ความอัศจรรย์ในพระปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า
นพ. คงศักดิ์ ตันไพจิตร
คนเราทุกข์เพราะความคิดและอัตตาตัวตน เพราะคิดเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ในขณะที่หุ่นยนต์ซึ่งเคลื่อนไหวได้เช่นกัน ทำงานตามสั่งในรูปแบบที่กำหนดไว้โดยปราศจากทุกข์ ไม่แสดงอารมณ์ เพราะปราศจากอัตตาตัวตน ไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายกับอัตตาตัวตนและความคิด
แนวความคิดเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เดิมนั้นเชื่อกันว่าเป็นเรื่องเหลือวิสัยที่จะทำให้หุ่นยนต์คิดหรือแสดงอารมณ์ แต่ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่ MIT (Massachusetts Institute of Technology) สามารถสร้างหุ่นยนต์ให้มีการแสดงอารมณ์ตอบโต้กับสังคมได้สำเร็จแล้ว โดยใช้หลักการที่ว่าอารมณ์อาศัยการเปรียบเทียบกำลังแรงของคลื่นประสาทขณะที่กำลังมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับบุคคลต่างๆ มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ในขณะที่มีความสัมพันธ์ต่ออารมณ์ประเภทต่างๆ แล้วนำข้อมูลจากระบบความเหลื่อมล้ำต่อสังคมเหล่านี้รวบรวมบรรจุลงในคำสั่งใช้งาน (software) กับหุ่นยนต์ ผลก็คือหุ่นยนต์นั้นสามารถแสดงอารมณ์ได้เหมือนเด็กๆ
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์กำลังตื่นตัวกันมาก และกำลังค้นคว้าและใกล้กับการค้นพบที่สำคัญ ซึ่งจะไม่ต่างจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบมากว่า ๒๕๙๐ปีแล้ว
นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้พยายามค้นคว้าวิจัยมากว่า๑๐๐ปีแล้ว ยังไม่ค้นพบว่า อัตตาตัวตน ซ่อนอยู่ที่ไหนในสมอง และยังไม่มีเครื่องมือสำหรับตรวจวัดจิต ได้แต่รู้ว่าสมองทำงานอย่างไรในส่วนไหนโดยการใช้วัดคลื่นสมอง EEG (Electro Encephalogram), MRI (Magnetic Resonance Imaging) Scan, PET (Positron Emission Tomography) Scan เป็นต้น
พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบว่า นอกจากจิตจะทำหน้าที่ของความเป็นธาตุรู้ต่อสิ่งภายนอกทั้งปวงโดยผ่านทางอายตนะทั้ง๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) แล้ว หากเฝ้าดูรู้ทันตนเองด้วยสติ ความรู้สึกตัว ที่ตัวกายและที่ตัวจิตของตนเอง (ประดุจนายด่านเฝ้าประตูเมืองแห่งจิต) จิตนั้นจะสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำรวจกลไกการทำงานของกายและจิตของตนเองพร้อมกันไปด้วย สามารถเห็นจิตใจของตนเอง เห็นสภาพที่แท้จริงของจิตเองว่ามันไร้ปราศจากตัวตน ไม่มีตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด ดังที่พระองค์ทรงสรุปว่า
“จิตท่องเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ใครควบคุมจิตนี้ได้ ย่อมพ้นจากบ่วงมาร” (ธรรมบทข้อที่ ๓๗)
พระองค์ทรงค้นพบและเห็นสภาพที่แท้จริงของจิตว่าเป็น อนัตตา และเห็นกลไกการทำงานของจิตซึ่งส่ายแส่ออกไปสู่โลกภายนอกทางอายตนะทั้ง๖ ก่อให้เกิดความดิ้นรนทะยานอยาก แต่ขาดการรู้การเห็นตัวของมันเอง จึงเป็นทุกข์เพราะไม่รู้เท่าทันความคิด และอารมณ์ที่เกิดจากการยึดมั่นในวัตถุ และสมมติบัญญัติต่างๆที่กำลังสัมผัสอยู่นั้นๆ
ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่า Neuron หรือเซลล์ประสาทในสมองคนไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ เพียงแต่เป็นเสมือน Meat machine คือ Biological CPU เป็นคอมพิวเตอร์เนื้อหรือชีวภาพ และแต่ละNeuron มีการติดต่อเชื่อมโยงกับneuronsตัวอื่นๆอีกมากมาย อาจมีเครือข่ายติดต่อมากถึง 1,000 ตัวก็มี ดังนั้นneuronแต่ละตัวจึงทำงานอย่างสลับซับซ้อนเป็น sophisticated CPU และไม่ใช่ทำงานโดดๆแบบ CPU (Central Processing Unit) อย่างในคอมพิวเตอร์ (แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์CPUทำงานเร็วกว่าneuronมากจึงคำนวณข้อมูลต่างๆได้รวดเร็วกว่าสมองคนมากโดยเฉพาะในเชิงกำลังคำนวณอย่างต่อเนื่อง Sequential processing คือชนะด้วยกำลังแรงหรือ sheer force และความเร็ว โดยอาศัย Software ให้คำสั่งที่เจาะจงเฉพาะเรื่องๆไป)
ส่วนในสมองคนนั้น มีเซลล์ประสาทถึง ๑๐ พันล้าน Neurons (10 billion neurons) จากเซลล์ในสมองทั้งหมด ๑ล้านๆตัว (one trillion cells) การทำงานของสมองเป็นไปในลักษณะของ massive Parallel computing/processing คือทำงานโดยการคำนวณแบบคู่ขนานเป็น teamwork ของเซลล์ประสาทนับล้านตัว (millions of neurons) พร้อมกันไป นักวิทยาศาสตร์หลายๆท่านเช่น Stephen Hawking เชื่อว่า Parallel computing/processing เป็นตัวก่อเกิดของ Artificial Intelligence
ปัจจุบันมีการทุ่มทุนทั้งในสหรัฐเช่น NASA ยุโรป และ ญี่ปุ่นอาทิ รัฐบาลญี่ปุ่นให้งบประมาณปีละ $3,000 ล้านตลอดช่วง 10 ปี ร่วมกับชาติอื่นๆในการสร้างสมองเทียมด้วยกลุ่มคอมพิวเตอร์ในลักษณะของเครือข่าย Neural network ซึ่งกลุ่ม Brussels group นำโดย Dr. de Garis สามารถสร้างเลียนแบบการเรียนของสมองเด็ก ได้สร้างสมองเทียมเทียบได้กับเซลล์ประสาทขนาด 40 ล้านตัว neurons เชื่อมโยงสัมพันธ์กันเป็นกลุ่มๆขนาด 32,700 เครือข่าย (linked clusters) จำลองเลียนแบบการทำงานของ Neurons ในสมองคนโดยให้ทำงานด้วย Parallel computing/processing
นอกจากนี้ยังต้องอาศัย complex softwares ให้รู้จักตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมเพื่อกระตุ้นการทำงานของกลุ่มคอมพิวเตอร์ เชื่อกันว่าภายใน ๑๐ปี มนุษย์จะสามารถเข้าใจการทำงานของสมองและการก่อกำเนิดของสมองเทียม Artificial Intelligence ตลอดถึงความเกี่ยวเนื่องกับจิตวิญญาณได้ดีมากขึ้น
Stephen Hawking ถึงกับทำนายไว้ว่าภายใน ๒๐ ปีข้างหน้า คอมพิวเตอร์ในราคาพันเหรียญสหรัฐอาจทำงานได้อย่างซับซ้อนเสมอกับสมองคน ด้วยการทำงานในลักษณะคำนวณคู่ขนาน (Parallel Processors) เลียนแบบการทำงานของสมองและสามารถทำให้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ด้วยอัจฉริยภาพ (Intelligent way) และด้วยจิตวิญญาณ (Conscious way)
จิตโดยสภาพที่แท้จริงอาจเป็นเพียงกระแสของแรงกระตุ้น (สังขาร Mental Impulse) ที่ต่อเนื่องเป็นวงจรวัฏฏจักรดังปรากฏในปฏิจจสมุปบาท หมุนเวียนต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วและไหลต่อเนื่องตลอดไม่ขาดสาย ประดุจลำน้ำที่ฉีดออกจากท่อสายยาง ดูเสมือนเป็นลำน้ำทั้งลำ แต่ที่แท้คือหยดน้ำของความคิดที่ไม่ขาดสาย หลอกให้เห็นเป็นลำ หลงใหลว่าเป็น อัตตาตัวตน เพราะเสริมไว้ด้วยอวิชชาความที่ไม่รู้ความจริง ซึ่ง David Hume, Western psychologist ก็มีความคิดเห็นในแนวนี้
พุทธศาสนายืนหยัดผ่านการพิสูจน์มากว่า ๒๕๐๐ ปี และจะยืนหยัดตลอดไป เพราะธรรมเป็นเรื่องของความจริง การตรัสรู้ของพุทธองค์เป็นเรื่องของการค้นคว้าพิสูจน์หาความจริงของกายและจิตโดยเฉพาะเรื่องจิต ความจริงที่ทรงค้นพบเป็นรากฐานและรูปแบบสำหรับปฏิบัติจิตให้พ้นทุกข์ และได้รับการพิสูจน์ยืนยันจากการรู้ธรรมเห็นธรรมของอริยสาวกทั้งหลาย นับจากอดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งรู้เห็นในความจริงสิ่งเดียวกันกับพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงอย่างยิ่ง(หรือจะว่าเป็นความลับสุดยอด)ของมนุษย์ ได้แก่ อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นขบวนการของเหตุ (สมุทัย) และผล (ทุกข์) แห่งทุกข์ ตลอดถึงเหตุ (มรรค) และผล (นิโรธ) ของการดับทุกข์
ทรงเห็นแจ้งในปฏิจจสมุปบาท หรือ วงจรกลไกการเกิดและการดับของความคิดซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งก็คือ อริยสัจใหญ่นั่นเอง
ปฏิจจสมุปบาทยังเป็นการอธิบายถึงการเกิด-ดับของสิ่งทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ไม่ใช่เกิดขึ้นมาโดดๆโดยไร้สาเหตุหรือมีผู้สร้างแต่อย่างใด เมื่อเหตุพร้อม ผลย่อมเกิดตามมา และทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามเหตุและปัจจัย ไม่มีความคงทนถาวรหรือความเป็นอัตตาตัวตนที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาล จึงเกี่ยวเนื่องให้เห็นสามัญญลักษณะหรือ ไตรลักษณ์
นอกจากนี้ ปฏิจจสมุปบาทยังเป็นขบวนการที่ทำงานอยู่เบื้องหลังของการทำงานของอายตนะ ๖ และขันธ์ ๕ ตลอดถึงการเกิดขึ้นของอัตตา และความเกี่ยวเนื่องกับการเกิดขึ้นของความคิดปรุงแต่งที่เข้าข้างตนเอง หลงตนเอง เช่นที่พระองค์ทรงสอนไว้ในมหาสติปัฏบานสูตรดังนี้ว่า
ทุกข์เกิด(หรือดับ)จากสิ่งที่รับรู้ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะ ๖) ด้วยประสาทวิญญาณทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (วิญญาณ ๖) ดังนั้น เมื่อเกิดการสัมผัส (ผัสสะ) ให้เกิดความรู้สึก (เวทนา) ด้วยความหมายรู้จำได้ (สัญญา) หากเป็นไปด้วยความหมายรู้ด้วยความลำอียงเข้าข้างตนเอง (สัญญเจตนา) ย่อมก่อให้เกิดความอยาก(ตัณหา) นำไปสู่การตรึกวิตกกังวล (วิตก) มีผลให้เกิดการตรองครุ่นคิด (วิจาร) ทำให้เป็นทุกข์เพราะคิดเพื่อหวังผลประโยชน์ให้กับอัตตาตัวตน
นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ค้นพบแล้วว่า ทุกครั้งที่คนเรารู้-เห็นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตจะรับทราบด้วยประสพการณ์ (Perception) และในขณะเดียวกันนั้น สมองจะกำหนดความเป็นตัวตน”อัตตา”ขึ้นพร้อมกันไปในขณะที่รับทราบในสิ่งที่รู้-เห็นนั้น (In parallel with generating mental patterns for an object, the brain also generates a sense of ‘self’ in the act of knowing. - Prof. Antonio Damasio, Chairman, Neurology Department, University of Iowa, USA) มีการสร้างมโนภาพตีตราว่าเป็นของๆตนเพียบพร้อมไปเลย และ “อัตตา” เป็นผลของจินตนาการ (“นามรูป”ในขบวนการปฏิจจสมุปบาท) เป็นภาพพจน์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตรงตามความต้องการของตนในขณะนั้นๆ หรือ พูดสั้นๆก็คือ คิดเข้าข้างตนเองหรือสัญญเจตนา (“I”-tag or sense of ‘self’ Memory images come complete with their ‘I-tags’. Each ‘I’ is a product of Imagination, an image generated to meet the moment’s need. - Brian Lancaster, Senior Lecturer in Psychology, Liverpool Polytechnic, England) เช่น เห็นปากกาสีฟ้าเล่มนั้น ก็รู้ขึ้นพร้อมกันทันทีว่า เป็นปากกาของตนที่หายไปเป็นต้น
ไตรลักษณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบเห็นแจ้งในลักษณะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาล ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตว่า ล้วนแฝงไว้และเป็นไปตามคุณลักษณะเครื่องหมายแห่งสามัญญลักษณะ กล่าวคือ