อิ่มกาย อิ่มใจ > ศาสตร์สุขภาพแห่งการบำบัด

ดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน

(1/2) > >>

lek:
หลักการพึ่งตนเองขั้นพื้นฐาน
เป็นการดูแลสุขภาพตัวเองไม่ให้เจ็บป่วย
ซึ่งเป็นสิทธิ์ขั้นพื่นฐานที่ทุกคนควรกระทำ
เพื่อไม่ต้องรอเวลาที่จะเจ็บป่วย
แล้วโยนภาระไปให้หมออย่างเดียว

ถ้าเริ่มต้นสนใจดูแล และใส่ใจสุขภาพ
ตอนนี้ก็ยังเรียกได้ว่าไม่สายเกินไป
ที่จะแก้ไขปัญหาสุขภาพของเราเอง
ดึกว่าจะปล่อยให้เวลาผ่านไปแต่ละวัน
แล้วเกิดเจ็บป่วยมากขึ้น
จนยากที่จะย้อนกลับมาแก้ไขได้

ขอขอบพระคุณคณะผู้จัดทำ
ได้นำบทความที่เกี่ยวกับสุขภาพจิต
สุขภาพกาย จากหนังสือ"กินเป็น ลืมป่วย"
เรียบเรียงโดย คุณนิพนธ์ วีระธรรมานนท์
และหนังสือ"นาฬิกาชีวิต"ซึ่งได้จากการ
บรรยายของอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา(นักธรรมชาติบำบัด)

lek:
ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น

ในช่วงเวลา 05.00-07.00 น. เป็นเวลา
ของลำไส้ใหญ่ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระ
แล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00-09.00 น.
ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหารแล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก
อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออก จะถูกบีบตัวขึ้น
มาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร
ก็จะถูกดูดซึมซ้ำอีกครั้ง ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว
เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งมี
ความร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็น
ที่เก็บได้นานกว่า เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้
ก็จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด
ถ้าเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย
ไหลผ่าน สมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง
ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

-ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอน เพราะเลือดไม่สะอาด
ไปเลี้ยงหัวใจ หัวใจก็อ่อนล้า ไม่สดชื่น

-มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาด
ไปเลี้ยงปอด ปิดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ
ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น

-ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00-07.00น.
นานๆเข้าเป็นระยะเวลาหลายๆปี เลือดที่ไม่สะอาด
ไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา
07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหาร
ที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำจะเสื่อมเร็ว

-ปวดเข่า เมื่ออายุมากขึ้น เป็นริดสีดวงทวาร

วิธีแก้
-พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
ถ้าไม่ขับถ่าย ให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่

-ควรกินข้าวเช้าทุกวัน ระหว่างเวลา 07.00-09.00 น.


ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า
การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย
ที่เรามองข้ามไมป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่
เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการ
สารอาหารในช่วงเวลา 07.00-09.00 น. ระหว่างเวลานี้
สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจน
เป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือด
มารับออกซิเจนส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือด
มารับออกซิเจนส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการกรดอะมิโน
ไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี1,และบี12 มื้อเช้า
ถ้าไม่มีเวลาจริงๆก็ควรกิน สูตร โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว
และกล้วย 1 ลูก

สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
-กระดูกคอข้อที่หนึ่ง เคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือ
เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
-กินอาหารที่ผัดน้ำมันบ่อยเป็นเวลานาน แล้วเกิดไขมันเกาะตัว
เหนียวสะสมในลำไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
เพราะระบบดูดซึมเสีย และถุงน้ำดีข้น
-มีพยาธิในลำไส้ พยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย
-การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลือดไม่เลี้ยงสมอง

ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย
นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่อยๆ
ปวดหัวข้างเดียวด ปวดหัวสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา
เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง
ปวดเข่า กระดูดสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้า
หลังเท้า วิตกกังวล

อาจมีอาการทีละอย่าง หรือ หลายอย่างพร้อมกัน
สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง
อยู่กันคนละส่วน แต่มีเซลล์ประสาทกลุ่มเดียว
ที่ควบคุมกันไหลเวียนของเลือดทั้ง สามส่วน

เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้น้อย
วันข้างหน้าก็จะมีหินปูนเกาะที่สมองส่วนหน้า
แล้วจะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ เป็นเหตุให้
ตาเป็นต้น จอประสาทตาเริ่มเสื่อม ปัสสาวะบ่อย
เป็นฝ้า หน้าดำ

lek:
เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนกลางได้น้อย
จะมีอาการง่วงนอนบ่อย หรือง่วงนอนทั้งวัน ปวดเมื่อยเนื้อตัว
ปวดส้นเท้า ขี้โมโห ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ต่อไปวันข้างหน้า
ความจำจะเสื่อม เริ่มจำไม่ค่อยได้ แต่ความจำระยะยาว
คือเรื่องเก่าๆยังจำได้ ส่วนความจำระยะสั้น คือเรื่องใหม่ๆ
ในปัจจุบันจะไม่ค่อยได้ หลงๆลืมๆ พูดวนไปวนมา
ความจำจะเสื่อมลงเรื่อยๆ

เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหลังได้น้อย
จะมีอาการ แขนขาไม่ค่อยมีแรง เดินไม่ค่อยไหว
ตอนตื่นนอนบางครั้งจะมีอาการแขนขาตายเหมือนผีอำ
ขยับตัวไม่ค่อยได้

สมองเสื่อม
จากการวิจัยในประเทศไทย พบว่าวันข้างหน้าอีกประมาณ 4-5 ปี
จะมีผู้ป่วยสูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 9 ล้านคน เมื่อเราทราบ
อย่างนี้แล้ว ก็มาหาทางบำรุงสมองกันดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้
สมองเสื่อมก่อนเหตุอันควร ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะเป็นภาระกับคน
ในครอบครัวอย่างมาก ที่จะต้องมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา

สาเหตุอาจเกิดมาจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เพราะกินอาหารผัดน้ำมัน
เป็นประจำติดต่อกันหลายปี น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้ ทำให้ดูดซึม
สารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองไม่ได้

วิธีดูแลสมอง เช่น
1. ขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
2. กินอาหารเช้าระหว่าง 07.00-09.00 น.
เพื่อให้เลือดรับสารอาหารไปเลี้ยงสมอง และ
กินโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ระหว่าง
เวลา 13.00-15.00 น. เพื่อเปลี่ยนขยะใน
ลำไส้เล็กให้เป็น บี12 แล้วส่งไปบำรุงสมอง
3. ล้างระบบดูดซึมด้วยสูตรมะละกอดิบต้มน้ำชงชา
4. ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสด ต้มกับพุทราจีน
ใช้ดื่มน้ำเพื่อล้างหลอดเลือดเป็นประจำ
5. กินน้ำกระชาย แล้วกินน้ำใบบัวบกตาม จะส่งบำรุง
สมองได้โดยตรง และผลไม้ชื่อลูกไข่เน่าเป็นผลไม้
ที่บำรุงสมองได้ดีมาก หรือคื่นฉ่าย,เม็ดบัว,ลูกแปะก๊วย
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ก่อนที่จะกินอาหารอะไรเข้าไปบำรุง ให้นึกถึงลำไส้เรา
ได้ล้างบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่เคยล้าง ควรใช้สูตรมะละกอดิบ
ต้มน้ำ แล้วนำน้ำร้อนนั้นมาชงชาดื่มล้างลำไส้เป็นประจำ

lek:
วิธีกดนิ้วเพื่อให้เลือดเลี้ยงสมอง ป้องกันสมองเสื่อม
-ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วชี้      2 ครั้ง
-ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วกลาง 1 ครั้ง
-ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วนาง   3 ครั้ง
-ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วก้อย   4 ครั้ง

แล้วทำกลับ โดยมา กดที่นิ้วนาง 3 ครั้ง
กดที่นิ้วกลาง 1 ครั้ง และกดที่นิ้วชี้ 2 ครั้ง

เป็นการจบเท่ากับ 1 ชุด รวมเป็น 1 ชุด
พอเริ่มชุดที่ 2 ให้กดนิ้วกลาง 1 ครั้ง ต่อไปเลย
ทำอย่างนี้ให้ได้ 50 ชุดต่อวัน

ความสัมพันธ์ของสมองกับปลายนิ้วมือ
จะเกิดพลังครบวงจรของเขาเอง
เป็นการกระตุ้นให้หลั่งสาร เอนโดรฟิน

ฝึกการหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
ให้พุงป่องออก แล้วหายใจออก ให้พุงยุบลง(หายใจลึกๆ)
เป็นการไปกระตุ้นเซลล์สมอง ที่คุมโปรแกรมความจำ
ที่ดีงามในอดีต หรือปัจจุบัน และเป็นการเพิ่มออกซิเจน
ให้ปอดกับสมอง

ในตรงกันข้าม ถ้าหายใจถี่ๆ ตื้นๆ เร็วๆ
จะเป็นการกระตุ้นเซลล์สมองกลุ่มที่บันทึก
เรื่องไม่ดีเอาไว้ให้ออกมาใช้งาน
จึงควรฝึกหายใจช้าๆ เพื่อกระตุ้นเซลล์สมอง
กลุ่มที่บันทึกเรื่องดีๆออกมาใช้งาน
เป็นวิธีป้องกันสมองเสื่อมได้อีกวิธีหนึ่ง

lek:
อาหารผัดน้ำมัน

ในน้ำมันที่ประกอบอาหาร ถ้ามีส่วนประกอบของน้ำมันปาล์มอยู่ด้วย
ไม่ควรนำเข้าร่างกาย เพราะน้ำมันปาล์ม น้ำมาสกัดไปใช้เป็น
เชื้อเพลิงอย่างอื่น ถ้าจะบอกว่าน้ำมันปาล์มไม่มีโคเลสเตอรอล
ถ้าอย่างนั้น น้ำมันเบนซินก็ไม่มีโคเลสเตอรอล น้ำมันดีเซล
ก็ไม่มีโคเลสเตอรอลเหมือนกัน แล้วน้ำมันเหล่านี้
สมควรเอามากินเล่นได้หรือไม่?

ดูจากก้นกระทะและรอบๆเตาแก๊ส หรือท่อน้ำมันที่ล้างจาน
จะมีคราบเหนียวของน้ำมันเกาะอยู่ เราก็ล้างมันออกได้
แล้วถ้ากินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ น้ำมันที่เข้าไป
โดนอุณหภูมิของร่างกายที่ 37 องศาตลอดเวลา
น้ำมันจะเหนียวเป็นกาวยึดเกาะที่ผนักลำไส้ เป็นเวลานานเข้า
ก็จะหนาตัวขึ้น ไปขวางระบบดูดซึม ระบบดูดซึมของร่างกาย
จะเสีย แล้วเราจะส่งอะไรเข้าไปล้างมันได้

ระบบดูดซึมเสีย
เมื่อระบบดูดซึมเสีย ลำไส้จะดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์
ไปสร้างเม็ดเลือดไม่ได้ กินยา หรือวิตามินก็ไม่ดูดซึม
เพราะผ่านชั้นไขมันที่ผนังลำไส้ไปไม่ได้ หรือผ่านไปได้น้อย
ต่างกับการให้น้ำเกลือ โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดโดยไม่ต้อง
ผ่านระบบดูดซึม แต่ใครจะให้น้ำเกลือได้ทุกวันคงไม่มี

เมื่อระบบดูดซึมไม่ได้ พวกสารอาหารและโปรตีน จะถูกส่งไป
ให้ไตขับทิ้ง ไตก็ต้องทำงานหนัก และอ่อนล้าเป็นธรรมดา
ผลที่ตามมาคือความเจ็บป่วย การเกิดโรคต่างๆ
 
ทุกคนที่เคยกินอาหารผัดน้ำมัน หรือของที่ทอดน้ำมันบ่อยๆ
หรือทุกวัน ควรจะต้องล้างลำไส้เพื่อให้ระบบดูดซึมทำงานได้ดีขึ้น

การไม่ล้างลำไส้ ก็เปรียบเสมือนการกินข้าว แล้วไม่ล้างจาน
มื้อต่อไปก็ใช้จานใบเก่าใส่ข้าวกินใหม่



สูตรล้างระบบดูดซึม

1. มะละกอดิบต้มน้ำชงชา(ชามะละกอ)
วิธีทำ ใช้มะละกอดิบปอกเปลือง มาหั่นแบบชิ้นฟัก ใส่หม้อ
เติมน้ำ ต้มให้เดือดแล้วยกลง เอาเฉพาะน้ำมาชงชา
ใช้ชาจีน หรือชาเขียว หรือชาใบหม่อน ก็ได้ ควรแช่ชา
ไม่เกิน 5 นาที แล้วกรองชาออก สูตรนี้จะช่วยล้างไขมัน
ที่เกาะลำไส้ได้ดี ควรทำดื่มเป็นประจำทุกวัน เพราะ
เรากินอาหารผัดน้ำมันมาหลายปี

2. โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว
วิธีทำ นมสด 1 กล่อง เทใส่แก้ว เติมโยเกิตรสธรรมชาติ
ครึ่งถ้วยของโยเกิต เติมน้ำผึ้ง และมะนาว ชิมรสชาติตามชอบใจ
แล้วตั้งทิ้งไว้สักพักหนึ่ง เพื่อให้จุลินทรีย์ขยายตัวแล้วกิน
ความหวานของน้ำผึ้ง และช่วยย่อยไขมันของนมก่อน
แล้วจึงค่อยดื่ม จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดี(ถ้าดื่มเวลา 13.00-15.00น.)
จะได้ผลดีมาก เพราะตรงเวลาของลำไส้เล็ก

3. รากหญ้าคา เก๋ากี้ เก็กฮวย ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ตะไคร้หอม
ต้มรวมกันกินแต่น้ำ เป็นสูตรล้างลำไส้ดีที่สุด

4. บอระเพ็ด ยาว 1 เกียก เติมน้ำ 2 แก้ว แล้วต้มดื่มกินน้ำ
ก็ช่วยล้างลำไส้ได้

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version