ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ : พุทธทาสภิกขุ  (อ่าน 4488 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ
โดย พุทธทาสภิกขุ
ท่านสาธุชนผู้สูงอายุทั้งหลาย อาตมาจะแสดงธรรมในรูปของ
ปาฐกถาธรรมแทนการเทศน์
ซึ่งมันสะดวกกว่า ได้ผลกว่า อะไรกว่า,ขอให้ตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์.

ธรรมปฏิสันถาร
            ข้อแรกขอแสดงความยินดีในการที่ท่านทั้งหลายมีเจตนาที่จะศึกษาธรรมะ จึงได้พากันมาสู่สถานที่นี้เพื่อวัตถุประสงค์อันนั้น. ณ บัดนี้เราก็ได้มานั่งกันกลางดิน เราได้มานั่งกันกลางดิน ซึ่งเข้าใจว่าบางแห่งไม่ได้นั่งกลางดิน,บางแห่งก็ได้นั่งกันบนตึกราคาล้าน, แต่เดี๋ยวนี้เรามานั่งกันกลางดิน ขอให้ทำในใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นจะขาดทุน บางคนจะคิดว่า มันเสียเกียรติมานั่งกลางดิน แล้วก็โกรธ นี้มันคนโง่ ลืมไปว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านประสูติกลางดิน ท่านเป็นพระราชามหากษัตริย์ แต่เวลาประสูติ ประสูติกลางดินใต้โคนต้นไม้ แล้วเวลาท่านจะตรัสรู้ ก็ตรัสรู้กลางดินใต้โคนต้นไม้อีก เมื่อท่านสอน ก็สอนตามกลางดิน เพราะประชุมกันกลางดิน พบกันกลางดิน เดินทางอยู่ก็พบแล้วก็หยุดสอน, แม้ว่าโรงธรรมก็พื้นดิน ทีนี้ที่อยู่ของท่าน กุฏิของท่านก็พื้นดินไปดูได้แม้บัดนี้,แล้วในที่สุดท่านก็นิพพานกลางดิน ไม่ได้นิพพานที่บนกุฏิวิหารโรงพยาบาลอะไรที่ไหน นิพพานกลางดิน

            คิดดูเถิด ดินนี้มันเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าในลักษณะอย่างไร, แล้วมันยังเกี่ยวข้องกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า นี้เรียกว่าเกิดกลางดิน เพราะสอนกันกลางดิน พระสงฆ์ก็มีความเป็นอยู่อย่างเรียกได้ว่าต่ำที่สุด กุฏิพื้นดิน, วิหารพื้นดินทั้งนั้นเลยถ้าเป็นอย่างพระพุทธกาล. นี่แผ่นดินจึงมีความหมายมาก เป็นที่เกิดแห่งสิ่งทั้งปวง มันยังเป็นที่เกิดแห่งธรรมะ.

            เราได้มานั่งกลางดินอย่างนี้ เอามือลูบดินแล้วก็พอใจ พอใจเป็นพุทธานุสติระลึกถึงพระพุทธเจ้า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้ สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน. ขอให้ถือเอาประโยชน์อย่างนี้ให้ได้ให้เต็มที่ ให้มากเต็มที่เลย, อยู่ที่บ้านก็คงจะหาโอกาสนั่งกลางดินยาก เพราะว่ามีศาลามีอะไรสวยงาม เดี๋ยวนี้ศาลาของเราวัดนี้ใช้กลางดินอย่างนี้ รับแขกผู้มีเกียรติที่สุดก็กลางดินอย่างนี้แหละ ตรงนี้แหละ, นายกรัฐมนตรีก็มานั่งตรงนี้แหละ, เป็นอันว่าทำพุทธานุสติระลึกถึงพระพุทธเจ้ากันให้ดีเสียเต็มที่,แล้วก็จำไปกลับไปบ้าน, ว่ามาที่สวนโมกข์ได้นั่งกลางดินอย่างนี้,จำไปให้แม่นยำเลย

            ทีนี้ก็จะพูดเรื่องอะไรดี ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ว่า จะพูดเรื่องเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ข้อนี้ก็มีความสำคัญมากเหมือนกัน ถ้าสูงอายุจริง มันสูงทางจิตใจ ไม่ได้สูงทางเนื้อหนังเหมือนวัวแก่ควายแก่, สัตว์แก่นั้นสูงอายุทางเนื้อหนัง มันไม่ค่อยมีความหมายอะไร ถ้าสูงอายุทางจิตใจก็หมายความว่า รู้เรื่องต่างๆสมกับที่ว่าเกิดมานาน ,เกิดมานานในข้อนี้เขาก็นิยมกันมาก เรียกว่า รัตตัญญู ผู้รู้ราตรีนาน,เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่เชื่อฟัง เป็นรัตตัญญูรู้ราตรีนาน นั่นหมายความว่ารู้อะไรมาก รู้อะไรมากสมกับที่เกิดมานาน อายุยาว

            เดี๋ยวนี้กลัวว่ามันจะไม่มีอะไรมากสมกับที่เกิดมานาน.กลัวว่ามันจะโง่เท่าเดิม โง่เท่าเดิมไปจนตาย มันจะตัองรูจักแก่ คือมาก มากด้วยสติปัญญา ความชำนาญ ความเชี่ยวชาญในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตรู้อะไรมากกว่าเด็ก ๆนั่นแหละจึงจะเรียกว่าผู้สูงอายุ.

            เดี๋ยวนี้เราผ่านมามากมานานแล้ว รู้อะไรมากพอที่จะสั่งสอนเด็ก ๆหรือว่าเป็นตัวอย่างอันดีแก่เด็ก ๆได้หรือไม่? หรือจะเปรียบเทียบอีกทางหนึ่งว่า เมื่อมีอายุมากเข้า ชีวิตนั้นมันเยือกเย็นเป็นสุขสงบลงมากหรือไม่ ,หรือว่ายังโง่เหมือนกับเด็ก ๆ ยังวุ่นวายเหมือนกับเด็ก ๆ ยังทำอะไรไม่ถูกเรื่องถูกราวเหมือนกับเด็ก อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นที่น่าเสียดาย ขอให้พิจารณาดูให้ดี ๆ

            เด็ก ๆเกิดมาก็รู้แต่เรื่องกินกับเรื่องเล่นนี่เป็นธรรมดา เด็ก ๆเกิดมารู้แต่เรื่องกินเรื่องเล่น จนกระทั่งเป็นเด็กวัยรุ่น , ครั้นเป็นหนุ่มสาว เรื่องกามารมณ์ก็เข้ามา เรื่องเพศเรื่องกามารมณ์นี้ก็เข้ามา เป็นสิ่งสูงสุดของคนหนุ่มคนสาว แล้วต่อมาก็มีบ้านมีเรือน เป็นพ่อบ้านแม่บ้าน ก็เลื่อนขึ้นไปเรื่องสมบัติพัสถาน บ้านช่องเงินทองข้าวของอะไรต่างๆเป็นสิ่งสูงสุด
            ทีนี้จะไปไหน? ถ้าว่ามันก็ก็าวหน้าต่อไป มันก็ต้องไปมากกว่านั้น เขาก็ไปเรื่องหาความสงบทางจิตใจ เรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องสมาธิเรื่องภาวนา แม้ไม่ถึงอย่างนั้นก็พอใจในความสงบ มอบทรัพย์สมบัติให้ลูกให้หลาน ตัวเองก็หาความสงบ
            ทีนี้ถ้ายังไกลไปอีก ก็เข้าวัดเข้าวา, ถ้ายังไกลไปอีกก็ยังสอนผู้อื่น เป็นคนแก่ที่มีความรู้มาก สอนคนทั้งหลายได้ ใครมีปัญหาอะไรก็มาถามคนแก่คนนี้ได้ เขาก็จะตอบให้ได้อย่างดี ว่าควรทำอย่างนั้นควรทำอย่างนี้ เพราะว่าผ่านมาแล้ว


            นี่ดูให้ดีเถอะว่า ถ้าเป็นไปอย่างถูกต้องนั้น มันเลื่อนชั้นนะ ,มันเลื่อนชั้นสูงขึ้น สูงขึ้น มีความรู้มีความฉลาดสามารถ มีประโยชน์มากขึ้น ก็เรียกว่าใกล้นิพพานมากขึ้นนั่นเอง ,ถ้ามันเดินไปถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องมันเดินผิดทาง มันก็ถอยห่างไปได้เหมือนกัน ยิ่งแก่ยิ่งไกลนิพพานมันไม่ถูกต้อง ใกล้นิพพานคือใกล้ความสงบ มีความสงบมากขึ้น ขอให้สนใจให้ดี ๆ

    ควรศึกษาภูมิ ๔ ของจิตใจ
            เรื่องนี้อาตมาอยากจะให้รู้จักพิจารณาโดยหลักธรรมะที่มีอยู่ เป็นหลักโบราณแต่ดึกดำบรรพ์มา ที่เขาเรียกว่า จิตใจนี้มีอยู่ ๔ ภูมิด้วยกัน ๔ ชั้นนั่นแหละ ๔ ภูมิคือ ๔ ชั้น

            ชั้นแรกคือ กามาวจร มันก็ชอบของน่ารักน่าใคร่ น่าพอใจ เอร็ดอร่อย สนุกสนาน สวยงาม,นี้เป็นภูมิกามาวจรซึ่งก็เป็นกันมาแล้ว ตั้งแต่เด็กจนวัยรุ่นจนหนุ่มสาวก็เรียกว่า ภูมิกามาวจร คือ จิตพอใจในกาม,ในสิ่งที่เรียกว่า กาม.

            ทีนี้ถ้าสูงขึ้นมา มันเลื่อนชั้นขึ้นมาสูงกว่านั้น, ก็พอใจใน รูปาวจร คือ รูปธรรมที่ไม่เกี่ยวกับกาม,รูปธรรมที่ไม่เกี่ยวกับกาม คือเรื่องกามเรื่องเพศนั้นซาไปแล้วก็มาเอาแต่เรื่องไม่เกี่ยวกับกาม เช่นจะเป็นวัตถุสิ่งของ แก้วแหวน เงินทอง อะไรก็ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับกาม,แต่เป็นรูปวัตถุ. แต่ถ้าเรื่องทางจิตใจ เป็นเรื่องทางจิตใจก็พอใจในรูปฌาน คือ ความสุขเกิดจากสมาธิที่มีรูปเป็นอารมณ์ สมาธินั้นมีรูปธรรมล้วน ๆเป็นอารมณ์ ได้ความสงบสุขจากรูปฌานก็พอใจ ในชั้นที่สองนี้เรียกว่ารูปาวจร.

            นี้ต่อมาเห็นว่า รูปนี้ก็ยังยุ่ง ยังเปลี่ยนแปลง ยังกระด้าง ยังอะไรต่าง ๆ,เลื่อนขึ้นไปเป็น อรูป, อรูปไม่มีรูป ถ้าจะพูดอย่างคนธรรมดาสามัญ ก็ไปชอบบุญกุศล เกียรติยศ ชื่อเสียงอะไรไปในทางโน้นแล้ว, ไม่ได้ชอบตัววัตถุข้าวของเงินทองอะไรแล้ว เลื่อนไปชอบที่ไม่มีรูป เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นเกียรติยศ เป็นชื่อเสียง เป็นอะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก. แต่ถ้าเป็นเรื่องทางจิตใจก็ชอบความสุขที่เกิดจากสมาธิที่มีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ที่เขาเรียกว่า อรูปฌาน, ความสุขนี้เกิดจากสิ่งที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ เป็นอากาศ เป็นวิญญาณ เป็นความไม่มีอะไร เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในที่สุดมันเลื่อนมาอย่างนี้ ภูมิที่ ๔ เป็น โลกุตตรภูมิ

            เอามารวมกันแล้วสรุปความสั้น ๆก็ว่า เราเคยชอบเรื่องวัตถุ ทางเอร็ดอร่อย สวยงาม สนุกสนาน เป็นกามารมณ์ จนกว่าจะหมดเขตของหนุ่มสาว, เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ชอบเงินทอง ข้าวของ สมบัติพัสถาน วัวควาย ไร่นา , ถ้าว่ามันเลยนั่นขึ้นไปอีก มันเบื่ออย่างนั้นก็ขึ้นไปหาบุญหากุศล หาสิ่งที่สูงขึ้นไปแหละโดยมาก ก็เป็นเรื่องบุญเรื่องกุศลนั่นแหละ นี่มันเลื่อนชั้นอย่างนี้ ถ้ามันไปได้ไกลกว่านั้นอีก มันก็เป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนคน ในเรื่องทำให้ถูกต้องสำหรับจิตใจจะปกติ นี่เห็นไหมว่า จะเป็นผู้สูงอายุนั้นจะต้องมีจิตใจอย่างไร จะเป็นผู้สูงอายุโดยถูกต้องนั้น จิตใจจะต้องมีจิตใจอย่างไร จึงจะเรียกว่ามีความสูขที่ถูกต้องที่แท้จริง

            ถ้าพูดให้ลึกลงไปอีกหน่อยก็ว่า ไม่รู้อะไรก็ทำบาปกันโดยมากแหละ เป็นทุกข์ ต่อมาก็ค่อย ๆรู้อะไร ไม่ทำบาปทำบุญแล้วก็เป็นสุข ทีนี้ถ้ายังจะมีสูงขึ้นไปอีกกว่านั้นจะมีอะไร ,มันคือ ว่าง คือเป็น นิพพาน เป็นว่าง ไม่มีความรบกวน เป็นบาปหรือเป็นชั่วในทุกข์นี้มันทนไม่ไหว ใคร ๆก็ทนไม่ไหว ก็หลีกเลี่ยงพ้นมาได้ มาถึงบุญ มาถึงดี มาถึงสุข มันก็ยุ่งไปตามแบบสุข จึงจะต้องเลื่อนขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง เป็นแบบว่าง ถึงว่าง คือเลื่อนชั้นนิพพาน

            นี่เข้าใจกันว่าหลักใหญ่ ๆมันมีว่าจากชั่วมาถึงดี, ถ้าเห็นว่าดี มันก็ยุ่งตามแบบดี วุ่นตามแบบดี ก็เลื่อนขึ้นไปถึงชั้นว่าง ว่าง ไม่ชั่วไม่ดี เหนือชั้นเหนือดี หรือว่าถ้ามีทุกข์ เอ้ามีทุกข์ก็ดิ้นรนจนพ้นทุกข์มามีสุข ก็ยุ่งไปตามแบบสุข มีความวุ่นวายไปตามแบบคนที่มีความสุข ก็เลื่อนขึ้นไปแบบว่าคือ นิพพาน,ใกล้นิพพาน, คนมีบาปยุ่งแบบคนมีบาป คนมีบุญก็ยุ่งไปตามแบบคนมีบุญ หาความสงบสุขไม่ได้ เลื่อนจากบุญก็ถึงว่าง คำว่าว่าง ๆนี้ไม่มีอะไรรบกวน


            ทบทวนอีกทีว่าจากชั่วถึงดี จากดีก็ถึงว่าง ว่างนั่นแหละที่สุดแหละ จากบาปไปถึงบุญ ยุ่งนักไม่เอา เลื่อนขึ้นไปเป็นแบบว่าง จากบาปมาถึงบุญ จากบุญมาถึงว่างนี้ทุกข์ไม่ไหว เลื่อนจากทุกข์มาถึงสุข สุขก็ยุ่งไปตามแบบสุข ต้องเหนื่อยกระหืดกระหอบไปตามแบบสุข เลื่อนอีกทีก็ถึงว่าง

            กำหนดดูให้ดี จากชั่วถึงดี จากดีถึงว่าง จากบาปถึงบุญ จากบุญถึงว่าง จากทุกข์ถึงสุข จากสุขถึงว่าง คนโง่ไม่ชอบความว่าง แล้วไม่รู้ด้วย ไม่รู้จักด้วย ไม่เข้าใจด้วย ชอบวุ่นวาย ชอบเอร็ดอร่อย ชอบสนุกสนาน แก่งก ๆแล้วยังเต้นรำ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นความสุขแท้จริง สงบสุขแท้จริงนั้นมันคือความว่าง เทวดาบนสวรรค์ก็วุ่นวายด้วยกามารมณ์ ไม่ว่าง ต้องเลื่อนไปชั้นพรหม เลยชั้นพรหมขึ้นไปอีกจึงจะว่าง สุดชั้นพรหมขึ้นไปอีกมันจึงจะว่าง คือนิพพาน

            นี่ผู้สูงอายุทั้งหลายจะต้องรู้จักความว่าง ว่าไม่มีอะไรรบกวน ไม่มีอะไรเบียดเบียน ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เสียใจมันก็ทรมาน ดีใจมันก็เหนื่อยตามแบบดีใจนะ ดีใจนะกินข้าวไม่ได้นะ ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ แล้วกินข้าวไม่ลงนะ เพราะความดีใจมันสั่นระรัว ๆ ความดีใจไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ความสงบสุข มันต้องหยุดอีกทีหนึ่ง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่ดีใจจึงจะว่าง ว่างนี้เรียกว่า วิเวก ก็ได้ วิเวกไม่มีอะไรรบกวน ของภายนอกก็ไม่รบกวน ของภายในก็ไม่รบกวน ของภายนอกเช่นลูกเล็กเด็กแดงอะไรต่าง ๆ อยู่ภายนอกเป็นคน คนนี้ก็ไม่รบกวน ของภายในก็ไม่มีกิเลสใด ๆขึ้นมารบกวน ว่าง นี่ วิเวก วิเวก นั่นแหละ คือสิ่งที่จะดักอยู่ข้างหน้า พระนิพพานดักอยู่ข้างหน้า จากชั่วถึงดี จากดีถึงว่าง คือ นิพพาน จากทุกข์ถึงสุข จากสุขถึงว่าง คือนิพพาน
    อยากจะให้เข้าใจคำว่า ว่างกันเสียให้ดี ๆ ถ้าไม่ว่างนั้นมันถุกปรุงแต่ง ๆ ๆ นั่งไม่ติดดอก จะต้องปรุงแต่งให้ทำนั่นทำนี่ คิดนั่นคิดนี่ ปรารถนานั่น ปรารถนานี่ ไม่มีเวลาสงบแห่งจิต ถ้าว่างก็ไม่มีอะไรปรุงแต่งยั่วยุ หาความสงบได้ลึกซึ้งถึงจิตใจ


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ : พุทธทาสภิกขุ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 03:17:52 pm »


               

เห็นความเป็นเช่นนั้นเองแล้วจะพบความสงบ
            ขอให้ท่านเปรียบเทียบดู ด้วยการมาเที่ยวนี้ อยู่ลำปางมาเที่ยวภาคใต้นี้ มันเพื่อประโยชน์อะไร? ถ้าเพื่อประโยชน์แก่สนุกสนาน มันก็เหมือนลูกเด็กๆนั่นแหละ ไม่ใช่คนสูงอายุดอก ถ้ามาเที่ยวเพื่อดู เพื่อเล่น เพื่อกิน เพื่อเอร็ดอร่อยสนุกสนานแล้ว ไม่ใช่คนสูงอายุดอก เป็นลูกเด็กๆอีกนั่นแหละ ถ้าเป็นคนสูงอายุจะต้องมาเห็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น อะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร แล้วก็เห็นว่ามันเช่นนั้นเอง ไม่ต้องมาก็ได้ อย่างมาเที่ยวนี้ ถ้ามาทั่วไปแล้วเห็นว่า โอ มันก็เช่นนั้นเอง แค่นี้เอง เท่านั้นเอง ไม่ต้องมาก็ได้ถ้าอย่างนี้ก็เป็นคนสูงอายุแหละ ไม่ใช่ลูกเด็กๆ ถ้ายังมาชอบสนุกสนานชอบแปลกประหลาดตื่นเต้นอะไรอยู่ ยังเป็นลูกเด็ก ๆอยู่นั่นแหละ

            นี่ขอบอกกันตรง ๆอย่างนี้ ไม่เกรงใจ อยากจะโกรธก็โกรธแล้วกัน แต่จะบอกอย่างนี้แหละว่า ถ้าว่าไปแล้วไม่เห็นเช่นนั้นเองแล้วไม่ใช่ที่สุด ไปกิน ไปเล่น ไปสนุกสนาน ไปอะไรอย่างที่เขาไปเที่ยว หนุ่มสาวเขาไปเที่ยวกันโดยมากนั่นแหละ ไม่ใช่ความสงบเลย แล้วก็รีบเห็นเสียซิ ไปเที่ยวที่ไหน ประหลาดสวยงามอย่างไร โอ มันก็เช่นนั้นเอง มันก็เช่นนั้นเอง ตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง ไม่ต้องมาก็ได้ ไม่ต้องมาก็ได้

            ความเป็นเช่นนั้นเองนี้สำคัญมาก ใครเห็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง คนนั้นบรรลุธรรมะสูงสุด ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็น ตถาคต เลย ตถา แปลว่าเช่นนั้น หรือเช่นนั้นเอง คตะ แปลว่า ถึง ตถาคตะ แปลว่าถึงเช่นนั้นเอง เป็นพระอรหันต์เห็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่ตื่นเต้น ไม่วิตกกังวล ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่อิจฉาริษยา ไม่หึงไม่หวง ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่กล่าวคำขัดแย้ง ไม่เห็นอะไรว่าเป็นของแปลก ถ้ายังไม่เห็นเช่นนั้นเอง มันก็ต้องรัก มันเห็นแปลกไม่ใช่ธรรมดา มันก็รัก หรือมันก็โกรธ หรือมันก็เกลียด หรือมันก็กลัว หรือมันก็ตื่นเต้น

            เอาอย่างนี้กันก่อนก็ได้ เพราะไม่เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันก็หลงรักในทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งเมื่อไม่ได้อย่างใจมันก็โกรธก็ขัดใจ อีกทางหนึ่งก็เกลียด ให้โง่ให้เหนื่อยให้กลัว กลัวให้ลำบากแล้วก็ตื่นเต้น ตื่นเต้นเห็นอะไรแปลกก็ตื่นเต้น ไปถึงที่นั่นก็ตื่นเต้น ไปถึงที่นี่ก็ตื่นเต้น นี่คือคนโง่ ไม่เห็นเช่นนั้นเอง แล้วนี่มันก็มีผลไปถึงวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ นอนหลับยากแหละ นอนหลับยากถ้าคนไม่เห็นเช่นนั้นเอง ก็เป็นห่วงอยู่เสมอ แล้วมันก็หวงมันก็หึง หวงหนักมากเข้ามันก็คือหึง เพราะมันไม่เห็นว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง มันไม่เห็นนี่ มันก็รักมากหวงมากถึงขนาดหึง แล้วมันก็ยกตนข่มท่าน ว่ากูมีอะไรดีกว่ามึงแหละ แล้วมันก็จะไม่ยอม มันจะขัดแย้ง ขัดแย้งเสมอไปแหละ แล้วก็ไม่เห็นว่าเช่นนั้นเอง

เห็นเช่นนั้นเองคือเห็นสิ่งสูงสุด
            นี่ขอให้รู้ไว้ว่า นี้แหละคือเครื่องทดสอบว่า สูงแล้ว หรือยังต่ำอยู่ ถ้าเห็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองแล้วก็เรียกว่าสูง จนจิตใจไม่หวั่นไหว ที่เป็นกันอยู่มาก ๆเช่นว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เห็นว่า ความเกิดก็เช่นนั้นเอง ความแก่ก็เช่นนั้นเอง ความเจ็บก็เช่นนั้นเอง ความตายก็เช่นนั้นเอง ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัวอะไรกับมันถ้าเห็นเช่นนั้นเอง อย่างนี้เรัยกว่าเก่งมาก เก่งไปถึงจนที่สุดแหละ จนเห็นว่ามันเช่นนั้นเอง ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย

            ทีนี้ยังโง่อยู่ มันก็เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นของแปลก เป็นของเหลือวิสัย เป็นของอะไรต่าง ๆนา ๆแล้วก็กลัวแล้วก็เป็นทุกข์ อย่างนี้ยังไม่เห็นเช่นนั้นเอง ยังเห็นโลกน้อย ยังรู้จักชีวิตน้อย ยังเหมือนกับเด็ก ๆ
    ถ้าเป็นคนแก่จริง มันก็จะต้องเห็นสูงกว่านั้น เห็นเช่นนั้นเองนั่นเอง ความเจ็บไข้ก็เช่นนั้นเอง ความแก่ก็เช่นนั้นเอง ความตายก็เช่นนั้นเอง หรือกินยารักษาหายก็เช่นนั้นเอง ยานั้นก็เช่นนั้นเองเหมือนกัน มันทำหน้าที่เช่นนั้นเอง เห็นเช่นนั้นเองนั่นแหละเห็นสูงสุดในพระพุทธศาสนาเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา อะไรก็ตามมันรวมไปที่เห็นเช่นนั้นเอง เห็นอนิจจังว่า ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง มันก็เช่นนั้นเอง นี่มันไม่เที่ยง ทุกขัง ๆ ทนยาก ลำบาก ถูกบีบคั้นอยู่ด้วยความไม่เที่ยง มันก็เช่นนั้นเอง แล้วอนัตตา มันไม่มีตัวตนที่จะทนได้ มันก็เช่นนั้นเอง เรียกว่าไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนมันก็เช่นนั้นเอง เป็น สุญญตา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจว่า อิทัปปัจจยตา อิทัปปัจยตาก็เช่นนั้นเอง คือเห็นสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งใดหมด เห็นแล้วเป็นพระอรหันต์ เป็นพระตถาคต

            นี่ขอให้คำนวณดู ว่าเราได้เลื่อนมาในลักษณะนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นผู้สูงอายุแท้จริงตามความหมายในพุทธศาสนา ก็จะต้องเห็นอนิจจังมากขึ้น เห็นทุกขังมากขึ้น เห็นอนัตตามากขึ้น เห็นสุญญตามากขึ้น เห็นอิทัปปัจยตามากขึ้น เห็นตถตามากขึ้น จนคงที่ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีความรู้สึกชนิดที่ยินดียินร้าย ชอบใจก็ยินดี ไม่ชอบใจก็ยินร้าย อย่างนี้ยังโง่มาก มันไม่ได้คิด ไม่ได้สังเกต ไม่ได้ศึกษา ตลอดเวลาที่ผ่านมาแล้ว ถ้าศึกษากันอย่างดีก็จะเห็นว่า มันเช่นนั้เองแหละ ที่มันไม่น่ารักไม่น่าพอใจมันก็เช่นนั้นเอง อย่างหนึ่งก็ทำให้อยากได้ อยากเอา อยากเป็น อีกอย่างหนึ่งก็ทำให้ไม่อยากได้ ไม่อยากเอาไม่อยากเป็น อยากจะฆ่า อยากจะทำลายเสียนี่
มันเรื่องยุ่ง เรื่องปรุงแต่ง ไม่ใช่ความสงบ

ทดสอบตนเองบ้างว่าสูงอายุหรือยัง
            เดี๋ยวนี้ก็เกิดมาอายุหลายสิบปีแล้ว มันก็ควรจะใคร่ครวญดู อะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไรมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนสูงอายุ เป็นคนแก่หง่อมคนเฒ่า มันมีอะไรเป็นอย่างไร ทำไมจะต้องไปหลงรักหลงเกลียด หลงโกรธ หลงกลัว หลงตื่นเต้นกับมัน นี่เป็นเครื่องวัดที่แน่นอน ขอให้เอาสิ่งเหล่านี้ไปเป็นเครื่องวัดว่าสูงอายุหรือยัง หรือว่ายังขึ้น ๆ ลง ๆฟู ๆ แฟบ ๆ เหี่ยวๆ แห้ง ๆบวม ๆอะไร ๆอยู่ เหมือนกับเด็ก ๆ เหมือนกับเด็ก ๆ

            นี่อาตมาพูดอย่างนี้ ก็เพื่อว่าจะให้สำเร็จประโยชน์ในการที่จะเป็นผู้สูงอายุ ในการที่จะตั้งชุมนุม สมาคมของผู้สูงอายุ คือชนะโลก ชนะอายุ ไม่เหมือนกับเด็ก ๆอีกต่อไป เด็กๆ ก็ยกให้เขาเถิด เขาจะต้องรัก ต้องโกรธ ต้องเกลียด ต้องกลัว ต้องตื่นเต้น ต้องวิตกกังวล เพราะเขายังไม่รู้อะไร เด็ก ๆเขาไม่มีความรู้มาแต่ในท้องเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็อภัยให้เด็ก ๆที่จะต้องหลงใหลอย่างนั้นอย่างนี้ หลงใหลในของสวย ของงาม ของไพเราะ ของหอม ของอร่อย ของนิ่มนวล ของอะไรก็ตามใจเป็นเรื่องของเด็ก ๆ แต่เมื่อผู้ใหญ่ผ่านมาพอสมควรแล้ว ก็เห็นเป็นของเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ยิ่งขึ้นไปยิ่งขึ้นไปนั่นแหละ คือว่าสูงอายุยิ่งขึ้นไป ถ้ายังมีความรู้สึกเหมือนเด็ก ๆ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ นี้ไม่ใช่สูงอายุ

            ถ้าเป็นผู้สูงอายุต้องอยู่เหนือการหัวเราะและเหนือการร้องไห้ ไม่ต้องมีการร้องไห้หรือหัวเราะ มันเฉยได้เพราะเห็นว่ามันเท่านี้เอง เช่นนี้เอง แค่นี้เอง จะไม่ไปให้ความสำคัญอะไรมากไปกว่านั้น มีคนแก่ ๆก็ วิเวก คือสงบไม่มีอะไรรบกวนหรือกวนไม่ได้ ไม่มีอะไรปรุงแต่งหรืออะไรปรุงแต่งไม่ได้ นี่เรียกว่าใกล้ต่อพระนิพพาน มันใกล้ต่อพระนิพพานจนกระทั่งในที่สุดก็ปรุงแต่งไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้โดยประการทั้งปวง เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตะหมด รอดไปพ้นไปฝั่งโน้น ไม่อยู่ฝั่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยการปรุงแต่ง ด้วยความทุกข์ ด้วยหัวเราะและร้องไห้


            ขอให้ศึกษาเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ในสิ่งที่ไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้สึกว่าเช่นนั้นเอง เด็ก ๆชอบของเล่นของอร่อย เดี๋ยวนี้มันก็เช่นนั้นเอง กามารมณ์ของคนหนุ่มสาวก็เช่นนั้นเอง เงินทองข้าวของทรัพย์สมบัติของพ่อบ้านแม่เรือนก็เช่นนั้นเอง แล้วก็ชอบความสงบไม่กระโดดโลดเต้น ความไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ฟูไม่แฟบไปตามอารมณ์นั้น ๆ   

             นี่อาตมาก็บอกตรง ๆอย่างนี้ ไม่เกรงใจดอกว่า ถ้าเป็นผู้สูงอายุกันแล้วต้องเป็นอย่างนี้ ปฏิบัติอยู่อย่างนี้ และมันก็เป็นหลักที่อาตมาเองก็ถืออยู่อย่างนี้ ปฏิบัติอยู่อย่างนี้ เพื่อความเป็นผู้สูงอายุ ของให้ใช้คำว่าสูง สูง สูง นี้ให้ถูกต้อง ถ้าสูงมันก็อยู่เหนือแหละ เหมือนกับว่าภูเขาสูง อะไรสูงน้ำมันไม่ท่วมแหละ มันอยู่เหนือเพราะมันสูง ขอให้สูงจนไม่มีอะไรท่วม ความทุกข์ก็ไม่ท่วม กิเลสก็ไม่ท่วม อะไร ๆก็ไม่ท่วม ไม่มีอะไรท่วมจิตใจได้ เพราะว่าจิตใจมันสูงเสียแล้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 15, 2012, 01:27:33 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ : พุทธทาสภิกขุ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 04:06:29 pm »


                     

จิตใจสูงได้เพราะรู้อย่างถูกต้อง
            สูงเพราะเหตุอะไร สูงเพราะรู้ รู้อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร แล้วก็ไม่ตื่นเต้นไม่อะไรหมด ไม่รักอะไร ไม่โกรธอะไร ไม่เกลียดอะไร ไม่กลัวอะไร ไม่ตื่นเต้นอะไร นี่ยังชอบไปดูของเล่น บางทีคนแก่ ๆยังไปชอบดูมวย ไปดูกายกรรมไปดูอะไรที่มันน่าตื่นเต้น นี่เพราะยังไม่เห็นว่าเช่นนั้นเอง ถ้าเขาไปโลกพระจันทร์ได้ก็ตื่นเต้น ที่จริงมันก็เช่นนั้นเองแหละ เมื่อทำถูกต้องเช่นนี้มันก็ไปโลกพระจันทร์ได้ ไม่น่าตื่นเต้นอะไรเป็นเรื่องธรรมดา ๆ

            นี่ความที่ว่าสูง สูง สูงจนอะไรท่วมไม่ได้ กิเลสท่วมไม่ได้ ความโลภท่วมไม่ได้ ความโกรธท่วมไมได้ ความหลงท่วมไม่ได้ ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้ เพราะมันไม่ไปหลงรักหลงโกรธหลงเกลียด แล้วมันไม่เกิดกิเลส แล้วมันไม่เกิดความทุกข์ดอก ความทุกข์เกิดได้เพราะมีกิเลส กิเลสมันเกิดเพราะไม่รู้ตามที่เป็นจริงว่ามันเช่นนั้นเอง มันจึงโง่ไปว่าน่ารักน่าเกลียด ว่าได้กำไรว่าขาดทุน ว่าแพ้ว่าชนะ ว่าสวยว่าไม่สวย เป็นคู่ ๆไปทุกคู่ ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยคู่ มันก็โง่เป็นคู่ ที่จริงมันเป็นเช่นนั้นเอง ในเรื่องเหล่านี้มันเช่นนั้นเอง เพราะมันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นไปตามวิสัยโลกเป็นไปตามธรรมดาโลก
    เพราะไม่เห็นว่ามันเช่นนั้นเองมันจึงเห็นเป็น
ดีเป็นชั่ว เป็นได้เป็นเสีย เป็นบุญเป็นบาป เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นแพ้เป็นชนะ เป็นมั่งมีเป็นยากจน เป็นอะไรต่าง ๆ ที่จริงมันก็คือเช่นนั้นเอง คือเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันเช่นนั้นเอง เมื่อเราต้องการจะไม่ยากจน ก็ทำให้ถูกเรื่องเช่นนั้นเองของความไม่ยากจน อยากจะดีก็ให้ถูกต้องตามเรื่องของดีก็ดี แต่ว่า ถ้าไปทำยึดมั่นเข้าแล้ว มันกัดเอาทั้งนั้นแหละ บุญก็ดีความสุขก็ดี อะไรก็ดีถ้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเราแล้ว มันหนักอกหนักใจ นอนไม่หลับทั้งนั้นแหละ


มีหรือเป็นไม่ถูกต้องเพราะความยึดมั่น
            ขอให้ไปดูในเรื่องนี้ว่า ถ้าไปยึดมั่นว่าเป็นตัวเราหรือของเราแล้ว มันก็หนักอกหนักใจนอนไม่หลับทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเอามาเป็นเราเป็นของเราเลย ให้มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเช่นนั้นเอง ถ้าเราจะเอามากินมาใช้มาเกี่ยวข้องก็ให้รู้จักเช่นนั้นเอง ใช้อย่างเช่นนั้นเอง อย่าเอามาเป็นตัวกูเป็นของกู ให้มันเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ

            เงินทอง ข้าวของ วัวควาย ไร่นา ก็มีอย่างเช่นนั้นเอง จะกินจะใช้ก็ทำไปอย่างเช่นนั้นเอง อย่าเอามายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูเป็นของกู เป็นตัวเราเป็นของเรา ให้มันเป็นไปเช่นนั้นเองไปตามธรรมชาติ วัวควายก็ให้มันอยู่ในทุ่งนา อย่ามาอยู่บนหัวของเจ้าของ นอนไม่หลับ เงินเอาไปฝากไว้ในธนาคารก็อยู่ในธนาคาร อย่ามาสุมอยู่บนหัวของเจ้าของแล้วนอนไม่หลับ ลูกหลานเหลนก็เหมือนกันแหละ ให้มันเป็นเช่นนั้นเอง ให้มันถูกต้อง อย่ามาสุมอยู่ในอกในใจคนแก่ ๆ จนนอนไม่หลับ นี่เพราะยึดมั่นถือมั่นแล้วมันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น จะทำให้เป็นทุกข์ทรมาน เรียกว่ามันกัดเอา

            ถ้าปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ มันก็ไม่ทำอันตราย มันเป็นเช่นนั้นเอง แต่พอเอามายึดถือว่าตัวกู-ของกูมันก็กัดเอาทันที เพราะยึดมั่นถือมั่นมันจึงกัดเอา เหมือนกับว่าถ้าเรายกขึ้นมาหิ้วไว้ มือมันก็หนัก ไม่หิ้วมันก็ไม่หนักมือ ถ้าเราปล่อยวางเสียมันก็ไม่หนักมือ พอเรามาหิ้วมาถือไว้มันก็หนักมือ นั่นแหละคือมันกัดเอา จะมีก็มีโดยที่ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น มีอย่างถูกต้องตามเช่นนั้นเองก็มีได้ มีเงินมีทอง มีอะไรก็มีได้โดยไม่ต้องหนักอกหนักใจ ถ้ามีไม่เป็นแล้วมันก็กัดเอา มันหนักอกหนักใจนอนไม่หลับ เป็นบ้าก็มี ฆ่าตัวเองตายก็มี เพราะมีเป็นตัวกูของกู นี้มันเกิดเข้าใจผิดเป็นตัวเป็นของตัวขึ้นมา มันก็เห็นแก่ตัว เมื่อยึดมั่นก็เกิดความเห็นแก่ตัว

            เมื่อเห็นแก่ตัวมันก็เกิดกิเลส เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อเกิดกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็ต้องเกิดความทุกข์แหละ แล้วมันก็ไม่รักผู้อื่น มันก็ไม่ช่วยใครดอก เพราะมันเห็นแก่ตัวมันก็ไม่เห็นแก่ผู้อื่น เพราะเห็นแก่ตัวมันก็ไม่เห็นแก่ธรรมไม่เห็นแก่ความถูกต้อง มันเห็นแก่ตัวเรื่อยไป เดี๋ยวนี้ในโลกมีแต่คนเห็นแก่ตัวจึงเบียดเบียนกัน เบียดเบียนกัน ดูซิเบียดเบียนกันเท่าไหร่ ที่ไหนก็ตามเพราะเห็นแก่ตัวมันเบียดเบียนกัน เกิดเป็นคนมั่งมีกับคนยากจนเห็นแก่ตัว ต่อสู้กัน คนมั่งมีเป็นนายทุนก็เห็นแก่ตัว คนยากจนเป็นกรรมกรก็เห็นแก่ตัว เป็นคอมมิวนิสต์ นายทุนก็เห็นแก่ตัว คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัว ก็ได้กัดกันไม่มีที่สิ้นสุด นี่มันเป็นเรื่องกิเลสเพราะไปยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นของตัว แล้วก็มีของสวยของงามของหอมของเอร็ดอร่อยเพิ่มขึ้น ๆ ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว

            เดี๋ยวนี้ในโลกมันยิ่งเห็นแก่ตัว ก็เพราะมันมีการส่งเสริม มีเครื่องส่งเสริม มีของสวยของงามของเอร็ดอร่อยมาส่งเสริม มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวนี้ คนไม่รู้ความถูกต้อง ไม่รู้ความพอดี ไม่รู้ความสงบ รู้แต่ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ส่งเสริม ปรุงแต่งให้ยิ่ง ๆขึ้น ๆไป ไม่มีความถูกต้องในการกระทำ เลยไม่มีพอใจอะไร มีแต่ หิว หิว หิว ต่อไป ได้มาเท่านี้ก็หิวให้มากกว่านี้ แล้วก็หิวต่อไป ได้มาเท่านั้นก็อยากมากกว่านั้น ก็หิวต่อไป หิวเรื่อยไป ไม่มีวันหยุดหิว แล้วจะเรียกว่าผู้สูงอายุได้อย่างไร มันก็เท่าเดิมแหละ ถ้ารู้จักลดกิเลส ลดความหิว ลดความต้องการ เห็นว่า โอ๊ยมันเช่นนั้นเองแหละ มันก็เช่นนั้นเองแหละ นั่นแหละ เรียกว่า มีปัญญาสมกับเป็นผู้สูงอายุ รู้จักความถูกต้อง ว่าจะต้องทำจิตใจอย่างไร คิดอย่างไร พูดจาอย่งาไรให้มันถูกต้อง ก็คือธรรม ธรรมะก็คือความถูกต้อง

ธรรมะคือหน้าที่ ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้อง
            หน้าที่ทุกหน้าที่ทำให้ถูกต้อง แล้วก็จะมีความสุข หน้าที่ ๆนั่นแหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ คนเหล่านี้ปากว่าเคารพพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ พระพุทธเจ้าเคารพอะไรรู้ไหม ? พระพุทธเจ้าทรงเคารพธรรมะ ,ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือหน้าที่

            เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วใหม่ ๆท่านถามตัวเองว่า นี่จะเคารพอะไรต่อไปนี้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ใคร่ครวญไปใคร่ครวญมา โอ เคารพธรรมะ เคารพธรรมะ จึงประกาศออกว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบันล้วนแต่เคารพธรรมะ เคารพธรรมะคือหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เป็นพระพุทธเจ้าก็ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าดอก

            เราทั้งหลายเหล่านี้ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ทำหน้าที่ของตนก็ไม่เป็นคนดอก ถ้าทำหน้าที่ของเด็กก็เป็นเด็ก ทำหน้าที่ของวัยรุ่นก็เป็นวัยรุ่น ทำหน้าที่ของหนุ่มสาวก็เป็นหนุ่มสาว ทำหน้าที่พ่อบ้านแม่เรือนก็เป็นพ่อบ้านแม่เรือน ทำหน้าที่ของคนแก่ก็เป็นคนแก่ ทำหน้าที่อะไรก็เป็นอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้ถูกต้อง อยากจะเป็นผู้พ้นทุกข์อยู่เหนือความทุกข์ ก็ทำหน้าที่ให้มันถูกต้อง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 13, 2013, 07:21:52 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ : พุทธทาสภิกขุ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 04:31:14 pm »



ความสุขหาได้เมื่อทำหน้าที่ถูกต้อง
            หน้าที่ของผู้สูงอายุ เกิดมานานล่วงผ่านวัยมานาน ทำให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้องในหน้าที่นั้น ๆแล้วก็พอใจ แล้วก็เป็นสุข ไม่ต้องมาเที่ยวภาคใต้ให้เสียสตางค์ ล้างถ้วยล้างจานกวาดบ้านถูเรือนอยู่ที่บ้านนั่นแหละ มีสติสัมปชัญญะทำให้ดีที่สุด ให้รู้สึกว่าถูกต้องที่สุด แล้วก็พอใจที่สุด จะมีความสุขที่แท้จริงอยู่เมื่อล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้านถูเรือน ท่านทั้งหลายคงไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ขอให้เอาไปคิดเถิด ความสุขที่แท้จริงมันเกิดโดยไม่ต้องเสียเงินสักสตางค์หนึ่ง อะไรเป็นหน้าที่ทำให้ถูกต้อง แล้วก็พอใจ พอใจแล้วก็เป็นสุข ส่วนที่เอาเงินไปซื้อไปใช้นั้น เป็นเรื่องความเพลิดเพลินที่หลอกลวงทั้งนั้น ยิ่งใช้เงินมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งหลอกลวงมากเท่านั้น ยิ่งใช้เงินมากเท่าไหร่ยิ่งไม่ใช่ความสุขเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องใช้เงินเลย แต่ว่าทำให้ถูกต้องและพอใจ พอใจนี้เป็นความสุขที่แท้จริง

            ตื่นนอนขึ้นมา ล้างหน้าให้ดี ถูฟันให้ดี มีสติสัมปชัญญะให้ดี มีแปรงถูฟัน และฟันเป็นอารมณ์ของสมาธิ ทำด้วยจิตใจที่เป็นสมาธิถูกต้อง ถูฟันล้างหน้าพอใจ ถูกต้องพอใจ เป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้า ได้ความสุขที่แท้จริงตลอดเวลาที่ล้างหน้า แต่คนโง่มันทำไม่ได้ คนโง่ทำไม่เป็น บางทีมันไม่อยากจะล้างหน้าเสียด้วยซ้ำไป เมื่อล้างหน้าจิตใจมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ โกรธใครรักใครอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีสติสัมปชัญญะ สมาธิในการล้างหน้าและถูฟัน ก็ไม่ได้รับความพอใจและเป็นสุข ในขณะที่ล้างหน้าและถูฟัน

            นี้ไปอาบน้ำเข้าไปในห้องน้ำ มีสติสัมปชัญญะรู้ว่าเป็นหน้าที่ ถูกต้องที่สุดทำให้ดีที่สุด จะเปิดก๊อกน้ำ จะตักน้ำอาบ จะถูขี้ไคล มีสมาธิอยู่ที่ขี้ไคล ขี้ไคลหลุดออกไปเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าเป็นความถูกต้องและพอใจ เลยเป็นสุขพอใจ เป็นสุขที่แท้จริงตลอดเวลาที่อาบน้ำ แต่คนโง่ทำไม่ได้ จิตใจมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะอาบน้ำให้ดีที่สุด ไม่ทำปัญญาในการอาบน้ำให้ดีที่สุด มันก็ไม่มีความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ มันก็ไม่ได้รับความสุข เมื่ออาบน้ำก็คิดว่าจะเอาเงินไปหากามารมณ์ ไปเล่นหัวสนุกสนานที่ไหนไปหากันที่นั้น นั้นมันความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ขอให้อยู่ที่หน้าที่ที่ต้องทำแต่ละวันๆ ให้ถูกต้องและพอใจ ทีนี้จะยกตัวอย่างเมื่อไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะ เข้าในห้องน้ำเพื่อไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะหรือที่ไหนก็ตาม ขอให้มีสติสัมปชัญญะ ทำหน้าที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้ดีที่สุด ดีที่สุด ให้รู้สึกว่าพอใจๆ ก็เลยมีความสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ แต่นี้คนโง่ทำไม่ได้ เพราะจิตใจมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันไม่มีสติสัมปชัญญะ ที่จะทำหน้าที่อันนี้ให้ดีให้ถูกต้อง และพิจารณาด้วยสมาธิเลย

            ทีนี้จะไปกินข้าว เข้าไปในห้องอาหาร ต้องมีสติสัมปชัญญะทำให้ดีที่สุด ตักข้าวใส่จาน ตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวข้าวกลืน มีสติสัมปชัญญะทำให้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด พอใจที่สุด ก็มีความสุขตลอดเวลาที่กินอาหาร เดี๋ยวนี้ คำนี้ถูกปากมันก็บ้าไปเลย คำนี้ไม่ถูกปากมันก็ด่าเลย มันมัวแต่อร่อยไม่อร่อย ทะเลาะกับความไม่อร่อย ถ้ามีแม่ครัวเป็นลูกจ้างแล้วก็ด่าแม่ครัวเลย ไม่เคยคิดว่านี้มันเช่นนั้นเอง ที่มันไม่มีรสอร่อยก็เช่นนั้นเอง ที่มีรสอร่อยมันก็เช่นนั้นเอง ถ้าผลไม้ลูกนี้มันเปรี้ยวไปก็คิดว่ามันเช่นนั้นเอง เราก็กินของเปรี้ยว ทำไมจะต้องโกรธ ถ้าแตงโมนี้มันจืดไป ทำไมจะต้องโกรธว่ามันเป็นแตงโมชนิดนี้ เราก็กินได้ แล้วมันเป็นชนิดนี้นี่เอง ก็ไม่ต้องโกรธ แล้วยังได้รับประโยชน์ ที่ว่าปกติ ปกติ ปกติ กินอาหารด้วยสติสัมปชัญญะ สมาธิ และปัญญา มีความสุขว่าถูกต้องแล้วพอใจแล้ว ตลอดเวลาที่กินอาหาร ได้รับความสุขที่แท้จริงไม่ต้องเสียสตางค์สักสตางค์เดียว เพราะว่ามันทำถูกต้อง

         

            ทีนี้ก็จะมาถึงว่า ล้างถ้วยล้างจานกวาดบ้านถูเรือน จะล้างถ้วยล้างจานก็ได้ กวาดบ้านก็ได้ ถูเรือนก็ได้ จงมีสติสัมปชัญญะ ล้างถ้วยล้างจานกวาดบ้านถูเรือน ถ้าล้างจานก็มีสติอยู่ที่ถ้วยที่จานที่ล้าง ที่ของสกปรกที่ติดอยู่ที่ถ้วยที่จานหลุดออกไปๆ หลุดออกไป รู้สึกว่าถูกต้องๆ พอใจๆ ก็เป็นสุขในการกระทำอย่างนั้น แต่คนโง่ทำไม่ได้ มันทนทำไม่ได้ เพราะว่าจิตใจมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีสติสัมปชัญญะจะล้างถ้วยล้างจานให้เป็นสมาธิ ให้เป็นปัญญา ให้รู้ว่าถูกต้องแล้วก็พอใจ

            เมื่อกวาดบ้านขอให้จิตใจอยู่ที่ปลายไม้กวาด เป็นสมาธิที่ปลายไม้กวาด ขี้ฝุ่นที่อยู่ปลายไม้กวาดเป็นอารมณ์ของสมาธิ แล้วก็กวาดไป กวาดไปด้วยสติด้วยสมาธิ ถูกต้อง พอใจ ๆ เลยมีความสุขที่แท้จริงตลอดเวลาที่กวาดบ้าน หรือถูเรือนเหมือนกันแหละกับกวาดบ้าน ผ้าชุบน้ำติดอยู่ที่ของสกปรกเป็นอารมณ์ของสมาธิ ทำไป ทำไป เจริญสมาธิอยู่ที่นั่น จนเสร็จจนถูกต้องพอใจ พอใจ แต่แล้วคนโง่ไม่ทำ ทำไม่ได้ ไม่รู้จักทำ ต้องเอาเงินไปซื้อหาอะไรที่สวยงาม หอมหวล สนุกสนาน เอร็ดอร่อยโน่น จึงจะว่าได้ความสุข เป็นความโง่ คือสิ่งที่ได้มานั้นไม่ใช่ความสุข มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ความสุขเป็นความโง่ คือสิ่งที่ได้มานั้นมันไม่ใช่ความสุข มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ถ้าเป็นความสุขจริงต้องให้เกิดความรู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้องตามทางธรรมะ เป็นหน้าที่ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ พระพุทธเจ้าเคารพหน้าที่ เดี๋ยวนี้เราก็เคารพหน้าที่ ทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุดตรงกับพระพุทธเจ้า เราก็ยินดีพอใจเป็นสุข เป็นสุขแท้จริง เรียกได้ว่าความสุขแท้จริง ไม่ใช่ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงที่เอาเงินไปซื้อไปหามามากมายเต็มบ้านเต็มช่อง หรือนอกบ้านนอกช่อง ต้องไปกินไปเล่นนอกบ้านนอกช่อง มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เพราะฉะนั้นอย่าให้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนี้หลอกลวงต่อไป อย่าให้ความหลอกลวงนี้หลอกลวงว่ามาทัศนาจร มาเที่ยวหาความเพลิดเพลินอย่างนี้ ซึ่งมันก็จะไม่คุ้มค่าเงินก็ได้ มันไม่ฉลาดขึ้น ถ้าฉลาดขึ้นต้องให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไปบ้านไหนเมืองไหนไปเที่ยวที่ไหน ไปทัศนาจรที่ไหนก็เห็น ความเป็นเช่นนั้นเอง

            ในที่สุดมันก็จะบอกว่า โอ้ นี่ไม่ต้องมาก็ได้โว้ย นี้ไม่ต้องมาก็ได้ มันเป็นเช่นนั้นเอง หาดูได้ทั่วไป ที่บ้านก็มี หาพบเป็นเช่นนั้นเองแล้วก็หยุดทันที จิตมันไม่ปรุงแต่ง จิตมันไม่ฟุ้งซ่าน จิตมันไม่ยึดมั่นถือมั่น มันมีความสุข มีวิเวก มีความสงบที่นั่น ที่ตรงนั้น ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่สักสตางค์แดงเดียว อย่างนี้มันเก่งเท่าไหร่ มันถูกต้องเท่าไหร่ มันมีเหตุผลเท่าไหร่ ขอให้ท่านทั้งหลายช่วยพิจารณากันดู

            หน้าที่ที่ถูกต้องพอใจนั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง ชาวนาก็ทำนาให้ถูกต้องที่สุดพอใจที่สุด ชาวสวนก็ทำสวนให้ถูกต้องที่สุดพอใจที่สุด คนค้าขายก็ค้าขายให้ถูกต้องที่สุดพอใจที่สุด ทำราชการก็ทำราชการให้ถูกต้องที่สุดพอใจที่สุด เป็นกรรมกรแบกหามก็ทำให้ถูกต้องพอใจที่สุด ยิ่งเหงื่อออกมาก็ยิ่งรู้ว่ายิ่งถูกต้อง แม้ว่ามันอาภัพอับโชคมันต้องนั่งขอทาน ก็ขอทานให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หาเลี้ยงชีพให้ถูกต้อง ให้ดีที่สุดก็พอใจที่สุด แล้วก็บริหารร่างกาย อย่างว่าจะกินข้าวจะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ บริหารอย่างนี้ก็ทำดีที่สุด จะคบหาสมาคมกับเพื่อน ญาติมิตรสหายทั้งหลาย ก็ทำดีที่สุดถูกต้องที่สุด มีความพอใจที่สุด พอใจเพราะความถูกต้อง ถูกต้อง นึกขึ้นมาก็พบแต่ความถูกต้อง ค่ำลงใคร่ครวญดูว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง ก็พบแต่ความถูกต้อง ๆทุกอิริยาบถ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เข้าใจว่าเป็นคำพูดที่ท่านทั้งหลายยังไม่เคยได้ยิน ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไหร่เป็นสวรรค์เมื่อนั้น เกลียดน้ำหน้าตัวเองเมื่อไหร่เป็นนรกเมื่อนั้น ไม่ต้องไปหาที่ไหน ถ้าทำจนยกมือไหว้ตัวเองได้ที่ไหนก็เป็นสวรรค์ที่แท้จริงเมื่อนั้น
  ทำไม่ถูกต้อง เกลียดตัวเอง รังเกียจตัวเองอยู่เสมอ ก็เป็นนรกเมื่อนั้น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 13, 2013, 07:27:30 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ : พุทธทาสภิกขุ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 05:06:54 pm »



พระพุทธเจ้าตรัส สวรรค์-นรก ที่นี่ เดี๋ยวนี้
              สวรรค์ต่อตายแล้วอยู่ข้างบนฟ้า นรกต่อตายแล้วอยู่ใต้ดินนั้น ยังไม่มีปัญหายังอยู่ไกล แล้วควบคุมไม่ได้ทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้ ควบคุมได้ทำได้ ให้เป็นสวรรค์ขึ้นมาได้ เมื่อมีความถูกต้องในหน้าที่ที่กระทำ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัส คนก่อนพระพุทธเจ้าเขาถือว่า นรกอยู่ใต้ดินสวรรค์อยู่บนฟ้า ทำบูชายัญทำอะไรแล้วก็ไป พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเขาเชื่อกันอย่างนี้อยู่แล้วนะ เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาประชาชนเขาเชื่ออย่างนี้อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ขัดคอ ไม่ขัดแย้ง ไม่ขัดขวาง เมื่อเชื่ออย่างนี้ก็ทำ แต่ตรัสว่า ถ้าอยากไปสวรรค์ก็ทำอย่างนี้ ๆ รักษากุศลกรรมบถ อยากไปนรกก็ทำอกุศลกรรมบถ แต่ว่าฉันเห็นแล้ว นรกอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อทำผิดพลาดไม่ถูกต้อง สวรรค์ก็อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อกระทำที่ถูกต้อง นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ที่ท่านสอน นรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้านั้นเขาสอนอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเขาเชื่ออย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านก็ไม่ยกเลิกของเขา ก็ไม่ขัดคอเขา แต่บอกว่าต้องรักษาความถูกต้องจึงจะไปสวรรค์ ถ้าทำผิดพลาดก็ต้องไปนรก เดี๋ยวนี้ฉันจะบอกให้มันชัด อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ว่าอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นแหละ ทำให้ถูกต้อง ๆเถิด เป็นสวรรค์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่นี่และเดี๋ยวนี้

           ระวังให้ดีที่ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าทำอะไรที่มันผิด มันจะเป็นนรกขึ้นมาที่นี่และเดี๋ยวนี้
แล้วก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ถูกต้องและพอใจเหมือนอย่างที่ว่ามาแล้ว ทำหน้าที่ถูกต้องไปเสียหมด ในการหาเลี้ยงชีวิตก็ดี ในการบริหารชีวิตประจำวันก็ดี ในการคบหาสมาคมก็ดี ถูกต้องไปหมด มันก็เป็นสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่มีนรกเลย นึกถึงทีไรยกมือไหว้ตัวเองได้เดี๋ยวนั้น

           ค่ำลงคิดบัญชีดู โอ๊ะ เต็มไปด้วยความถูกต้อง ยกมือไหว้ตัวเอง อย่างนี้คือ ไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านทรงเคารพหน้าที่ ท่านค้นพบเรื่องหน้าที่ สอนเรื่องหน้าที่อันสูงสุด พระธรรมก็คือตัวหน้าที่ที่ท่านสอนนั่นแหละ พระสงฆ์ก็คือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จจนมีความสุขนั่นแหละ ฉะนั้น ทั้งพระพุทธ ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ เกี่ยวกันอยู่กับหน้าที่ทั้งนั้น ทำให้ถูกต้องในเรื่องหน้าที่ ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ แล้วก็จะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พร้อมกันไปในตัว จึงกล่าวได้ว่ายกมือไหว้ตัวเองเมื่อไรเป็นการไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พร้อมกันไปเมื่อนั้น เพราะเป็นความถูกต้องในเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่ คำว่าหน้าที่มันมีความสำคัญอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงเคารพ แล้วคนที่เคารพพระพุทธเจ้านี้มันยังโง่ ไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ

การทำหน้าที่ถูกต้องจะช่วยให้รอด
            ฉะนั้น ขอให้เราทุกคนเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเคารพ คือ หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ถ้าเรียกเป็นไทยก็เรียกว่าหน้าที่ ถ้าเป็นถาษาอินเดียโบราณ ก็คือ ธรรมะ ธรรมะ พระธรรม ธรรมะคือหน้าที่ คำเดียวกับคำว่าหน้าที่ในภาษาไทย หน้าที่คือสิ่งที่ที่จะช่วยให้รอด เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งเดียวกัน คุณไม่ทำหน้าที่ลองดูซิ ลองไม่ทำหน้าที่ดู จะตายทันทีแหละ ที่อยู่ได้ เพราะทำหน้าที่ถูกต้อง ฉะนั้นหน้าที่ที่ถูกต้องนั่นแหละคือ ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องแล้วช่วยให้รอด พอไม่ทำหน้าที่มันก็คือตาย คนก็ตายลองไม่ทำหน้าที่ สัตว์เดรัจฉานก็ตาย ต้นไม้ต้นไร่ก็ตาย ถ้าไม่ทำหน้าที่ เดี๋ยวนี้มันทำหน้าที่อยู่อย่างถูกต้องมันจึงรอดอยู่ได้ มีธรรมะคือการทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ถ้าไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่มีธรรมดอก ต่อให้ในโบสถ์ โบสถ์ไหนก็ตาม มันไม่ทำหน้าที่ มันมีแต่นั่งสั่นเซียมซี จุดธูปจุดเทียนพูดอ้อนวอนขอร้อง มันไม่ทำหน้าที่อะไร

อย่างนี้ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะเลย ธรรมะไปอยู่กลางทุ่งนา ไถนาอยู่โครม ๆนั่น กลับมีธรรม เพราะว่ามันทำหน้าที่ ฉะนั้นในโบสถ์ต้องทำหน้าที่ ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว ในโบสถ์จึงจะมีธรรมะ ในวัดจึงจะมีธรรมะ แล้วมันก็รอด รอด ไม่มีหน้าที่ก็ไม่มีความรอด ไม่มีพระเจ้าไหนมาช่วยได้ดอก ให้จุดธูปจุดเทียนบูชาอ้อนวอนขอร้องสักเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าไม่ทำหน้าที่มันไม่รอดดอก มันตาย พระเจ้าสักฝูงหนึ่งก็ช่วยไม่ได้ถ้าไม่ทำหน้าที่ ถ้าทำหน้าที่ หน้าที่นั่นแหละกลายเป็นพระเจ้าขึ้นมา แล้วก็ช่วยให้รอดทันที คงจะเคยได้ยินที่เขาพูดกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ว่าพระเจ้าไม่ช่วยคนไม่ทำหน้าที่นั้นคือความจริงที่สุด เมื่อคนไม่ทำหน้าที่พระเจ้าก็มาช่วยไม่ได้ ตั้งใจจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ ทำหน้าที่ หน้าที่ก็กลายเป็นพระเจ้า แล้วก็ช่วย แล้วก็ช่วย ก็ช่วยได้สิ เพราะมันทำหน้าที่นี่ หน้าที่มันก็ช่วย ธรรมะนั่นแหละช่วย หน้าที่นั่นแหละช่วย

            ฉะนั้น อย่ามัวบนบานศาลกล่าวอ้อนวอนให้เป็นไสยศาสตร์ เป็นคนหลับอยู่เลย ไสยศาสตร์แปลว่าเป็นศาสตร์ของคนหลับ พุทธศาสตร์แปลว่าเป็นศาสตร์ของคนตื่น ไสยะ ๆนั้นแปลว่าหลับ ไสยศาสตร์ก็ศาสตร์ของคนหลับ ไม่รู้ ไม่มีปัญญา งมงายไปตามธรรมเนียมประเพณี บนบานศาลกล่าวไปตามธรรมเนียมตามประเพณี มันเป็นไสยศาสตร์อย่างนี้ช่วยไม่ได้ดอก ถ้าไม่ทำหน้าที่ มันต้องทำหน้าที่ พระเจ้าจึงจะเกิดขึ้นและช่วยได้ พุทธศาสตร์มีสติปัญญารู้เรื่องหน้าที่ว่ากรณีนี้ควรทำอย่างไร กรณีนี้ควรทำอย่างไร ก็ทำถูกต้องหมด มันก็ช่วยในตัวมันเอง
            เราเป็นพุทธบริษัทนะ จะต้องถือพุทธศาสตร์นะ เป็นพุทธบริษัทต้องถือพุทธศาสตร์ เป็นพุทธบริษัทอย่าถือไสยศาสตร์เลย มันเป็นศาสตร์หลับ ไม่มีสติปัญญา มันยังหลับอยู่ ได้แต่บนบานศาลกล่าว ขอร้องอ้อนวอน ที่รอดอยู่ได้บ้าง เพราะมีการทำหน้าที่ ส่วนนั้นเป็นพุทธศาสตร์นั่น ส่วนที่บนบานศาลกล่าวขอร้องอ้อนวอนนั้นเป็นไสยศาสตร์ เป็นลมๆ แล้งๆ
ที่แท้จริงคือหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่ถูกต้องก็ช่วยได้ นี้ก็เป็นพุทธศาสตร์

ผู้สูงอายุควรศึกษาปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง
            ขอให้มีพุทธศาสตร์มากขึ้น ให้ไสยศาสตร์ลดลง ให้พุทธศาสตร์มากขึ้น ให้ไสยศาสตร์ลดลง นั่นแหละจึงจะเรียกว่าผู้สูงอายุ มีไสยศาสตร์มาแต่เด็ก ๆก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่รู้ เดี๋ยวนี้มันอายุมากเข้า ๆเป็นผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ไสยศาสตร์ควรจะลดลง พุทธศาสตร์ควรจะเพิ่มขึ้น รู้ธรรมะอย่างถูกต้อง ทำได้ถูกต้องไปหมด สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง สัมมาสังกัปโป ปรารถนาถูกต้อง สัมมาวาจา พูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันโต ทำการงานถูกต้อง สัมมาอาชีโว ดำรงชีวิตถูกต้อง สัมมาวายาโม พากเพียรถูกต้อง สัมมาสติ กำหนดสติถูกต้อง สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นถูกต้อง ถูกต้อง ชอบ ถูกต้องนั่นแหละรอดได้ นั่นแหละถูกต้อง นั่นแหละรอดได้ ให้หน้าที่ของเราถูกต้อง ๆ ถูกต้องไปทุกหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่อะไรขอให้รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ สมมุติว่าคัน คันที่หลังจะเอื้อมมือไปเกา มีสติสัมปชัญญะ ทำหน้าที่เป็นธรรมะให้ถุกต้อง เพียงเท่านี้ก็มีธรรมะแล้ว มีความสุขแท้จริงแล้ว มีความพอใจ มีสติสัมปชัญญะ มีสมาธิ มีปัญญา เพราะว่าเอื้อมมือไปเกาที่คัน นี่ยกตัวอย่างอย่างเล็กที่สุดแล้ว ว่าต้องทำให้ดีที่สุดไม่ว่าหน้าที่อะไร

            ฉะนั้นจงปฏิบัติหน้าที่ในการทำมาหากินให้ถูกต้อง ในการบริหารร่างกายประจำวันให้ถูกต้อง ในการคบหาสมาคมให้ถูกต้อง เรื่องคบหาสมาคมก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน  ให้ปฏิบัติหน้าที่เบื้องหน้าบิดามารดา ทุกคนมีบิดามารดา แม้แก่เฒ่าแล้วก็มีบิดามารดา ปฏิบัติต่อบิดามารดาให้ถูกต้อง ปฏิบัติเบื้องหลังบุตรภรรยาให้ถูกต้อง ปฏิบัติเบื้องซ้ายมิตรสหายให้ถูกต้อง ปฏิบัติเบื้องขวาครูบาอาจารย์ให้ถูกต้อง ปฏิบัติเบื้องบนผู้ที่อยู่เหนือทั้งหมดให้ถูกต้อง ปฏิบัติเบื้องล่างคือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดให้ถูกต้อง นี้เป็นหน้าที่เหมือนกัน หน้าที่ทางสังคมทางสมาคม อย่าได้พร่องเลย ทำมาหากินถูกต้อง บริหารชีวิตถูกต้อง ทำการคบหาสมาคมถูกต้อง ก็เลยถูกต้องๆๆ เต็มไปหมด
            นี่ผู้สูงอายุที่แท้จริง มีความถูกต้องเพิ่มขึ้น มีความผิดพลาดลดลง มีความผิดพลาดลดลง ถูกต้องมากขึ้น ถูกต้องมากขึ้น จนถูกต้องถึงที่สุด ยกมือไหว้ตัวเองได้ เรื่องก็จบ

            นี้อาตมาขออภัยบ้างที่กล่าวอะไรตรง ๆมันจะเป็นการกระทบกระเทือนบ้าง ก็ขอให้คิดว่ากล่าวด้วยความหวังดี ด้วยความหวังว่า จะเลื่อนชั้นกันขึ้นไปเร็ว ๆจะเลื่อนชั้นเป็นผู้สูงอายุกันขึ้นไปๆๆ อย่างถูกต้อง แล้วจะได้ชื่อว่า เป็นผู้สูงอายุโดยแท้จริง คือสูงด้วยคุณธรรมในจิตใจ มีธรรมะมีความถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่กาย ที่วาจา ที่ใจ แล้วเป็นอยู่อย่างสงบสุข ชนิดที่เรียกว่า ว่าง เหนือชั่วก็คือดี เหนือสุขก็คือว่าง เหนือทุกข์ก็คือสุข เหนือสุขก็คือว่าง เหนือบาปก็คือบุญ เหนือบุญก็คือว่าง ว่างไม่มีอะไรมากระทบกระทั่งมารบกวนแม้แต่ประการใด เพราะว่าไม่มีตัวกูไม่มีของกู ไม่มีอะไรยึดมั่นเป็น ตัวกู-ของกู มันก็มีความว่าง อยู่เหนือสิ่งที่มันยั่วยวนล่อหลอกทั้งหลาย ต่อไปนี้อย่าได้มีความรัก อย่าได้มีความโกรธ อย่าได้มีความเกลียด อย่าได้มีความกลัว อย่าได้มีความตื่นเต้น อย่าได้มีความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อย่าได้มีความอิจฉาริษยาหึงหวง อย่าได้มีการยกตนข่มท่าน อย่าได้มีการขัดแย้งใด ๆในระหว่างกันและกัน แล้วก็เห็นสิ่งทั้งปวงว่าเป็นเช่นนั้นเอง ไม่เกิดความหวั่นไหวไปตามสิ่งใด ๆ แล้วก็จงมีความสุขเย็น
หลุดพ้นจากกองทุกข์อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.

ขอยุติธรรมบรรยายเรื่องผู้สูงอายุไว้เพียงเท่านี้
(ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม สุราษฎร์ธานี ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๐)



-http://olddreamz.com/bookshelf/pata/elder1.html
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 15, 2012, 04:52:13 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ :พุทธทาสภิกขุ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มีนาคม 21, 2014, 05:24:52 pm »

http://youtu.be/w-3wv_dFZQc Published on Nov 28, 2013
พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) - ตามรอยพุทธทาส
ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ

แผนกเผยแผ่พระพุทธศาสนา
สมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา
The Council of Thai Bhikkhus in the U.S.A.

พุทธมงคลรัตน์ เพื่อพุทธศาสตร์
วัดมงคลรัตนาราม ฟอร์ท วัลตัน บีช รัฐฟลอริดา