้า
งาม เธอจงเลือกเอาพร ๑๐ ประการในปฐพีซึ่งเป็นที่รักแห่งหฤทัยของ
เธอ.
[๑๐๔๖] ข้าแต่ท้าวเทวราช ข้าพระบาทขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าพระบาทได้ทำ
บาปกรรมอะไรไว้หรือ ฝ่าพระบาทจึงให้ข้าพระบาทจุติจากทิพยสถานที่น่า
รื่นรมย์ ดุจลมอัดต้นไม้ใหญ่ให้หักไป ฉะนั้น.
[๑๐๔๗] บาปกรรมเธอมิได้ทำไว้เลย และเธอไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่บุญ
ของเธอสิ้นแล้วเหตุนั้น เราจึงกล่าวกะเธออย่างนี้ ความตายใกล้เธอ
เธอจักต้องพลัดพรากจากไปจงเลือกรับเอาพร ๑๐ ประการนี้แต่เราผู้จะให้.
[๑๐๔๘] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์ทั้งปวง ถ้าฝ่าพระบาทจะประทานพร
แก่ข้าพระบาทไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระบาทพึงเกิดใน
พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีวิราช ข้าแต่ท้าวบุรินททะ ขอให้ข้าพระบาท
(๑) พึงเป็นผู้มีจักษุดำเหมือนตาลูกมฤคี (มีอายุ ๑ ขวบปี) ซึ่งมีดวงตา
ดำ (๒) พึงมีขนคิ้วดำ (๓) พึงเกิดในราชนิเวศน์นั้นมีนามว่าผุสดี
(๔) พึงได้พระราชโอรสผู้ให้สิ่งอันประเสริฐ ผู้ประกอบเกื้อกูลในยาจก
มิได้ตระหนี่ ผู้อันพระราชาทุกประเทศบูชา มีเกียรติยศ (๕) เมื่อ
ข้าพระบาททรงครรภ์ขออย่าให้อุทรนูนขึ้น พึงมีอุทรไม่นูน เสมอดัง
คันศรที่นายช่างเหลาเกลี้ยงเกลา (๖) ถันทั้งคู่ของข้าพระบาทอย่าย้อยยาน
ข้าแต่ท้าววาสวะ (๗) ผมหงอกก็อย่าได้มี (๘) ธุลีก็อย่าได้ติดในกาย
(๙) ข้าพระบาทพึงปล่อยนักโทษที่ถึงประหารได้ (๑๐) ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอข้าพระบาทพึงได้เป็นอัครมเหสีที่โปรดปรานของพระราชาใน
แว่นแคว้นสีวี ในพระราชนิเวศน์อันกึกก้องด้วยเสียงร้องของนกยูง
และนกกระเรียน พรั่งพร้อมด้วยหมู่วรนารี เกลื่อนกล่นไปด้วยคนเตี้ย
และคนค่อม อันพ่อครัวชาวมคธเลี้ยงดูกึกก้องไปด้วยเสียงกลอน และ
เสียงบานประตูอันวิจิตร มีคนเชิญให้ดื่มสุราและกินกับแกล้ม.
[๑๐๔๙] ดูกรนางผู้งามทั่วสรรพางค์กาย พร ๑๐ ประการ เหล่าใดที่เราให้แก่เธอ
เธอจักได้พร ๑๐ ประการเหล่านั้น ในแว่นแคว้นของพระเจ้าสีวิราช.
[๑๐๕๐] ครั้นท้าววาสวะมฆวาสุชัมบดีเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว ก็โปรดประทานพร
แก่พระนางผุสดีเทพอัปสร.
(นี้) ชื่อว่าทสพรคาถา
[๑๐๕๑] พระนางผุสดีเทพอัปสรจุติจากดาวดึงสเทวโลกนั้น มาบังเกิดในสกุล
กษัตริย์ ได้ทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าสญชัยในพระนครเชตุดร พระนาง
ผุสดีทรงครรภ์ถ้วนทสมาส เมื่อทรงทำประทักษิณพระนคร ประสูติเรา
ที่ท่ามกลางถนนของพวกพ่อค้า ชื่อของเรามิได้เนื่องแต่พระมารดา และ
มิได้เกิดแต่พระบิดา เราเกิดที่ถนนแห่งพ่อค้า เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อ
ว่า เวสสันดร เมื่อใด เรายังเป็นทารก มีอายุ ๔ ขวบแต่เกิดมา
เมื่อนั้น เรานั่งอยู่ในปราสาทคิดจะบริจาคทานว่า เราจะพึงให้หทัย
ดวงตา เนื้อ เลือด และร่างกาย เมื่อใครมาขอเรา เราก็ยินดีให้
เมื่อเราคิดถึงการบริจาคทานอันเป็นความจริง หฤทัยก็ไม่หวั่นไหวมุ่งมั่น
อยู่ในกาลนั้น ปฐพีมีสิเนรุบรรพตและหมู่ไม้เป็นเครื่องประดับ ได้หวั่น
ไหว.
[๑๐๕๒] พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีขนรักแร้ดกและมีเล็บยาว ฟันเขลอะ มีธุลีบน
ศีรษะ เหยียดแขนข้างขวาจะขออะไรฉันหรือ.
[๑๐๕๓] ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทั้งหลายทูลขอรัตนะเครื่องให้แว่นแคว้น
ของชาวสีพีเจริญ ขอได้โปรดพระราชทานช้างตัวประเสริฐ ซึ่งมีงาดุจ
งอนไถอันมีกำลังสามารถเถิด พระเจ้าข้า.
[๑๐๕๔] เราจะให้ช้างพลายซับมันตัวประเสริฐ ซึ่งเป็นช้างราชพาหนะอันสูงสุด
ที่พราหมณ์ทั้งหลายขอเรา เรามิได้หวั่นไหว.
[๑๐๕๕] พระราชาผู้ผดุงรัฐสีพีให้เจริญรุ่งเรือง มีพระหฤทัยน้อมไปในการบริจาค
เสด็จลงจากคอช้างพระราชทานแก่พราหมณ์ทั้งหลาย.
[๑๐๕๖] เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ (แก่พราหมณ์ทั้ง ๘) แล้ว
ในกาลนั้น ความน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้าได้เกิดมี เมทนีดลก็
หวั่นไหว เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ ในกาลนั้น
ได้เกิดมีความน่าสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้า ชาวพระนครกำเริบ ในเมื่อ
พระเวสสันดรผู้ยังแว่นแคว้นของชาวสีพีให้เจริญพระราชทานช้างตัวประ
เสริฐ ชาวบุรีก็เกลื่อนกล่น เสียงอันกึกก้องก็แผ่ไปมากมาย.
[๑๐๕๗] ครั้งนั้น เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึง
น่ากลัวเป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น ในกาลนั้นชาวนครก็กำเริบ
ครั้งนั้น ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญรุ่งเรืองพระราชทาน
ช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึงน่ากลัวเป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น.
[๑๐๕๘] พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พวกพ่อค้าชาวนา พวกพราหมณ์
กองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ ชาวนิคม ชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุม
พร้อมกัน พวกเหล่านั้นเห็นพวกพราหมณ์นำพระยาช้างไป ก็กราบทูล
แด่พระเจ้ากรุงสัญชัยว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ แว่นแคว้นของ
พระองค์ถูกกำจัดแล้ว เหตุไรพระเวสสันดรของพระองค์ จึงพระราชทาน
ช้างตัวประเสริฐของชาวเราทั้งหลาย อันชาวแว่นแคว้นสักการะบูชา
ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระราชทานพระยากุญชรของชาวเราทั้ง
หลายอันมีงางอนงามแกล้วกล้า สามารถรู้จักเขตแห่งยุทธวิธีทุกอย่าง
เป็นช้างเผือกขาวผ่อง ประเสริฐสุด ปกคลุมด้วยผ้ากัมพลเหลือง
กำลังซับมัน สามารถย่ำยีศัตรูได้ ฝึกดีแล้ว พร้อมทั้งวาลวิชนีมีสีขาว
เช่นดังเขาไกรลาศ ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระราชทานพระยา
ช้างราชพาหนะซึ่งเป็นยานชั้นเลิศ เป็นทรัพย์อย่างประเสริฐ พร้อมทั้ง
ฉัตรขาว เครื่องลาด หมอช้าง และคนเลี้ยงช้างแก่พวกพราหมณ์.
[๑๐๕๙] พระเวสสันดรราชโอรสนั้นควรจะพระราชทาน ข้าว น้ำ ผ้านุ่งผ้าห่ม
และที่นั่งที่นอน สิ่งของเช่นนี้แลสมควรจะพระราชทาน สมควรแก่
พวกพราหมณ์ ข้าแต่พระเจ้าสัญชัย ไฉนพระเวสสันดรราชโอรส ผู้
เป็นพระราชาโดยสืบพระวงศ์ของพระองค์ ผู้ผดุงสีพีรัฐ จึงทรงพระ
ราชทานพระยาคชสารไป ถ้าพระองค์จักไม่ทรงทำตามถ้อยคำของชนชาว
สีพี ชนชาวสีพีก็เห็นจักทำพระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรสไว้ในเงื้อม
มือ.
[๑๐๖๐] ถึงชนบทจะไม่มี และแม้แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึง
ขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษจากแว่นแคว้นของตนตามคำของชาวสีพี
เพราะพระราชบุตรเกิดจากอกของเรา ถึงชนบทจะไม่มี และแม้
แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึงขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษ
จากแว่นแคว้นของตน ตามคำของชาวสีพี เพราะพระราชบุตรเกิดแต่
ตัวเรา อนึ่ง เราไม่พึงประทุษร้ายในพระราชบุตรนั้น เพราะเธอมีศีล
และวัตรอันประเสริฐ แม้คำติเตียนจะพึงมีแก่เรา และเราจะพึงประสบ
บาปเป็นอันมาก เราจะให้ฆ่าพระเวสสันดรบุตรของเราด้วยศาตราอย่างไร
ได้.
[๑๐๖๑] พระองค์อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระเวสสันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศาตราเลย
ทั้งพระเวสสันดรนั้นก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการ แต่จงทรงขับไล่
พระเวสสันดรนั้นเสียจากแว่นแคว้น จงไปอยู่ที่เขาวงกตเถิด.
[๑๐๖๒] ถ้าความพอใจของชาวสีพีเช่นนี้ เราก็ไม่ขัด ขอเธอจงได้อยู่และ
บริโภคกามทั้งหลาย ตลอดคืนนี้ ต่อเมื่อสิ้นราตรีแล้ว พระอาทิตย์ขึ้น
แล้ว ชาวสีพีจงพร้อมเพรียงกันขับไล่เธอเสียจากแว่นแคว้นเถิด.
[๑๐๖๓] ดูกรนายนักการ ท่านจงลุกขึ้น จงรีบไปทูลพระเวสสันดรว่า ขอเดชะ
ชาวสีพี ชาวนิคม พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา
พราหมณาจารย์ พากันโกรธเคืองมาประชุมกันอยู่แล้ว กองช้าง กองม้า
กองรถ กองเดินเท้า ทั้งชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุมกันแล้ว
เมื่อสิ้นราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวสีพีจะพรักพร้อมกันขับไล่
พระองค์จากแว่นแคว้น.
[๑๐๖๔] นายนักการนั้น เมื่อได้รับพระราชดำรัสสั่ง จึงสวมสอดเครื่องประดับมือ
นุ่งห่มเรียบร้อย ประพรมด้วยจุรณจันทน์ ล้างศีรษะในน้ำ สวมกุณฑล
แก้วมณีแล้ว รีบเข้าไปยังบุรีอันน่ารื่นรมย์ เป็นที่ประทับอยู่ของพระ-
เวสสันดร ได้เห็นพระเวสสันดรทรงพระสำราญอยู่ในพระราชวังของ
พระองค์อันเกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่อำมาตย์ ปานประหนึ่งท้าววาสวะแห่ง
ไตรทศ.
[๑๐๖๕] นายนักการนั้น ครั้นรีบไปในพระราชนิเวสน์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระ
เวสสันดรว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ข้าพระบาทจะกราบทูลความ
ทุกข์แด่พระองค์ ขออย่าได้ทรงกริ้วข้าพระบาทเลย นายนักการนั้น
ถวายบังคมแล้วพลางคร่ำครวญกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช
พระองค์ทรงชุบเลี้ยงข้าพระบาท ทรงนำมาซึ่งรสที่น่าใคร่ทุกอย่าง ข้าพระ-
บาทจะกราบทูลความทุกข์แด่พระองค์ เมื่อข้าพระบาทกราบทูลข่าวสาร
เรื่องทุกข์ร้อนนั้นแล้ว ขอพระยุคลบาทจงยังข้าพระบาทให้เบาใจ
ขอเดชะ ชาวสีพี ชาวนิคม คนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า
ชาวนา พราหมณาจารย์พากันโกรธเคืองมาประชุมกันอยู่แล้ว กองช้าง
กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ทั้งชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิ้น มาประ-
ชุมกันอยู่แล้ว เมื่อสิ้นราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวสีพี จะพรัก
พร้อมกันขับไล่พระองค์จากแว่นแคว้นพระเจ้าข้า.
[๑๐๖๖] ดูกรนายนักการ เพราะเหตุไรชาวสีพีจึงโกรธเรา ขอท่านจงบอกความ
ชั่วแก่เรา ผู้ไม่เห็นความเดือดร้อนให้แจ้งชัดด้วย เหตุไรเขาจึงขับไล่เรา.
[๑๐๖๗] พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา พราหมณาจารย์
พวกกองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้าพากันติเตียนเพราะพระ-
ราชทานพระยาช้างพระที่นั่งต้น เหตุนั้นเขาจึงขับไล่พระองค์ พระเจ้าข้า.
[๑๐๖๘] เราจะให้หทัย ให้จักษุ เงิน ทอง แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ หรือ
แก้วมณี เป็นทรัพย์ภายนอกของเรา จะเป็นอะไรไป เมื่อยาจกมาถึง
เราเห็นแล้ว ก็จงให้แขนขวาแขนซ้าย ไม่หวั่นไหวเลย ใจของเรา
ยินดีในทาน ชาวสีพีทั้งปวงจงขับไล่ จงฆ่าเราเสีย หรือจะตัดเราให้
เป็นเจ็ดท่อนก็ตามเถิด เราจักไม่งดการให้ทานเลย.
[๑๐๖๙] ชาวสีพีและชาวนิคมประชุมกันกล่าวอย่างนี้ว่า พระเวสสันดรผู้มีวัตรงาม
จงเสด็จไปสู่อารัญชรคีรีทางฝั่งแม่น้ำ โกนติมาราตามทางที่พระราชาผู้ถูก
ขับไล่เสด็จไปนั้นเถิด.
[๑๐๗๐] เราจักไปตามทางที่พระราชาผู้มีโทษเสด็จไป ขอให้ท่านทั้งหลายจงงดแก่
เราคืนและวันหนึ่งพอให้เราได้ให้ทานก่อนเถิด.
[๑๐๗๑] พระราชาตรัสตักเตือนพระมัทรีผู้มีความงาม ทั่วสรรพางค์ว่าทรัพย์อย่าง
ใดอย่างหนึ่งที่พี่ให้แก่พระน้องนาง และสิ่งของที่ควรสงวนอันเป็นของ
พระน้องนาง คือ เงิน ทอง แก้วมุกดา หรือแก้วไพฑูรย์ มีอยู่เป็น
อันมาก และทรัพย์ฝ่ายพระบิดา ของพระน้องนาง ควรเก็บไว้ทั้งหมด.
[๑๐๗๒] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้มีความงามทั่วสรรพางค์ได้ทูลถาม พระเวสสันดร
นั้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ หม่อมฉันจะเก็บไว้ที่ไหน หม่อมฉัน
ทูลถามแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกเนื้อความนั้นเถิด.
[๑๐๗๓] ดูกรพระน้องมัทรี พึงให้ทานในท่านผู้มีศีลตามสมควร เพราะที่พึ่งของ
สัตว์ทั้งปวงยิ่งไปกว่าทานไม่มี.
[๑๐๗๔] ดูกรพระน้องมัทรี เธอพึงเอาใจใส่ในลูกทั้งสอง ในพระชนนีและ
พระชนกของพี่ อนึ่ง ผู้ใดพึงตกลงปลงใจว่าจะเป็นพระสวามีพระ-
น้องนางเธอพึงบำรุงผู้นั้นโดยเคารพ ถ้าไม่มีใครมาตกลงปลงใจเป็น
พระสวามีพระน้องนาง เพราะพระน้องนางกับพี่จะต้องพลัดพรากจากกัน
พระน้องนางจงแสวงหาพระสวามีอื่นเถิด อย่าลำบากเพราะจากพี่เลย.
[๑๐๗๕] เพราะว่าพี่จักต้องไปสู่ป่าที่น่ากลัว อันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย
เมื่อพี่คนเดียวอยู่ในป่าใหญ่ ชีวิตก็น่าสงสัย.
[๑๐๗๖] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้มีความงามทั่วสรรพางค์ ได้กราบทูลพระเวสสันดร
ว่า ไฉนหนอพระองค์จึงตรัสเรื่องที่ไม่เคยมี ไฉนจึงตรัสเรื่องลามก
ข้าแต่พระมหาราช ข้อที่พระองค์จะพึงเสด็จแต่พระองค์เดียวนั้น ไม่ใช่
ธรรมเนียม ข้าแต่พระมหากษัตริย์แม้หม่อมฉันก็จะตามเสด็จไป ตาม
ทางที่พระองค์เสด็จ ความตายกับพระองค์หรือเป็นอยู่เว้นจากพระองค์
ความตายกับพระองค์นั่นแลประเสริฐกว่า เป็นอยู่เว้นจากพระองค์จะ
ประเสริฐอะไร ก่อไฟให้ลุกโพลง มีเปลวเป็นอันเดียวกันตั้งอยู่แล้ว
ความตายในไฟที่ลุกโพลง มีเปลวเป็นอันเดียวกันนั้นประเสริฐกว่า
เป็นอยู่เว้นจากพระองค์จะประเสริฐอะไร นางช้างติดตามพระยาช้างผู้
อยู่ในป่า เที่ยวไป ณ ภูเขาและที่หล่ม ที่เสมอและไม่เสมอ ฉันใด
หม่อมฉันจะพาลูกทั้งสองติดตามพระองค์ไปเบื้องหลัง ฉันนั้น หม่อม
ฉันจักเป็นผู้อันพระองค์เลี้ยงง่าย จักไม่เป็นผู้อันพระองค์เลี้ยงยาก.
[๑๐๗๗] เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ
พูดจาน่ารัก นั่งอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อ
พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น พระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ
พูดจาน่ารัก เล่นอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อ
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะพูดจา
น่ารัก ณ อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อพระ-
องค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ พูดจา
น่ารัก เล่นอยู่ ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ ทรงมาลาประดับ
พระองค์ ณ อาศรมรัมณียสถาน ก็จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อ
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ นี้ เล่นอยู่ ณ อาศรมอัน
เป็นที่รื่นรมย์ ก็จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอด
พระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ พระองค์ ทรงมาลา ฟ้อนรำอยู่ ณ
อาศรมรัมณียสถาน เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระ
องค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง ๒ พระองค์ ทรงมาลา ฟ้อนรำเล่น
อยู่ ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง
๖๐ ปี เที่ยวอยู่ในป่าตัวเดียว เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อ
ใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี
เที่ยวไปในป่าเวลาเย็น ในเวลาเช้า เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราช-
สมบัติ เมื่อใด กุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง ๖๐ ปี เดินนำหน้าโขลง
หมู่ช้างพังไป ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้อง
ของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น เมื่อนั้น
จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น
ลำเนาป่าสองข้างทาง และสิ่งที่ให้ความน่าใคร่ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไป
ด้วยเนื้อร้าย เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์
ได้ทอดพระเนตรเห็นเนื้ออันเดินมาเป็นหมู่ๆ หมู่ละ ๕ ตัว และได้
ทอดพระเนตรเห็นพวกกินนรที่กำลังฟ้อนอยู่ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึง
ราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงกึกก้องแห่งแม่น้ำ อันมี
น้ำไหลหลั่ง และเสียงเพลงขับของพวกกินนร เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึก
ถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของนกเค้าที่เที่ยว
อยู่ตามซอกเขา เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์
จักได้ทรงสดับเสียงแห่งสัตว์ร้ายในป่า คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง แรด
และวัวลาน เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์
ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูง อันแวดล้อมไปด้วยนางนกยูง รำแพนหาง
จับอยู่เป็นกลุ่มบนยอดภูเขา เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูง มีขนปีกงามวิจิตรห้อมล้อม
ด้วยนางนกยูงทั้งหลายรำแพนหางอยู่ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราช-
สมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูงมีคอเขียว มีหงอน
แวดล้อมด้วยนางนกยูงฟ้อนอยู่ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีดอกบาน มีกลิ่นหอม
ฟุ้งไปในฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด
พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินอันเขียวชะอุ่ม ดารดาษไปด้วย
แมลงค่อมทองในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีดอกบานสะพรั่ง คือ
อัญชันเขียวที่กำลังผลิยอดอ่อน ต้นโลท และบัวบกมีดอกบานสะพรั่ง
มีกลิ่นหอมฟุ้งไปในฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
เมื่อใด พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่ไม้มีดอกบานสะพรั่ง และ
ปทุมชาติอันมีดอกร่วงหล่นในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น จักไม่ทรง
ระลึกถึงราชสมบัติ.
จบกัณฑ์หิมพานต์
ฐิตา:
จิตรกรรมฝาผนังปูนเปียก ภายในพระอุโบสถวัดราชาธิราช..
ภาพมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์ที่ ๒ พระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์
ช้างคู่บ้านคู่เมืองแก่พราหมณ์ต่างเมืองที่มาทูลขอ
ฝีมือวาดภาพโดยจิตรกรชาวอิตาเลียน "คาร์โล ริโกลิ"
[๑๐๗๘] สมเด็จพระนางผุสดีราชบุตรีผู้เรืองยศ ได้ทรงสดับคำที่ พระราชโอรส
และพระสุณิสาพร่ำสนทนากัน ทรงคร่ำครวญละห้อยไห้ว่า เรากินยาพิษ
เสียดีกว่า เราโดดเหวเสียดีกว่า เอาเชือกผูกคอตายเสียดีกว่า เหตุไฉน
ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด เหตุไฉน
ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด ผู้เป็นปราชญ์
เปรื่อง เป็นทานบดี ควรแก่การขอ ไม่ตระหนี่ เหตุไฉน ชาวนครสีพี
จึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด อันท้าวพระยาบูชา
ผู้มีเกียรติยศ เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรัก
ผู้ไม่มีโทษผิด ผู้เลี้ยงดูมารดาบิดา ประพฤติถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในราช-
สกุล เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มี
โทษผิด ผู้เกื้อกูลแก่พระเจ้าแผ่นดิน แก่เทพเจ้า แก่พระประยูรญาติ
และมิตรสหาย ผู้เกื้อกูลทั่วรัฐสีมามณฑล.
[๑๐๗๙] ชาวนครสีพีจะให้ขับพระราชโอรสผู้ไม่มีโทษผิดเสีย รัฐสีมามณฑลของ
พระองค์ก็จะเป็นเหมือนรังผึ้งร้าง เหมือนผลมะม่วงหล่นลงบนดิน
ฉะนั้น พระองค์อันพวกอำมาตย์ละทิ้งแล้ว จักต้องลำบากอยู่พระองค์
เดียว เหมือนหงส์มีขนปีกหลุดลำบากอยู่ในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น
ข้าแต่มหาราช เพราะฉะนั้น เกล้ากระหม่อมฉันขอกราบทูลพระองค์ว่า
ประโยชน์อย่าได้ล่วงพระองค์ไปเสียเลย ขอพระองค์อย่าทรงขับไล่
พระราชโอรสผู้ไม่มีความผิด เพราะถ้อยคำของชาวนครสีพีเลย.
[๑๐๘๐] เราทำความยำเกรงต่อพระราชประเพณี จึงขับไล่พระราชโอรสผู้เป็นธง
ของชาวสีพี เราจำต้องขับไล่ลูกของตน ถึงแม้จะเป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิต
ของเรา.
[๑๐๘๑] แต่ปางก่อนยอดธงเคยแห่ตามเสด็จพระเวสสันดร ดังดอกกรรณิการ์บาน
วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนยอดธงเคยแห่
ตามเสด็จพระเวสสันดรดังป่ากรรณิการ์ วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จ
แต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์เคยตามเสด็จพระ-
เวสสันดรเหมือนดอกกรรณิการ์บาน วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่
พระองค์เดียว แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์เคยตามเสด็จพระ-
เวสสันดร เหมือนป่ากรรณิการ์ วันนี้พระเวสสันดรจะต้องเสด็จแต่
พระองค์เดียว แต่ปางก่อนกองทหารรักษาพระองค์ใช้ผ้ากัมพลเหลือง
เมืองคันธาระ มีสีเหลืองเรืองรองเหมือนหิ่งห้อย เคยตามเสด็จพระ-
เวสสันดร วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อน
พระเวสสันดรเคยเสด็จด้วยช้างพระที่นั่ง วอและรถทรง วันนี้จะเสด็จ
ดำเนินด้วยพระบาทอย่างไร แต่ปางก่อนพระเวสสันดรเคยลูบไล้องค์
ด้วยจุรณแก่นจันทน์ ปลุกปลื้มด้วยการฟ้อนรำขับร้อง วันนี้จักทรงแบก
หนังเสืออันหยาบ ขวานและหาบเครื่องบริขารไปได้อย่างไร พระ-
เวสสันดรเมื่อเข้าไปอยู่ในป่าใหญ่ไฉนจะไม่ต้องขนเอาผ้าย้อมน้ำฝาดและ
หนังเสือไปด้วย พระเวสสันดร เมื่อเข้าไปอยู่ป่าใหญ่ ไฉนจะไม่ต้อง
ใช้ผ้าคากรอง พวกคนที่เป็นเจ้านายบวช จะทรงผ้าคากรองได้อย่างไร
หนอ เจ้ามัทรีจักนุ่งห่มผ้าคากรองได้อย่างไร แต่ปางก่อนเจ้ามัทรีเคยทรง
แต่ผ้ากาสิกพัสตร ผ้าโขมพัสตรและผ้าโกทุมพรพัสตร เมื่อต้องทรงผ้า
คากรองจักกระทำอย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม แต่ปางก่อน
เคยเสด็จด้วยคานหาม วอและรถทรง วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วย
พระบาทได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม มีฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม
ไม่เคยทำงานหนักเคยตั้งอยู่ในความสุข วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วย
พระบาทได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม มีฝ่าพระบาทอันอ่อนนุ่ม
ไม่เคยเสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ตั้งอยู่ในความสุข ทรงสวม
รองเท้าทองเสด็จดำเนิน วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วยพระบาทได้อย่างไร
เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม ทรงศิริ แต่ก่อนเคยเสด็จดำเนินข้างหน้า
นางข้าหลวงจำนวนพัน วันนี้จะเสด็จเดินป่าพระองค์เดียวได้อย่างไร
เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม ขวัญอ่อน พอได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนก็
สะดุ้ง วันนี้จักเสด็จเดินป่าได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม
ขวัญอ่อน ได้สดับเสียงนกฮูกคำรามร้อง ก็กลัวตัวสั่น เหมือนนางวารุณี
วันนี้จะเสด็จเดินป่าได้อย่างไร เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อัน
ว่างเปล่านี้ จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนาน ดังแม่นกถูกพรากลูก
เห็นแต่รังอันว่างเปล่าฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง
ก็จักซูบผอมเหมือนแม่นกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น
เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ
ดังแม่นกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระ-
หม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อันว่างเปล่านี้ จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาล-
นาน ดังนางนกออกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อ
เกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสองก็จักซูบผอม ดังนางนกออกถูก
พรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็น
ลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ ดังนางนกออกถูกพรากลูก
เห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อัน
ว่างเปล่านี้ ก็จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนานเป็นแน่แท้ เหมือน
นางนกจากพรากซบเซาอยู่ในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระ-
หม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักซูบผอมเป็นแน่แท้ เหมือนนางนก
จากพรากในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็น
ลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้นๆ เป็นแน่แท้ เหมือนนางนก
จากพรากในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น ก็เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันพร่ำเพ้อ
ทูลอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ ถ้าพระองค์ยังจะทรงให้ขับไล่พระเวสสันดรเสีย
จากแว่นแคว้น เกล้ากระหม่อมฉันเห็นจักต้องสละชีวิตเป็นแน่.
[๑๐๘๒] นางสนมกำนัลในของพระเจ้าสีวิราชทุกถ้วนหน้า ได้ยินคำรำพันของ
พระนางผุสดีแล้ว ก็พากันมาประชุมประคองแขนทั้งสองขึ้นร่ำไห้ พระ
โอรส พระธิดา และพระชายา ในนิเวศน์ของพระเวสสันดร นอน
กอดกันสะอื้นไห้ ดังหมู่ไม้รังอันถูกพายุพัดล้มระเนนระนาดแหลกลาญ
ฉะนั้น พวกชาววัง พวกเด็กๆ พ่อค้าและพวกพราหมณ์ ในนิเวศน์
ของพระเวสสันดรต่างก็ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ พวกกองช้าง
กองม้า กองรถและกองเดินเท้า ในนิเวศน์ของพระเวสสันดร ต่างก็
ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ ครั้นเมื่อสิ้นราตรีนั้น พระอาทิตย์ขึ้น
แล้ว พระเวสสันดรเสด็จมาสู่โรงทาน เพื่อทรงทานโดยรับสั่งว่า
ท่านทั้งหลายจงให้ผ้าแก่ผู้ต้องการ จงให้เหล้าแก่พวกนักเลงเหล้า จงให้
โภชนะแก่ผู้ต้องการโภชนะโดยทั่วถึง และอย่าเบียดเบียนพวกวณิพกผู้
มาในที่นี้อย่างไร จงเลี้ยงดูพวกวณิพกให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ พวก
เขาได้รับบูชาแล้วก็จงไป ครั้งนั้น เสียงดังกึกก้องโกลาหลน่าหวาดเสียว
เป็นไปในพระนครนั้นว่า ชาวพระนครสีพีจะขับไล่พระเวสสันดร
เพราะทรงบริจาคทาน ขอให้พระองค์ได้ทรงบริจาคทานอีกเถิด.
[๑๐๘๓] เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จออก วณิพกเหล่านั้นเป็น
ดังคนเมา คนเหน็ดเหนื่อย ลงนั่งปรับทุกข์กันว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีผิดเสียจากแว่นแคว้น ก็
เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้ที่ให้ผลต่างๆ เสีย ฉะนั้น ท่านผู้
เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสีย
จากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันทรงผลต่างๆ ฉะนั้น
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความ
ผิดเสียจากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันให้สิ่งที่ต้อง
การทุกอย่าง ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากันขับไล่
พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสียจากแว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วย
กันตัดต้นไม้อันนำรสที่ต้องการทุกอย่างมาให้ ฉะนั้น เมื่อพระมหาราชา
ผู้ผดุงสีพีรัฐจะเสด็จออกทั้งคนแก่ เด็ก และคนปานกลางต่างพากัน
ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะ
เสด็จออก พวกโหรหลวง พวกขันที มหาดเล็กและเด็กชายต่างก็
ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะ
เสด็จออก แม้หญิงทั้งหลายที่มีอยู่ในพระนครนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญ
สมณพราหมณ์และวณิพก ต่างก็ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า ท่าน
ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า เป็นการไม่ยุติธรรมเลย เพราะเหตุพระ-
เวสสันดรทรงบำเพ็ญทานอยู่ในพระราชวังของพระองค์ จำต้องเสด็จออก
จากแว่นแคว้นของพระองค์ เพราะถ้อยคำของชาวสีพี พระเวสสันดร
ทรงประทานช้างเจ็ดร้อยเชือก ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างอันมี
สายรัด มีทั้งกูบและสัปคับทอง มีนายควาญถือหอกซัดและขอขึ้นคอ
ประจำ แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดร
พระราชทานม้าเจ็ดร้อยตัว อันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เป็น
ม้าสินธพชาติอาชาไนย เป็นม้าฝีเท้าเร็ว มีนายสารถีถือทวนและธนูขึ้น
ขี่ประจำ แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดร
พระราชทานรถเจ็ดร้อยคัน อันผูกสอดเครื่องรบปักธงไชยครบครัน หุ้ม
ด้วยหนังเสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง
มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของ
พระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานสตรีเจ็ดร้อยคน นั่งประจำอยู่ใน
รถคันละคน สอดสวมสร้อยสังวาลตบแต่งด้วยเครื่องทอง มีเครื่อง
ประดับ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และเครื่องอาภรณ์ล้วนแต่สีเหลือง มีดวงตา
กว้าง ใบหน้ายิ้มแย้ม ตะโพกงาม เอวบางร่างน้อย แล้วเสด็จออกจาก
แว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานแม่โคนมเจ็ดร้อยตัว
พร้อมด้วยภาชนะเงินสำหรับรองน้ำนมทุกๆ ตัว แล้วเสด็จออกจาก
แว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานทาสีเจ็ดร้อยและ
ทาสเจ็ดร้อย แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดร
พระราชทานช้าง ม้า รถ และนารี อันประดับประดาอย่างสวยงาม
แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ ในกาลนั้น ได้มีสิ่งที่
น่ากลัวขนพองสยองเกล้า เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานมหาทานแล้ว
แผ่นดินก็หวั่นไหว ครั้งนั้นได้มีสิ่งที่น่ากลัว ขนพองสยองเกล้า
พระเวสสันดรทรงประคองอัญชลี เสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์.
ฐิตา:
[๑๐๘๔] ครั้งนั้น เสียงดังกึกก้องโกลาหลน่าหวาดเสียวเป็นไปในพระนครนั้นว่า
ชาวนครสีพีขับไล่พระเวสสันดร เพราะบริจาคทาน ขอให้พระองค์ทรง-
บริจาคทานอีกเถิด.
[๑๐๘๕] เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จออก วณิพกเหล่านั้นเป็น
ดังคนเมา คนเหน็ดเหนื่อย นั่งลงปรับทุกข์กัน.
[๑๐๘๖] พระเวสสันดร กราบทูลพระเจ้าสัญชัยผู้ประเสริฐธรรมิกราชว่า ขอเดชะ
ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเนรเทศข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะ
ไปยังภูเขาวงกต ข้าแต่พระมหาราช สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีมาแล้ว
ที่จะมีมา และที่มีอยู่ ยังไม่อิ่มด้วยกามเลย ก็ต้องไปสู่สำนักของ
พญายม ข้าพระองค์บำเพ็ญทานอยู่ในปราสาทของตน ยังชื่อว่าเบียด-
เบียนชาวนครของตน จะต้องออกจากแว่นแคว้นของตน เพราะถ้อย
คำของชาวสีพี ข้าพระองค์จักต้องได้เสวยความลำบากนั้นๆ ในป่าอัน
เกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค เป็นที่อยู่อาศัยของแรด และเสือเหลือง
ข้าพระองค์จะทำบุญทั้งหลาย เชิญพระองค์ประทับจมอยู่ในเปือกตมเถิด
พระเจ้าข้า.
[๑๐๘๗] ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอได้ทรงโปรดอนุญาตข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบวช
ข้าพระองค์บำเพ็ญทานอยู่ในปราสาทของตน ยังชื่อว่าเบียดเบียนชาว
นครของตน จะต้องออกจากแว่นแคว้นของตน เพราะถ้อยคำของชาว
สีพี จักต้องได้เสวยความลำบากนั้นๆ ในป่าอันเกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค
เป็นที่อาศัยของแรดและเสือเหลือง ข้าพระองค์จะกระทำบุญทั้งหลาย
จะไปสู่เขาวงกต.
[๑๐๘๘] ลูกเอ๋ย แม่อนุญาตให้ลูก การบวชของลูกจงสำเร็จ ส่วนแม่มัทรีผู้มี
ความงาม ตะโพกผึ่งผาย เอวบางร่างน้อย จงอยู่กับลูกๆ เถิด จักทำ
อะไรในป่าได้.
[๑๐๘๙] ข้าพระองค์ไม่พยายามจะนำแม้ซึ่งนางทาสีไปสู่ป่า โดยเขาไม่ปรารถนา
ถ้าเขาปรารถนาจะตามไป (ก็ตามใจ) ถ้าเขาไม่ปรารถนา ก็จงอยู่.
[๑๐๙๐] ลำดับนั้น พระมหาราชาเสด็จดำเนินไปทรงวิงวอนพระสุณิสาว่า ดูกร
แม่มัทรี ผู้มีร่างกายอันชโลมจันทน์ เจ้าอย่างได้ทรงธุลีละอองเลย
แม่มัทรีเคยทรงผ้ากาสี อย่าได้ทรงผ้าคากรองเลย การอยู่ในป่าเป็นความ
ลำบาก ดูกรแม่มัทรี ผู้มีลักขณาอันงาม เจ้าอย่าไปเลยนะ.
[๑๐๙๑] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้งามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระสัสสุระนั้นว่า
ความสุขอันใดจะพึงมีแก่เกล้ากระหม่อมฉัน โดยว่างเว้นพระเวสสันดร
เกล้ากระหม่อมฉันไม่พึงปรารถนาความสุขอันนั้น.
[๑๐๙๒] พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐ ได้ตรัสกะพระนางมัทรีนั้นว่า เชิญฟังก่อน
แม่มัทรี สัตว์อันจะรบกวนยากที่จะอดทนได้ มีอยู่ในป่าเป็นอันมาก
คือ เหลือบ ตั๊กแตน ยุง และผึ้งมันจะพึงเบียดเบียนเธอในป่านั้น
ความทุกข์อย่างยิ่งนั้นจะพึงมีแก่เธอ เธอจะต้องได้พบสัตว์ที่น่ากลัวอื่นๆ
ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำ เช่นงูเหลือมเป็นสัตว์ไม่มีพิษ แต่มันมีกำลังมาก
มันรัดมนุษย์ หรือแม้เนื้อที่มาใกล้ๆ ด้วยลำตัว เอามาไว้ในขนดหางของ
มัน เนื้อร้ายอย่างอื่นๆ เช่นหมีมีขนดำ คนที่มันพบเห็นแล้ว หนีขึ้น
ต้นไม้ก็ไม่พ้น ควายเปลี่ยวขวิดเฝืออยู่ เขาทั้งคู่ปลายคมกริบ เที่ยวอยู่
ในถิ่นนี้ ใกล้ฝั่งแม่น้ำโสตุมพะ ดูกรแม่มัทรี เธอเปรียบเหมือนแม่โค
รักลูก เห็นฝูงเนื้อและโคถึกอันท่องเที่ยวอยู่ในป่า จักทำอย่างไร ดูกร
แม่มัทรี เธอได้เห็นทะโมนไพรอันน่ากลัวที่ประจวบเข้าในหนทางที่
เดินได้ยาก ความพรั่นพรึงจักต้องมีแก่เธอ เพราะไม่รู้จักเขต เมื่อ
เธออยู่ในพระนคร ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอน ย่อมสะดุ้งตกใจ เธอไป
ถึงเขาวงกตจักทำอย่างไร เมื่อฝูงนกพากันจับเจ่าในเวลาเที่ยง ป่าใหญ่
เหมือนส่งเสียงกระหึ่ม เธอปรารถนาจะไปในป่าใหญ่นั้นทำไม.
[๑๐๙๓] พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความสวยงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระ-
เจ้าสัญชัยนั้นว่า พระองค์ทรงพระกรุณาตรัสบอกสิ่งที่น่ากลัว อันมีอยู่ใน
ป่า แก่เกล้ากระหม่อมฉัน เกล้ากระหม่อมฉันจักยอมทนต่อสู้สิ่งน่ากลัว
ทั้งปวงนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่
นอน เกล้ากระหม่อมฉันจักแหวกต้นเป้ง คา หญ้าคมบาง แฝก
หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย ไปด้วยอก เกล้ากระหม่อมฉันจักไม่เป็น
ผู้อันพระเวสสันดรนำไปได้ยาก อันว่ากุมารีย่อมได้สามีด้วยวัตรจริยา
เป็นอันมาก คือ ด้วยการอดอาหาร ตรากตรำท้อง ด้วยการผูกคาดไม้
คางโค ด้วยการบำเรอไฟ และด้วยการดำน้ำ ความเป็นหม้าย เป็น
ความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉัน
จักไปแน่นอน ชายใดจับมือหญิงหม้ายผู้ไม่ปรารถนาฉุดคร่าไป ชายนั้น
เป็นผู้ไม่ควรบริโภคของที่เป็นเดนของหญิงหม้ายนั้นโดยแท้ ความเป็น
หม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้า-
กระหม่อมฉันจักไปแน่นอน ชายอื่นให้ทุกข์มากมายมิใช่น้อย ด้วยการ
จับผมเตะถีบจนล้มลงที่พื้นดิน แล้วไม่หลีกหนี ความเป็นหม้ายเป็นความ
เผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไป
แน่นอน พวกเจ้าชู้ผู้ต้องการหญิงหม้ายที่มีผิวพรรณผุดผ่อง ให้ของเล็ก
น้อยแล้ว สำคัญตัวว่าเป็นผู้มีโชคดี ย่อมฉุดคร่าหญิงหม้ายผู้ไม่ปรารถนา
ไป ดังฝูงกากลุ้มรุมนกเค้าแมว ฉะนั้น ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อน
ในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน
อันว่าหญิงหม้ายแม้จะอยู่ในตระกูลญาติ อันเจริญรุ่งเรืองไปด้วยเครื่อง
ทอง จะไม่ได้รับคำติเตียน ล่วงเกินจากพี่น้องและเพื่อนฝูงก็หาไม่
ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ
เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน แม่น้ำไม่มีน้ำก็เปล่าดาย แว่นแคว้น
ไม่มีพระราชาก็เปล่าดาย แม้หญิงเป็นหม้ายก็เปล่าดาย ถึงแม้หญิงนั้น
จะมีพี่น้องตั้งสิบคน ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่
พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน อันว่าธงเป็น
เครื่องหมายแห่งรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏแห่งไฟ พระราชาเป็นสง่า
ของแคว้น ภัสดาเป็นสง่าของหญิง ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อน
ในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน
หญิงจนผู้ทรงเกียรติย่อมร่วมสุขทุกข์ของสามีที่จน หญิงมั่งคั่งผู้ทรงเกียรติ
ย่อมร่วมสุขทุกข์ของสามีที่มั่งคั่ง เทพเจ้าย่อมสรรเสริญหญิงนั้นแล
เพราะเจ้าหล่อนทำกิจที่ทำได้ยาก เกล้ากระหม่อมฉันจักบวชติดตามพระ-
สวามีไปทุกเมื่อ แม้เมื่อแผ่นดินยังไม่ทำลาย ความเป็นหม้ายเป็นความ
เผ็ดร้อนของหญิง เกล้ากระหม่อมฉันว่างเว้นพระเวสสันดรเสียแล้ว
ไม่พึงปรารถนาแม้แผ่นดินอันมีสาครเป็นขอบเขต ทรงไว้ซึ่งเครื่องปลื้มใจ
เป็นอันมาก บริบูรณ์ด้วยรัตนะต่างๆ เมื่อสามีตกทุกข์แล้ว หญิงเหล่าใด
ย่อมหวังสุขเพื่อตน หญิงเหล่านั้นเลวทรามหนอ หัวใจของหญิงเหล่านั้น
เป็นอย่างไรหนอ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐเสด็จออกแล้ว เกล้า-
กระหม่อมฉันจักขอติดตามพระองค์ไป เพราะพระองค์ทรงประทานสิ่งที่
น่าปรารถนาทั้งปวงแก่เกล้ากระหม่อมฉัน.
[๑๐๙๔] พระมหาราชาได้ตรัสกะพระนางมัทรีผู้มีความงามทั่วพระวรกายว่า ดูกร
แม่มัทรีผู้มีศุภลักษณ์ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินาลูกรักทั้งสองของเธอนี้
ยังเป็นเด็ก เจ้าจงละไปไว้เถิด พ่อจะรับเลี้ยงดูเด็กทั้งสองนั้นไว้เอง.
[๑๐๙๕] พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้า-
สญชัยนั้นว่า เทวะพ่อชาลีและแม่กัณหาชินาทั้งสอง เป็นลูกสุดที่รัก
ของเกล้ากระหม่อมฉัน ลูกทั้งสองนั้น จักยังหัวใจของเกล้ากระหม่อม
ฉันผู้มีชีวิตอันเศร้าโศกให้รื่นรมย์ในป่านั้น.
[๑๐๙๖] พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ได้ตรัสกะพระนางมัทรีนั้นว่า เด็ก
ทั้งสองเคยเสวยข้าวสาลีอันปรุงด้วยเนื้อสะอาด เมื่อต้องเสวยผลไม้
จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยเสวยในถาดทองหนักร้อยปละ อันเป็น
ของประจำราชสกุล เมื่อต้องเสวยในใบไม้ จักทำอย่างไร เด็กทั้งสอง
เคยทรงภูษาแคว้นกาสี ภูษาโขมรัฐและภูษาโกทุมพรรัฐ เมื่อต้องทรงผ้า
คากรอง จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยไปด้วยคานหาม วอและรถ
เมื่อต้องเดินด้วยเท้าเปล่า จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยบรรทมในเรือน
ยอดมีบานหน้าต่างปิดสนิท ไม่มีลม เมื่อต้องบรรทมที่โคนไม้ จักทำ
อย่างไร เด็กทั้งสองเคยบรรทมบนพรหมอันปูลาดไว้อย่างวิจิตรบนบัลลังก์
เมื่อต้องบรรทมเครื่องลาดหญ้า จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยลูบไล้ด้วย
กฤษณา และจันทน์หอม เมื่อต้องทรงละอองธุลี จักทำอย่างไร เด็ก
ทั้งสองเคยตั้งอยู่ในความสุข มีผู้พัดวีให้ด้วยแส้จามรีและหางนกยูง
ต้องถูกเหลือบและยุงกัด จักทำอย่างไร.
[๑๐๙๗] พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้า-
สญชัยนั้นว่า เทวะพระองค์อย่าได้ทรงปริเวทนา และอย่าได้ทรงเสีย
พระทัยเลย เกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองจักเป็นอย่างไร เด็กทั้งสองก็จัก
เป็นอย่างนั้น พระนางมัทรีผู้มีความงามทั่วพระวรกาย ครั้นกราบทูลคำนี้
แล้วเสด็จหลีกไป พระนางผู้ทรงศุภลักษณ์ ทรงพาพระโอรสและพระ-
ธิดาเสด็จไปตามทางที่พระเจ้าสีพีเคยเสด็จ.
[๑๐๙๘] ลำดับนั้น พระเวสสันดรขัตติราช ครั้นพระราชทานทานแล้ว ทรง
ถวายบังคมพระราชบิดาพระราชมารดา และทรงกระทำประทักษิณแล้ว
เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่งอันเทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว ทรงพาพระโอรส
พระธิดาและพระชายาเสด็จไปสู่ภูเขาวงกต.
[๑๐๙๙] ลำดับนั้น พระเวสสันดรราช เสด็จเข้าไปที่หมู่ชนเป็นอันมาก ตรัส
บอกลาว่า เราขอไปละนะ ขอญาติทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีโรคเถิด.
[๑๑๐๐] เมื่อพระเวสสันดรเสด็จออกจากพระนคร ทรงเหลียวมาทอดพระเนตร
แม้ครั้งนั้น แผ่นดินอันมีขุนเขาสิเนรุและราวป่าเป็นเครื่องประดับก็
หวั่นไหว.
[๑๑๐๑] เชิญดูเถิดมัทรี ที่ประทับของพระเจ้าสีพีราชปรากฏเป็นรูปอันน่ารื่นรมย์
ส่วนมณเฑียรของเราเป็นดังเรือนเปรต.
[๑๑๐๒] พราหมณ์ทั้งหลายได้ตามพระเวสสันดรนั้นไป เขาได้ขอม้ากะพระองค์
พระองค์อันพราหมณ์ทั้งหลายทูลขอแล้ว ทรงมอบม้า ๔ ตัว ให้แก่
พราหมณ์ ๔ คน.
[๑๑๐๓] เชิญเถิดมัทรี ละมั่งทองร่างงดงาม ใครๆ ไม่เห็น เป็นดังม้าที่ชำนาญนำ
เราไป.
[๑๑๐๔] ต่อมาพราหมณ์ คนที่ห้าในที่นั้นได้มาขอราชรถกะพระองค์ พระองค์ทรง
มอบรถให้แก่เขา และพระทัยของพระองค์มิได้ย่อท้อเลย.
[๑๑๐๕] ลำดับนั้น พระเวสสันดรราชให้คนของพระองค์ลงแล้ว ทรงปลอบให้
ปลงพระทัยมอบรถม้าให้แก่พราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์.
[๑๑๐๖] ดูกรมัทรี เธอจงอุ้มกัณหานี้ผู้เป็นน้องจะเบากว่า พี่จักอุ้มชาลี เพราะ
ชาลีเป็นพี่คงจะหนัก.
[๑๑๐๗] พระราชาทรงอุ้มพระโอรส ส่วนพระราชบุตรีทรงอุ้มพระธิดา ทรงยินดี
ร่วมกันดำเนิน ตรัสปราศรัยด้วยน้ำคำอันน่ารักกะกันและกัน.
(นี้) ชื่อทานกัณฑ์
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version