หากจะมีปัญหาถามว่า ตาเป็นต้นของเรา ที่ได้สะสมแต่ความดีไว้ในภพนี้แล้ว เมื่อตายไปเกิดในภพใหม่ ตาเป็นต้นจะตามเราไปให้ผลดีได้อย่างไร เพราะตาติดอยู่กับกาย เมื่อกายแตกดับแล้ว อายตนะเหล่านั้นก็พลอยดับไปด้วย
ขอเฉลยไว้ ณ ที่นี้เลยว่าเมื่อพุทธบริษัททุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า ตัวของมนุษย์สัตว์นี้มีอยู่ ๒ ชั้นด้วยกันคือ
กายกับใจ ก็ไม่เห็นน่าสงสัยในเรื่องนี้
เพราะกายมีอายตนะได้ ใจก็มีอายตนะได้เหมือนกัน เราจะสังเกตได้ในเมื่อเรานอนหลับอยู่ดีๆ ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เวลาฝันไปเห็นนั่นเห็นนี่ หรือได้อะไรต่ออะไรมากอย่าง นั่นแหละคือ
อายตนะของใจ เวลาตายไปใจมันได้อายตนะ
นั่นแหละไปเกิดด้วย พร้อมทั้งความดีและความชั่วที่อายตนะเหล่านั้นได้สะสมไว้ แต่ถ้าจะถือเอา “
เซลล์” เป็นใจตามทางวิทยาศาสตร์แล้ว ก็จะต้องอธิบายกันยืดยาว ฯลฯ
อายตนะของใจ แปลกจากอายตนะของกายที่ใช้กันอยู่ทั่วไป อายตนะของกาย ใจมีส่วนเกี่ยวข้องรับรู้เห็นด้วย แต่อายตนะของใจแล้ว
ใจใช้คนเดียว กายไม่รับรู้ด้วยเลย อายตนะของกาย
เกิดจากธาตุหยาบมี ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น ใช้ได้เฉพาะอายตนะหยาบเช่นเดียวกัน ส่วนอายตนะของใจเป็นอายตนะกายสิทธิ์
ประกอบขึ้นด้วยบุญกรรมโดยเฉพาะ ใช้ได้ในทาง
มโนภาพ เป็นเครื่องมือประจำกับจิตใจใช้ได้ตลอดไป ในเมื่อยังไม่พ้นจากโลกอันมีอายตนะอยู่ อายตนะทั้งสองประเภทนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่
ในเมื่อเรายังท่องเที่ยวอยู่ในโลก
อันประกอบด้วยอายตนะแล้ว ยังเป็นเครื่องวัดของ
ปัญญาวิปัสสนาผู้จะข้ามพ้นจากโลกอีกด้วย ผู้มีปัญญาจะข้ามพ้นโลกอันมีอายตนะ
หากไม่ใช้อายตนะเหล่านี้
เป็นที่ก่อตั้งก่อนแล้ว จะข้ามอายตนะได้อย่างไร
เปรียบเหมือนคลองหรือแม่น้ำ
เป็นเครื่องหมายของผู้จะข้าม ผู้ข้ามพ้นได้ก็เรียกว่ามีความสามารถ เมื่อข้ามไม่ได้ก็เรียกว่าหมดความสามารถ
ฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นช่องทวารสำหรับบ่วงของมารดักก็ตาม
แต่เป็นเครื่องแสดงความสามารถของผู้มีปัญญา ที่เล็ดลอดบ่วงมารไปได้ ในเมื่อใช้อายตนะนั้นอยู่ด้วยการระวังสังวรในอายตนะทั้งหลายดังกล่าวแล้ว
อายตนะทั้งหลายเป็นของที่มีคุณค่า
หาประมาณมิได้ดังกล่าวแล้ว แต่เมื่อใช้ของดีมีค่าโดยผิดตำแหน่งหน้าที่ ก็ทำของดีนั้นให้เสียไปมิใช่น้อยเหมือนกัน เช่น ตา เป็นต้น เมื่อเห็นรูปแล้วทำให้เกิดความรักใคร่กำหนัดยินดี ในเมื่อรูปมีอยู่และหายไป หรือได้มาแล้วยังต้องการรูปอื่นอีก ไม่รู้จักจบสิ้นสักที
ถึงแม้ตานอกใช้ไม้ได้แล้ว
ตาในยังรักยังชอบอยู่ดังนี้เป็นต้น เรียกว่าเอาตาไปบูชาของไม่มีสาระปฏิกูลเปื่อยเน่า เข้าทำนองที่ว่า เอาพิมเสนไปแลกเกลือ ถ้าหากเรารู้คุณค่าของอายตนะทั้งหลายมีตา เป็นต้น
ตามเป็นจริงแล้ว เช่น ตาดูรูป ดูเพื่อให้เกิดความรู้ตามเป็นจริงว่า รูปเพียงภาพให้เกิดแสงสะท้อนเข้าตา เพื่อให้ตาเห็นเท่านั้น
มิใช่เป็นของดีของเลวอะไร
คำว่า ดีและเลว
เป็นเรื่องของกิเลส ของใจ ทำให้หลงใหลไปต่างๆนานา ถึงกับเป็นบ้า เอาตาของดีๆ ไปบูชารูปเน่าของสกปรก
เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้แล้ว อายตนะทั้งหลายจะเป็นเหมือนสายสื่อให้เกิด
ปัญญาทุกๆ วิถีทาง
พุทธบริษัท
ผู้ปฏิบัติในการระวังสังวรอินทรีย์ทั้งหลาย เมื่อพากันได้ฟังธรรมบรรยายมาเพียงเท่านี้ จงพากันจับเอาเนื้อความแห่งธรรมบรรยายนี้ ไป
กำหนดจดจำ แล้วนำไปคิดพิจารณาให้ถูกให้แจ้งด้วยตน เมื่อต้องการพ้นจากบ่วงของมารก็จะไม่เป็นการยากนัก
ถ้าอาศัยไม่ประมาทอยู่เสมอๆ เพราะมารมันดักบ่วงอยู่ ตัวเราประมาทเมื่อไร อาจพลัดหลงเข้าไปติดได้ง่าย