ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ถ้าโลกและจักรวาลมีชีวิต-มันมีจุดประสงค์ใด?  (อ่าน 1356 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ก่อนที่จะลงไปในเนื้อหาสาระของบทความนี้ ในความคิดความเห็นของผู้เขียนก็ต้องบอกว่าไม่เชื่อในตรรกะและเหตุผลในความจริงตามที่มนุษย์เราเห็นหรือที่เรารับรู้กันอยู่ในทุกวันนี้ เพราะว่ามันไม่เป็นความจริงที่แท้จริง ไม่ว่าเราจะมองมันจากมุมมองไหนก็ถูกสำหรับคนผู้นั้นอยู่วันยังค่ำ แต่มันอาจจะไม่ถูกสำหรับคนอื่นแม้จะใช้ภาษาเดียวกัน เรา-มนุษย์จึงมีปัญหากันอยู่เรื่อยๆ แต่เราก็ “จำเป็น” ต้องอยู่กับมัน เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแม้แต่น้อย แถมคนแทบจะทั่วทั้งโลกต่างล้วนแล้วแต่เชื่อว่าจริงตามนั้น ใครที่ไม่เชื่อตามนั้นต่างหากที่เป็นตัวปัญหา ไอน์สไตน์และคนส่วนใหญ่มากๆ ถึงได้ไม่เชื่อในควอนตัมเม็คคานิกส์  เพราะมันทำอะไรแปลกๆ และพิลึกๆ เช่น โฟตอนอาจอยู่ใน 2 ตำแหน่งพร้อมๆ กัน อิเล็กตรอนอาจจะมุดหรือดำดินหนีที่กักขังมันได้ หรือมันอาจจะวิ่งถอยหลังในเวลาของอดีตก็ได้ 

และด้วยความจริงทางโลกที่เรารับรู้อยู่ทุกๆ วันเช่นนี้ มันจึงมีคำถามอยู่  2 คำถามจากชื่อเรื่องของบทความนี้ คือ 1.โลกและจักรวาลพร้อมกับสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์ที่อยู่ในโลกในจักรวาลนั้น - ที่เราๆ ถือว่าเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง - มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต? ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ของโลกหลายๆ คนบอกว่ามีแน่ๆ พร้อมกับยกเหตุผลที่น่าเชื่อมาประกอบ เช่น เจมส์  ลัฟล็อก และเซอร์เฟร็ด ฮอยล์ กับ 2.ถ้าหากโลกและจักรวาลมีชีวิตจริงๆ แล้วล่ะก็ ทั้ง 2 สิ่งมีจุดประสงค์ใดหรือ? ถึงได้ปล่อยให้ธรรมชาติมาทำร้ายมนุษยชาติถึงปานนี้!

คำถาม 2 คำถามนี้ ถามโดยคิดว่ามนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ พิเศษ เหนือกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ (anthropocentric) ตามที่สาธารณชนคนทั่วไปเขาคิด - ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตกที่คิดบนศาสนาคริสต์ว่ามนุษย์พิเศษเหนือกว่าเผ่าพันธุ์ อื่นใด เพราะเชื่อในเจเนซิส (Genesis) ที่มีว่าพระเจ้าทรงสร้างเฉพาะเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เท่านั้น “ให้มีภาพลักษณ์เหมือนกับพระองค์”




มีใครเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าที่จริงธรรมชาตินั้นใหญ่กว่าโลก ใหญ่กว่าจักรวาลมากนัก? ธรรมชาตินั้นจะรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่ศาสนาอันมีพระเจ้าบอกว่าธรรมชาติคือสิ่งซึ่งพระเจ้า (Creator) เป็นผู้สร้างขึ้นมาจากที่ว่างอันมืดมิด - ที่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นโครงสร้างทางกายภาพหรือวัตถุเท่านั้น ซึ่งจิตของพระเจ้าหรือพระจิตที่อยู่ภายในจะรวมกันเป็นธรรมชาติทั้งหมด พุทธศาสนาจะบอกว่าทั้งหมดนั้นรวมทั้งพระจิตของพระเจ้า (ซึ่งศาสนาพุทธไม่มี แต่มีนามหรือจิตมาแทน) คู่กับรูปหรือสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์ทั้งหมดว่า  “ธรรมะ” ส่วนนักวิทยาศาสตร์ที่อ้างชื่อข้างต้นจะรวมทั้งโลกและจักรวาลไว้ที่โครงสร้างกายภาพหรือวัตถุ รวมทั้งสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์เฉพาะทางกายภาพ “ที่มองเห็น” ทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือวัตถุหรือกายภาพทั้งสิ้นนั้นไว้ด้วยกัน วิทยาศาสตร์นั้น หมายถึงวิทยาศาสตร์เก่าที่มีนิวโตเนียนฟิสิกส์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาใหม่ๆ ของเอเชีย รวมทั้งสาธารณชนคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน รวมทั้งประเทศไทยส่วนใหญ่จะบอกว่ามันก็คือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่วนมาก ที่ทุกๆ  ประเทศแย่งกันผลิตเป็นอุตสาหกรรม โดยอ้างว่าเพื่อคุณภาพที่ดีของมนุษย์  ซึ่งเป็นการผลิตหรือการกระทำที่ได้มาด้วยการกดขี่ข่มเหงอย่างทารุณต่อธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
จากที่พูดมานี้จะเห็นได้ว่าธรรมชาติกับโลกและจักรวาลนั้นมีความใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าในทางศาสนา ธรรมชาติมันใหญ่กว่า เพราะศาสนาทุกศาสนาจะรวมพระจิตของพระเจ้า (mind of God) หรือจิตที่มองไม่เห็นและไม่มีทางเห็น ส่วนทางวิทยาศาสตร์จะพูดเฉพาะแต่โครงสร้างทางกายภาพหรือทางวัตถุสถานเดียว อย่าลืมว่าพุทธศาสนาไม่ได้มีพระเจ้าก็จริง แต่จะรวมถึงความจริงแท้ ซึ่งเป็นจิตที่มองไม่เห็นไว้ในธรรมชาติด้วย พุทธศาสนานั้นจะพูดถึงเรื่องของกรรมและกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่สุด ทั้งนี้ เพราะว่าพุทธศาสนาจะถือว่ากรรมและกฎแห่งกรรมเป็นสิ่งที่กำหนดการเกิดใหม่ในสังสารวัฏอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเรื่อยๆ ไป ทั้งนี้ จนกว่าจะได้นิพพานแล้วเท่านั้น

ฉะนั้น คำถามทั้ง 2 คำถามของบทความบทนี้เป็นต้นว่า คำถามที่ 1 ถ้าหากว่าโลกจักรวาลเป็นสิ่งที่มีชีวิตจริงๆ ตามที่นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ๆ พูดมานั้น  (ดู The Living Universe by Duane Elgin, 2009 ด้วย) โลกและจักรวาลก็มีชีวิตจริงและก็มีปัญญาจริงๆ ดังนั้นจุดประสงค์อันเป็นคำถามต่อไปก็จะบ่งว่าจุดประสงค์ (ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์นะครับ) ของธรรมชาติ โลกหรือจักรวาลก็เป็นเรื่องของกรรมและกฎแห่งกรรมตามธรรมดาของพุทธศาสนา มนุษย์เราซึ่งกำลังรับกรรมอยู่ในขณะนี้ รับภัยธรรมชาติอยู่ขณะนี้ เป็นเพราะกรรมที่เรากระทำต่อสิ่งที่มีชีวิตของโลกและจักรวาลนั้น ภัยธรรมชาติจึงมีความรุนแรงและมีความถี่ขึ้น และมันก็ไม่มีทางที่จะหนีไปไหนได้ 

เราต้องรู้โดยไม่มีข้อสงสัยอย่างใดเลย ซึ่งที่กล่าวมานี้มีความสำคัญอย่างที่สุดว่าทุกสรรพสิ่งกับทุกๆ ปรากฏการณ์ในโลกนี้หรือจักรวาลนี้ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงติดต่อกันเป็นหนึ่งเดียวดังที่พุทธศาสนาและควอนตัมเม็คคานิกส์บอก  ฉะนั้นอย่าได้มีความสงสัยกังขาอย่างเด็ดขาด โดยมีเหตุผลเพียงที่ไม่ใช่เหตุผลทางกายหรือทางวัตถุเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่ามันเป็นความจริงที่แท้จริงหรือความจริงตามธรรมชาติหรือทางธรรมที่ละเอียดไปตามลำดับ เมื่อเชื่ออย่างมีเหตุผลเช่นนี้ในทุกๆ ด้าน ทุกๆ แง่มุมโดยไม่ใช้ผลจากอวัยวะประสาทสัมผัส (sense  organs) เลย เพราะว่าสัตว์โลกต่างๆ ทุกชนิดประเภทเลย ไม่ว่าช้างหรือมดแดงหรือมนุษย์เห็นหรือรับรู้ก็จริงอยู่ แต่ต่างล้วนเห็นไม่เหมือนกันหรือรับรู้ สิ่งที่เห็นหรือรับรู้ที่เหมือนกันเปี๊ยบ - ไม่เหมือนกัน

ผู้เขียนคิดว่าอะไรๆ ก็เชื่อมโยงติดต่อเป็นหนึ่งเดียวกันเช่นนั้น อาทิเช่น  ความรู้ทั้งหมดที่เรามีและแบ่งแยกออกเป็นวิชาต่างๆ โดยเฉพาะวิชาที่แตกต่างกันมากอย่างสุดกู่ เช่น ศาสนศาสตร์หรือเทววิทยา กับวิทยาศาสตร์อย่างที่บอกย้ำเมื่อเดือนที่แล้วว่ากำลังจะเป็นหนึ่งเดียวกัน บทความนี้กำลังตอกย้ำเช่นนั้น  และไม่เพียงแต่ 2 วิชาที่ต่างกันสุดกู่เท่านั้น วิชาศิลปศาสตร์และความงาม (arts  and aesthetics) ที่จัดอยูใกล้ๆ กับธรรมชาติและความจริงที่แท้จริงก็เชื่อมโยงติดต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับความรู้ทั้งหมด รวมคณิตศาสตร์ พูดอีกนัยหนึ่ง ความรู้ที่เรามีทั้งหมดทั้งสิ้นที่ค้นพบแล้ว รวมทั้งความรู้ที่เรายังไม่ค้นพบ เช่น  คณิตศาสตร์ที่กล่าวแล้ว หรือจริงๆ แล้วคล้ายๆ มันรอคอยเวลาเพื่อที่เราจะค้นพบ มันเหมือนกับมีสนามบางอย่างที่มองไมเห็นที่รอคอยหรือชักใยอยู่ข้างหลัง  - กำลังรอคอยกาลเวลาที่สามารถทำให้มนุษย์ค้นพบ - กระนั้น เป็นต้นว่าในทางฟิสิกส์วิทยาศาสตร์นั้น สนามเช่นที่ได้กล่าวมาได้เอื้ออำนวยให้นักคณิตวิทยาศาสตร์ เช่น เบอนาร์ด รีแมนน์ ค้นพบสมการความสัมพันธ์ของสันเขากับผู้สังเกตที่ไม่ได้มีความหมายหรือมีประโยชน์กับใครเลย อีกหลายปีต่อมาเมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพก็ไม่สามารถจะพิสูจน์ทฤษฎีของตนได้ จนกระทั่งได้อาศัยทฤษฎีของรีแมนน์ ที่ไม่มีประโยชน์กับใครเลยนั้นมาช่วยพิสูจน์ หรือดังที่เซอร์อาร์เธอร์ เอ็ดดิงตัน ที่พูดว่า นักฟิสิกส์มักเจออะไรที่แปลกๆ เหมือนกับเราที่ไปพบกับเกาะเกาะหนึ่งที่ไม่เคยสำรวจมาก่อน ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนว่าอย่างนั้นเถอะ ทีนี้เราไปเดินรอบๆ เกาะ เราไปเดินที่ชายหาด เราแปลกใจที่มีรอยเท้าเหมือนกับว่ามีคนมาพบเกาะนี้ก่อนที่เราจะพบ เรารีบจำลองรอยเท้าที่พบนั้น รู้ไหมว่าเป็นรอยเท้าของใคร? มันเป็นรอยเท้าของเราเอง!   

เรารู้ว่าในทางวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้เรามีความรู้ใหม่ๆ ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเก่าตลอดเวลา แต่ที่เซอร์อาร์เธอร์ เอ็ดดิงตัน  เล่าให้เราฟังนั้นซึ่งคงจะจริง นั่น-คงมากไปหน่อย คิดว่ารีแมนน์และเอ็ดดิงตันคงหมายถึงสนามที่มองไม่เห็นที่ควบคุมอยู่ข้างหลัง

การพบว่า ทำไม? มนุษย์ถึงต้องมีสองอย่างตลอดเวลาเลย คือมีทั้งสติ  หรือการรู้ตัว (conscious ที่มาก่อน (secondary) awareness) กับจิตสำนึก  หรือจิตรู้ (consciousness or cognition) ซึ่งต่างก็เป็นการบริหารจัดการของสมองของปัจเจกบุคคล เพียงแต่มันมีเวลาก่อน-หลังจากกัน ความจริงการรู้ตัวตั้งใจเป็นเรื่องกายภาพของสมองที่เป็นรูปกายร้อยเปอร์เซ็นต์ (attention) กับสติที่เป็นเรื่องของจิต (intention) ก็ไม่ได้มาพร้อมกัน จิตรู้นั้นทำหน้าที่เป็นทั้งสิ่งที่ถูกสังเกตและเป็นผู้สังเกต (observer-participatory) ทำให้การเห็นหรือการรับรู้นั้นๆ สัมฤทธิผล แต่สติไม่ได้มีส่วนช่วยในการสัมฤทธิผลนั้นแต่อย่างใด  สติจะช่วยปูทางทำให้จิตรู้สามารถที่จะ “สะท้อนการรู้ของตัวเอง” (self-reflection) ได้ ซึ่งก็คือการทำให้สภาพความเป็นคลื่นทางควอนตัม หรือ “จิตของพระเจ้า” ได้ทำงาน นั่น-เป็นความรู้ทางจิตวิทยา หรือทางวิทยาศาสตร์ -  ตั้งแต่วิชานี้ “ตีจากออกไป” จากพฤติกรรมศาสตร์ คิดว่าราวๆ ทศวรรษที่ 1970  ที่ปัจจุบันในบ้านเรายังคงมีนักจิตวิทยาและจิตแพทย์บางคนยังได้รับอิทธิพลอยู่  ซึ่งมีแต่เพียงพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นวิทยาศาสตร์เต็มประตู แต่ศาสนาอื่นๆ  แม้ยังห่างไกลจากความเป็นวิทยาศาสตร์ ในฐานะความรู้และระบบ ความเชื่อที่เป็นส่วนของความรู้ - และโดยสนามที่มองไม่เห็นนั้นก็ยังเชื่อมโยงติดต่อกันอยู่ดี เพราะฉะนั้น คำถามแรกคือคำถามที่ถามว่าโลกกับจักรวาล ซึ่งเป็นธรรมชาติที่สำคัญทางด้านกายภาพว่าสิ่งเหล่านี้มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เนื้อหาสาระของบทความนี้บ่งชี้ไปในทำนองมีชีวิต แถมยังมีปัญญาเสียด้วย ซึ่งเป็นตรงกันข้ามจากคนทั่วไปส่วนมากเชื่อและคิดว่า ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องถามใครว่าโลกกับจักรวาลไม่มีชีวิต แต่ถ้าหากนักวิทยาศาสตร์บอก พร้อมกับเหตุผลเพียบพร้อม ก็น่าจะลองเชื่อดู ต่อจากนั้นก็มาถึงคำถามต่อไปว่า มันมีจุดประสงค์อันใดหรือ? โดยเฉพาะที่ทำให้ธรรมชาติมันหวนกลับมาทำร้ายมนุษย์อย่างไม่หยุดไม่หย่อนเช่นในปัจจุบันนี้ คำถามนี้พุทธศาสนาตอบว่า เพราะว่าโลกและจักรวาลอาจจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต และเพราะว่ามนุษยชาติได้ปฏิบัติต่อโลกและจักรวาลหรือธรรมชาติด้วยความทารุณและโหดร้าย ด้วยกิเลสและตัณหาโดยเฉพาะความโลภ แม้จนกระทั่งปัจจุบันวันนี้ก็ยังไม่หยุด กรรมและกฎแห่งกรรมจึงเป็นเรื่องปกติธรรมด๊าธรรมดา.

http://www.thaipost.net/sunday/050611/39691
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...