กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ พระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์ มาทูลขอ
พระนางมัทรีจากพระเวสสันดร [๑๒๐๒] ลำดับนั้น เมื่อราตรีสิ้นไป พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมา
เวลาเช้าท้าว
สักกเทวราชทรงแปลงเพศเป็นอย่างพราหมณ์ ได้ปรากฏแก่สองกษัตริย์
นั้น.
[๑๒๐๓] พระคุณเจ้าไม่มีโรคาพาธหรือหนอ พระคุณเจ้าทรงพระสำราญดีหรือ
ทั้งมูลมันผลไม้มีมากหรือ เหลือบยุงและสัตว์เสือกคลานมีน้อยแล
หรือ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤคไม่มีมาเบียดเบียนแลหรือ.
[๑๒๐๔] ดูกรพราหมณ์ เราทั้งหลายไม่มีโรคาพาธเบียดเบียน อนึ่งเราทั้งหลาย
เป็นสุขสำราญดี เราเยียวยาอัตภาพด้วยการหาผลาหารสะดวกดีทั้งมูลมัน
ผลไม้ก็มีมาก เหลือบ ยุง สัตว์เสือกคลานก็มีน้อย อนึ่ง ในป่าอัน
เกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ก็ไม่มีมาเบียดเบียนแก่เรา
เมื่อพวกเรามา
อยู่ในป่า มีชีวิตอันตรมเตรียมมาตลอด ๗ เดือน เราพึงเห็นท่านผู้เป็น
พราหมณ์บูชาไฟ ทรงเพศอันประเสริฐ ถือไม้เท้าสีดังผลมะตูม และ
ลักจั่นน้ำนี้เป็นคนที่สอง ดูกรพราหมณ์ ท่านมาดีแล้ว อนึ่งท่านมิใช่
มาร้าย ดูกรท่านผู้เจริญ เชิญท่านเข้าไปภายในเถิด เชิญล้างเท้าของ
ท่านเถิด ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะทราง ผลหมากเม่า มีรส
หวานปานน้ำผึ้ง เชิญเลือกฉันแต่ผลที่ดีๆ เถิดท่านพราหมณ์ แม้น้ำ
ฉันนี้ก็เย็นสนิท เรานำมาแต่ซอกเขา ดูกรพราหมณ์ ถ้าท่านจำนงหวัง
ก็เชิญดื่มตามสบายเถิด ดังเราขอถามท่านมาถึงป่าใหญ่เพราะเหตุการณ์
อะไรหนอ เราถามแล้วขอท่านจงบอกความนั้นแก่เราเถิด.
[๑๒๐๕]
ห้วงน้ำ (ในปัญจมหานที) เต็มเปี่ยม ไม่มีเวลาเหือดแห้งฉันใด
พระองค์มีพระหฤทัยเต็มไปด้วยศรัทธา ฉันนั้น เกล้ากระหม่อมฉัน
กราบทูลขอแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาพระราชทานพระมเหสี แก่
เกล้ากระหม่อมฉันเถิด.
[๑๒๐๖] ดูกรพราหมณ์
เราย่อมให้มิได้หวั่นไหว ท่านขอสิ่งใดเราก็จะให้สิ่งนั้น เราไม่ซ่อนเร้นสิ่งที่มีอยู่ ใจของเรายินดีในทาน.
[๑๒๐๗] พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐ ทรงกุมหัตถ์พระนางมัทรี จับเต้าน้ำหลั่ง
อุทกวารีพระราชทานพระนาง ให้เป็นทานแก่พราหมณ์
ขณะนั้น
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงบริจาคพระนางมัทรีให้เป็นทานเกิดความอัศจรรย์น่า
สยดสยองโลมชาติก็ชูชัน เมทนีดลก็กัมปนาทหวั่นไหว พระนางเจ้า-
มัทรีมิได้มีพระพักตร์เง้างอด มิได้ทรงขวยเขิน และมิได้ทรงกรรแสง
ทรงเพ่งดูพระราชสวามีโดยดุษณีภาพ โดยทรงเคารพเชื่อถือว่า ท้าวเธอ
ทรงทราบซึ่งสิ่งอันประเสริฐ.
[๑๒๐๘]
เมื่อตถาคตเป็นพระเวสสันดร บริจาคชาลีกัณหาชินาซึ่งเป็นธิดาและ
พระมัทรีเทวี ผู้เคารพยำเกรงในพระราชสวามี มิได้คิดเสียดายเลย
เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น บุตรทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเราก็
หามิได้ พระมัทรีเทวีไม่เป็นที่รักของเราก็หามิได้ แต่สัพพัญญุตญาณ
เป็นที่รักของเรา ฉะนั้นเราจึงได้ให้ของอันเป็นที่รัก.
[๑๒๐๙] ข้าพระบาทเป็นพระมเหสีของพระองค์ ตั้งแต่ยังแรกรุ่นสาว
พระองค์
ก็เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในข้าพระบาท พระองค์ปรารถนาจะพระราชทานข้า
พระบาทแก่ผู้ใด ก็พึงพระราชทานได้ทรงปรารถนาจะขายหรือจะฆ่า ก็
พึงทรงขายทรงฆ่าได้.
[๑๒๑๐] ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงทราบชัดซึ่งความทรงดำริของสองกษัตริย์แล้ว
จึงตรัสชมดังนี้ว่า
อันว่าข้าศึกทั้งมวลล้วนเป็นของทิพย์ (อันห้ามเสียซึ่ง
ทิพสมบัติ) และเป็นของมนุษย์ (อันห้ามเสียซึ่งมนุษย์สมบัติ) พระ-
องค์ทรงชนะได้แล้วปฐพีก็บันลือลั่น เสียงสนั่นบันลือไปถึงไตรทิพย์
สายฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบโดยรอบ เสียงสะท้านปรากฏดังหนึ่งว่าเสียง
ภูเขาถล่มทลาย เทพเจ้าสองหมู่ผู้สิงสถิตอยู่ที่
นารทบรรพตถวาย
อนุโมทนาแก่พระหน่อทศพลเวสสันดรนั้นว่า พระอินทร์ พระพรหม
ท้าวประชาบดี จันทเทพบุตร พระยม ทั้งท้าวเวสสวัณมหาราช และ
เทพเจ้าทั้งปวง
ย่อมถวายอนุโมทนาว่า พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ ทรง
กระทำกรรมที่ทำได้ยาก เมื่อคนดีทั้งหลายให้สิ่งที่ให้ได้ยาก กระทำ
กรรมที่ทำได้ยาก คนไม่ดีย่อมทำตามไม่ได้ เพราะว่าธรรมของสัตบุรุษ
ทั้งหลายอันอสัตบุรุษตามได้โดยยาก เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ คติของ
สัตบุรุษและของอสัตบุรุษ ย่อมต่างกัน อสัตบุรุษ ย่อมไปนรก
สัตบุรุษมีสวรรค์เป็นที่ไป การที่พระองค์เสด็จมาอยู่ในป่า ได้พระราช-
ทานสองพระราชกุมารและพระมเหสีให้เป็นทานนี้ ชื่อว่าเป็นยานอัน
ประเสริฐ ไม่เป็นยานก้าวลงสู่อบายภูมิ ขอ
ปุตตทารมหาทานของพระ
องค์นั้น จงเผล็ดผลในสรวงสวรรค์.
[๑๒๑๑] ข้าพเจ้าขอถวายพระนางเจ้ามัทรีพระมเหสี ผู้งามทั่วสรรพางค์
คืนให้
พระคุณเจ้า พระองค์เท่านั้นเป็นผู้สมควรแก่พระมัทรี และพระมัทรีก็
คู่ควรกับพระราชสวามี น้ำนมและสังข์ทั้งสองนี้มีสีเสมอกัน ฉันใด
พระองค์และพระมัทรีก็มีพระหฤทัยเสมอกัน ฉันนั้น ทั้งสองพระองค์
เป็นกษัตริย์สมบูรณ์ด้วยพระโคตร เป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายพระชนนี
และชนกทรงถูกขับไล่จากแว่นแคว้น มาอยู่ในอาศรมราวป่า บุญทั้งหลาย
ที่พระองค์
กระทำมาแล้วฉันใด ขอพระองค์ทรงให้ทานกระทำบุญอยู่ร่ำไป
ฉันนั้น.
[๑๒๑๒] ข้าแต่พระราชฤาษี หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมเทพ มาในสำนักของ
พระองค์ ขอพระองค์จงทรงเลือกเอาพร หม่อมฉัน
ขอถวายพร ๘ ประ-
การแก่พระองค์.
[๑๒๑๓] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งสรรพสัตว์ ถ้าพระองค์จะประสาทพระ-
พรแก่หม่อมฉันไซร้ ขอให้พระบิดาจงมารับหม่อมฉัน
ขอพระบิดาพึง
ทรงต้อนรับหม่อมฉันผู้ออกจากป่านี้ ไปถึงเรือนของตนด้วยราชอาสน์
พรนี้เป็นที่ ๑ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ขอให้หม่อมฉันไม่
พึงพอใจซึ่งการฆ่าคน แม้ผู้นั้นจะเป็นนักโทษถึงประหารชีวิตกระทำผิด
อย่างร้ายกาจ ขอให้หม่อมฉันพึงปล่อยให้พ้นจากการถูกประหารชีวิต
พรนี้เป็นที่ ๒ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ขอให้ประชาชนทั้งปวง
ทั้งแก่เฒ่า เด็ก และปานกลาง พึงเข้ามาอาศัยหม่อมฉันเลี้ยงชีวิต
พรนี้เป็นที่ ๓ เป็นพรที่หม่อมฉันไม่พึงคบหาภรรยาผู้อื่น พึงพอใจแต่
ในภรรยาของตน ไม่พึงลุอำนาจแห่งหญิงทั้งหลาย พรนี้เป็นที่ ๔ เป็น
พรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ข้าแต่ท้าวสักกะ ขอให้บุตรของหม่อม
ฉัน ผู้พลัดพรากไปนั้น พึงมีอายุยืนนาน พึงครองซึ่งแผ่นดินโดย
ธรรมเถิด พรนี้เป็นที่ ๕ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ตั้งแต่
วันที่หม่อมฉันกลับคืนถึงพระนครเมื่อราตรีสิ้นไป พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมา
แล้ว ขอให้อาหารอันเป็นทิพย์พึงปรากฏ พรนี้เป็นที่ ๖ เป็นพรที่หม่อม
ฉันปรารถนา อนึ่งเมื่อหม่อมฉันให้ทานอยู่ ขอไทยธรรมอย่าได้หมดสิ้น
ไป เมื่อกำลังให้ ขอให้หม่อมฉันทำจิตให้ผ่องใส ครั้นให้แล้วขอให้
หม่อมฉันไม่พึงเดือดร้อนใจในภายหลัง พรนี้เป็นที่ ๗ เป็นพรที่หม่อมฉัน
ปรารถนา อนึ่ง เมื่อล่วงพ้นจากอัตภาพนี้ไป ขอให้หม่อมฉันครรไลยัง
โลกสวรรค์ ให้ได้ไปถึงชั้นดุสิต อันเป็นชั้นวิเศษ ครั้นจุติจากชั้นดุสิต
นั้นแล้ว พึงมาสู่ความ เป็นมนุษย์ แล้วไม่พึงเกิดต่อไป พรนี้เป็นที่
๘ เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา.
[๑๒๑๔] ครั้นท้าวสักกะจอมเทพทรงสดับพระดำรัสของ พระมหาสัตว์ เวสสันดร
นั้นแล้ว ได้ตรัสดังนี้ว่าไม่นานนักดอก สมเด็จพระบิดาบังเกิดเกล้าของ
พระองค์ จักเสด็จมาทรงเยี่ยมพระองค์ ครั้นตรัสพระดำรัสเท่านี้แล้ว
ท้าวสุชัมบดีมฆวาฬเทวราช ทรงพระราชทานพรแก่พระเวสสันดรแล้ว
ได้เสด็จกลับไปยังหมู่สวรรค์.
(นี้) ชื่อสักกบรรพ