ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง  (อ่าน 13212 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2011, 08:01:17 pm »
ลิขิตชีวิต แม้คิดจะเบียดเบียน ก็ไม่ทำ

ระดับของคนแม้เป็นเพียงคนสามัญ ย่อมมียุติธรรม
ตามควร ไม่ต้องการเสียเปรียบใคร ไม่ต้องการ
เอาเปรียบใคร ไม่รังแกข่มเหงผู้อื่น ไม่ต้องพูดถึงมิตร
หรือผู้มีอุปการะแก่ตน ซึ่งจะต้องมีความซื่อตรงต่อมิตร
มีความกตัญญูต่อผู้มีคุณโดยแท้ คนบาปหนัก ก็คือ
คนที่มีระดับแห่งจิตใจต่ำลงไปกว่านี้




ชีวิตต้องเดินหน้าดี แม้ติดไฟแดง เดี๋ยวก็เขียว

เมื่อนั่งรถไปตามถนนสายต่างๆ ถึงตอนที่มีสัญญาณไฟเขียวแดง
จะพบว่าถูกไฟแดงที่ต้องหยุดรถมากกว่าไฟเขียวซึ่งแล่นรถไปได้
น่านึกว่า การดำเนินทางชีวิตของทุกคน มักจะพบอุปสรรคที่ทำให้
การงานต้องชะงัก คนที่อ่อนแอมักยอมแพ้อุปสรรคง่ายๆ ส่วนคนที่
เข้มแข็งย่อมไม่ยอมแพ้ เมื่อพบอุปสรรคก็แก้ไขไป รักษาสิ่งที่
จะทำไว้ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ถืออุปสรรคเป็นเหมือนสัญญาณไฟแดง
ที่ต้องพบเป็นระยะ ถ้ากลัวว่าจะต้องพบสัญญาณไฟแดง ซึ่งต้อง
หยุดรถก็จะไปข้างไหนไม่ได้ แม้ในการดำเนินชีวิตก็ฉันนั้น
ถ้ากลัวจะต้องพบอุปสรรคก็ทำอะไรไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอน
ไว้แปลความว่า "เกิดเป็นคนพึงพยายามร่ำไป จนกว่าจะสำเร็จ
ประโยชน์ที่ต้องการ"





แปลงบาปเป็นบุญ จงเพ่งพินิจดู
"อกเขา อกเรา เราเป็นเขา เขาเป็นเรา"

ชีวิตใคร ใครก็รัก        ชีวิตเรา เราก็รัก          ชีวิตเขา เขาก็รัก       
ความตาย ใครก็กลัว   ความตาย เราก็กลัว     ความตาย เขาก็กลัว
ของใคร ใครก็หวง      ของเรา เราก็หวง        ของเขา เขาก็หวง

จะลัก จะโกง จะฆ่า จะทำร้ายใครสักคน ขอให้นึกกลับกันเสีย
ให้เห็นเขาเป็นเรา เห็นเราเป็นเขา คือ เขาเป็นผู้จะลัก จะโกง
จะฆ่า จะทำร้ยเรา เราเป็นเขาผู้จะถูกลัก ถูกโกง ถูกฆ่า ถูกทำร้าย
ลองนึกเช่นนี้ให้เห็นชัดเจน แล้วดูความรู้สึกของเรา จะเห็นว่า
ที่เต็มไปด้วยโมหะนั้นจะเปลี่ยนเป็นเมตตากรุณาอย่างลึกซึ้ง

ข่าวผู้พยายามป้องกันสมบัติของตนจนเสียชีวิตนั้น น่าสลดสังเวช
ยิ่งนัก หรือข่าวผู้กำลังจะสิ้นชีวิต แต่ก็ยังพยายามกระเสือกกระสน
รักษาสมบัติมีค่าของตนที่ติดตัวอยู่อย่างน่าสงสารที่สุด

พบข่าวเหล่านี้เมื่อไร ขอให้คิดถึงใจคนเหล่านั้น อย่าคิดทำร้าย
อย่าคิดเบียดเบียนกันเลย ทุกคนจะต้องตาย และจะตายในเวลา
ไม่นาน คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์ จะทำทุกวิถีทางแม้ที่แสน
ชั่วช้าโหดร้ายเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์ทำไมเล่า

ความโลภโดยไม่มีขอบเขตนั้น เป็นทุกข์หนักนัก ตนเองทุกข์
เพราะความโลภอยากได้แล้ว ก็แผ่ความทุกข์เดือดร้อนไปถึง
คนอื่นอย่างน่าอเนจอนาถ ถ้าร้อนเพราะความอยากได้ไม่สิ้นสุด
จะไม่สามารถดับความทุกข์นั้นได้ด้วยวิธีลักขโมยหรือประหัต
ประหารผลาญชีวิตผู้ใด แต่จะดับทุกข์นั้นได้แน่นอน ด้วยทำ
กิเลสให้หมดจดเท่านั้น

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 07:21:30 pm »
ปัจจุบัน ทำกรรมดี = ชีวิตดี มีดีไซน์

คนเรามักกลัวกรรมเก่ากัน แต่ไม่รู้ว่ากรรมเก่าที่กลัวนั้นคืออะไร
คิดปั้นเอาว่า คือสิ่งที่มีอำนาจเหนือตนซึ่งจะมาทำให้ทุกข์
อย่างแสนสาหัส

ความเชื่ออย่างนี้ จึงเป็นเหมือนเชื่อในเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์
เป็นแต่เพียงเปลี่ยนจากพูดว่าเทพเจ้า มาว่าเป็นกรรม
ไปเท่านั้น ตกลงว่าเป็นความเชื่อในสิ่งที่ไม่รู้ กลัวในสิ่งที่ไม่รู้

ส่วนพระพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงกรรมเก่า ก็ทรงชี้ให้ใครๆ
เห็นด้วยว่า กรรมเก่าคืออะไร เพราะอายตนะทั้ง 6 เหล่านี้
มีอยู่ด้วยกันทุกคน หากเชื่อพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องไปกลัว
กรรมเก่าที่ไหนอีก ถ้าจะกลัว ก็ให้กลัวตา หู ตลอดถึงใจ
ของตนนี่แหละ ที่จะก่อทุกข์ให้แก่ตนหากขาดสังวร
คือ ความระมัดระวัง

ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้สังวรตา หู ตลอดจนถึงใจ
คือ ให้มีสติ ระมัดระวังในเวลาที่เห็นอะไร ได้ยินอะไร
ตลอดถึงคิดอะไรต่างๆ เพื่อมิให้สิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน เป็นต้น
มาก่อความชั่วขึ้นในใจ หรือว่าผูกพันใจไว้ให้เป็นทุกข์
เดือดร้อน ถ้ามีใจสังวรอยู่ดังนี้ ก็ไม่ต้องกลัวกรรมเก่า

ส่วนกรรมใหม่นั้น เห็นได้ชัดอยู่แล้ว และทุกคนจะทำกรรม
ใหม่ขึ้นได้ ก็ด้วยกรรมเก่านั่นแหละ ทั้งทางดีทางชั่ว
เพราะต้องอาศัยตา หู เป็นต้น ทั้งในฐานะเป็นเครื่องมือ
ทั้งในฐานะเป็นเหตุก่อเจตนา ถ้ามีความสังวรดีอยู่ ก็จะ
ก่อเจตนาที่เป็นบุญเป็นกุศลแต่อย่างเดียว





มุ่งมั่น มุ่งมั่น ทำให้ได้ ในกรรมดี เป็นแรงดี

เรื่องของกรรมที่หมายถึง กรรมเก่า เป็นแรงดันที่สำคัญอย่างหนึ่ง
กรรมเก่าที่ทำไว้ไม่ดี ย่อมเป็นแรงดันให้พบผลที่ไม่ดี กรรมเก่า
ที่ทำไว้ดี เป็นแรงดันให้พบผลที่ดี แต่ก็ยังมีแรงดันอีกอย่างหนึ่ง
ที่ส่งเสริม หรือว่าต้านทาน คือ กรรมใหม่ที่ทำในปัจจุบัน

ถ้ากรรมปัจจุบันไม่ดี เป็นแรงดันโต้แรงดันของกรรมดีเก่า
ส่งเสริมแรงดันของกรรมเก่าที่ไม่ดีด้วยกัน

ถ้ากรรมปัจจุบันดี ก็เป็นแรงดันโต้แรงดันของกรรมเก่าที่ไม่ดี
ส่งเสริมแรงดันของกรรมเก่าที่ดีด้วยกัน ความที่จะโต้กัน
หรือส่งเสริมกันได้เพียงไรนั้น ขึ้นอยู่แก่ระดับของกำลัง
ที่แรงหรืออ่อนกว่ากันเพียงไร

คติทางพระพุทธศาสนาแสดงว่า "บาปกรรมที่บุคคลใด
ทำไว้แล้ว บุคคลนั้น ย่อมละได้ด้วยกุศล"

ฉะนั้น ผู้ที่มีศรัทธาในกรรมหรือในบุญบาป จึงทำกรรมที่ดี
อยู่เสมอ และมีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เพราะได้เห็นแล้วว่า
บุญช่วยได้จริง และช่วยได้ทันเวลา

ผลที่เกิดขึ้นในระยะเวลาต่างๆกัน เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง
เรื่องบุญบาป ซึ่งจะเห็นกันได้ในชีวิตนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 07:28:06 pm »
เตรียมความพร้อมรับความผิดหวังอยู่เสมอ

ความไม่สำเร็จ และความพิบัติต่างๆอาจมีได้เหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อได้ใช้ความพยายามเต็มที่แล้ว ไม่ได้รับ
ความสำเร็จก็ไม่ควรเสียใจ แต่ควรคิดปลงใจลงว่า
เป็นคราวที่จะพบความไม่สำเร็จในเรื่องนี้ ทั้งไม่ควร
จนปัญญาที่จะคิดแก้ไข หรือทำการอย่างอื่นต่อไป

วิสัยคนมีปัญญา ไม่อับจนถึงกับไปคิดแย่งทรัพย์ของใคร
คนที่เที่ยวลักขโมยแย่งชิงหรือทำทุจริตเพื่อให้ได้ทรัพย์
ล้วนเป็นคนอับจนปัญญาที่จะหาในทางสุจริตทั้งนั้น

ส่วนความพิบัติ เมื่อไม่ประมาทยังต้องพบ ก็แปลว่า
ถึงคราว หรือที่เรียกว่า เป็นกรรม






สร้างบุญนำหน้า สิ่งดีดีจะตามมา

ทุกชีวิตมีทั้งบุญ มีทั้งบารมี มีบาปติดตามอยู่เพื่อให้เกิดผล
แก่ชีวิตในปัจจุบัน เมื่อในบุญนำหน้า และมาถึงชีวิตแล้ว
เมื่อนั้นชีวิตก็จะงดงามด้วยแสงแห่งบุญ แสงแห่งบุญนั้น
งดงาม คงเคยได้พบได้เห็นผู้มีแสงแห่งบุญประดับงดงาม
กระทบตากระทบใจ จนให้ความรู้สึกเกิดขึ้นชัดเจน ถึงกับ
เคยได้เอ่ยปากชื่นชมว่าบุญส่งแน่จึงงดงามนัก

ในทางตรงกันข้าม เมื่อใดหน้าตาผิดพรรณวรรณะเศร้าหมอง
มากมาย เมื่อนั้นนั่นแหละคือเครื่องหมายแห่งความห่างไกล
บุญปรากฎอยู่