ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ เพราะโลกกับจักรวาลเป็นสสารวัตถุจึงมีมนุษย์ที่มีจิตข้างใน (III)  (อ่าน 1719 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



  บทความวันนี้ตั้งใจว่าจะมีชื่อว่า “ใครอยากจะเขียนอะไรก็เชิญ ฉันไม่สนใจฉันไม่แคร์” ที่เป็นมุมมองของคนทั้งโลกส่วนใหญ่ที่มีต่องานเขียนของผู้เขียน โดยเฉพาะข้อเขียนในสัปดาห์ที่แล้ว การเขียนที่เขียนถึงความเป็นไปได้ของความจริงทางโลกที่อยู่เบื้องหลังความลึกลับของการรับรู้ (perception) ของเรา ทำให้ความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในโลกนี้จักรวาลนี้เป็นความฝัน  เป็นสมมุติสัจจะมีรูปร่างทางกายภาพหลากหลาย มีรูปกับแข็งกระด้างทั้งๆ ที่วิทยาศาสตร์บอกเราอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตรงกันข้าม ความรู้สึกหรือเวทนาที่เป็นเรื่องของกายกับจิต (ไร้สำนึก) คนละครึ่ง ที่การรับรู้ทั้งหมดเหมือนกับใช้  “มายากล” ที่ทำให้การรับรู้ - ผ่านอายตนะประสาทสัมผัส เช่น ตา หู จมูก ฯลฯ  รับรู้ผิดๆ การรับรู้ผิดๆ ที่ทำให้ผู้เขียนบอกว่าเป็นความจริงทางโลก หรือคิดว่าเป็นความฝันที่ต่อเนื่องยาวนานหรือว่าฝันไป ความฝันที่เหมือนกับว่าโลกนี้จักรวาลนี้ต่างตกอยู่ใต้อิทธิพลของ “มายา” ตามที่พุทธศาสนาสอนไว้ แต่เรายังคงสงสัยว่าเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่?

 ความสงสัยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในสมัยนี้ “เชื่อยาก หรือไม่เชื่อเลย” เพราะว่าคุ้นกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่บอกอีกอย่างและเห็นเองรู้เองอีกอย่าง ซึ่งก็คือที่มาของประโยค “ใครอยากจะพูดจะเขียนอย่างไรก็เชิญ ฉันไม่สนใจฉันไม่แคร์” ความสงสัยที่ทำให้อาร์โนลด์ มินเดล เรียกสถานภาพของมนุษย์แบบนี้ว่า  “เวลาที่ฝัน” (dreamtime) อาร์โนลด์ มินเดล นั้นกำลังมีชื่อเสียงมากๆ ขนาดบางคนบอกว่าเป็นน้องๆ ของเค็น วิลเบอร์ เขาเป็นนักควอนตัมฟิสิกส์จากเอมไอทีที่มาจบปริญญาเอกทางจิตวิทยา และสอนทางฟิสิกส์แห่งยุคใหม่หลายๆ  มหาวิทยาลัย แต่มาสอนปริญญาเอกวิชาจิตวิยาที่แคลิฟอร์เนียและที่ซูริก  สวิตเซอร์แลนด์ อาร์โนลด์ มินเดล สนใจอย่างยิ่งในเซนพุทธศาสนา และเป็นเขาเองที่บอกว่า ฟิสิกส์ใหม่ ทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพและทั้งทฤษฎีควอนตัม โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ศาสตร์แห่งพ่อมดวิทยา (shamanism) คือพื้นฐานของจิตวิทยาที่ผู้เขียนเองยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนัก

 สมาชิกจิตวิวัฒน์บางคนและผู้เขียนโดยส่วนตัวเชื่อว่า ฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่เป็นหัวหอก (core-group) ของการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง  (transformation) สู่การตรัสรู้ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับศาสนาที่อุบัติขึ้นที่จีนและอินเดีย โดยเฉพาะวัฒนธรรมเวดิก ซึ่งมีราว 10% ที่อเมริกา (ดู Paul  H. Ray : Creative Culture, New Age, 1996) จะเป็นผู้ที่จุดประกายการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กับชาวตะวันตกและชาวโลกบางส่วน ที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเครือจักรภพของอังกฤษบอกว่า ชาวโลกจะเหลือเพียง  18% จากกว่า 7,000 ล้านคนในขณะนั้น (อ้างแล้ว)                                                 ที่ชาวโลกมากยิ่งกว่ามากพูดว่า “ใครอยากจะพูดอยากจะเขียนอะไรก็เชิญ  แต่ฉันไม่สนใจฉันไม่แคร์” นั้น ก็เพื่อแสดงว่า ฉัน-ที่ก่อนนี้มีฝรั่งแต่มีแต่ชาวตะวันตกที่เชื่อชาวกรีก โดยเฉพาะอริสโตเติล แต่ปัจจุบันนี้แม้คนไทยแทบจะทุกคนก็เชื่อเช่นนั้นไปด้วย โดยคิดว่ามันเป็นความจริงที่มีเพียงอย่างเดียว เพราะอะไรรู้ไหม? ก็เพราะว่าระบบการศึกษาของเรานั่นซี! ที่เอาแต่ปฏิรูป-ปฏิรูป จริงๆ แล้วบอกตรงๆ ว่าอะไรๆ ที่เราเรียนอยู่ทุกวันนี้ เป็นเรื่องที่ผิดทั้งนั้นเลย ยิ่งระบบเศรษฐกิจยิ่งผิดไปใหญ่ เพราะไม่เพียงแต่ผิดเฉยๆ ยังก่อกิเลสด้วย ระบบการศึกษานั้นถึงได้ผิดดั่งพระพุทธเจ้าสอนว่าความจริงทางโลกล้วนเป็นสมมุติสัจจะ  พระพุทธเจ้านั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักฟิสิกส์ และเป็นนักจิตวิทยา ทั้งยังเป็นนักนิยายโบร่ำโบราณวิทยา (mythology) คล้ายๆ ศาสตร์พ่อมดวิทยา  (shamanism) ที่ผู้เขียนยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนักที่ว่า พระพุทธเจ้าจึงพูด-สอน  “ถูกต้องทั้งหมด เป็นความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรมทั้งหมด” เช่น  ความเป็นหนึ่งของทั้งหมด มายา ความจริงทางโลกคือสมมุติสัจจะ ฯลฯ เป็นแต่เราเองที่ไม่แน่ใจต่างหาก แล้วความรู้ที่เราสอนเราเรียนกันในปัจจุบันล้วนแล้ว แต่เป็นความจริงทางโลกทั้งสิ้น พูดกันตรงๆ ระบบการศึกษา-ความรู้ของโลกควรจะเลิกได้แล้ว สอน-เรียนสิ่งที่พระพุทธเจ้าเห็นแล้วสอนดีกว่า อย่างน้อยก็เรียนควอนตัมฟิสิกส์ที่เหมือนและตามพิสูจน์สิ่งที่พระพุทธเจ้าเห็น ส่วนระบบเศรษฐกิจยังผิดไม่พอ แถมยังกลับก่อกรรมซ้ำสองด้วย ความล่มสลายหายนะของธรรมชาติสิ่งแวดล้อมคือกรรมร่วม (collective karma) นี้เอง ซึ่งเพราะกรรมอันนี้เองที่ทำให้ธรรมชาติมันหวนกลับมาทำร้ายเรา ทราบมาว่าทางชมรมจิตวิวัฒน์ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย - เพราะไปไม่ไหว - มีความเห็นร่วมว่า การภาวนาอาจจะสามารถ “กู้วิกฤติโลกครั้งนี้ได้” แต่ทว่าผู้เขียนโดยความเห็นส่วนตัวคิดว่ากรรมร่วมเป็นคนละประเด็นกับกรรมแห่งปัจเจกบุคคลและแน่นอนที่สุดกว่า

เพราะฉะนั้นความเห็นของสาธารณชนแทบจะทุกคนของชาวโลก  ยกเว้นหัวหอกของชาวตะวันตก (core-group) ที่กล่าวแล้ว และชาวไทยกับประโยคที่ว่า “ใครอยากจะพูดอยากจะเขียนอะไรก็เชิญ ฉันไม่สนใจ ฉันไมแคร์”  ที่กล่าวมาในช่วงต้นๆ ของบทความเพื่อแสดงว่าคนเราโดยทั่วไปอยู่กับนิสัยความเคยชิน อยู่กับอุปาทาน หรืออยู่กับ “อุปาทานขันธ์” ที่เป็นความยึดติด   เพราะว่าไปแล้วเป็นผลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเก่าที่มีอายุ 500 ปี ที่เรียงรายรอบๆ นิวโตเนียนฟิสิกส์ ตอกย้ำซ้ำด้วยชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน  หรือดาร์วินิซึ่ม ซึ่งผิดธรรมชาติประมาณครึ่งหนึ่ง (chance and necessity -  naturally selected) ความบังเอิญหรือฟลุกคือสิ่งนั้น และความบังเอิญหรือเผอิญที่ไม่มีจริง คือเป็นเรื่องของจิตจักรวาลที่ประสงค์ให้มีความเท่าเทียมกันในโอกาส   หากไม่เชื่อลองเลือกหัว-ก้อยแล้วโยนเหรียญให้ครบล้านครั้งดูซิ! นั่นคือความจริงทางธรรมของการพึ่งพาอาศัยกันเป็นเหตุปัจจัยที่แท้จริง (อิธิปจจยตา) ในขณะที่ความบังเอิญหรือเผอิญเป็นความจริงทางโลก เช่นเดียวกับฟลุกแอคซิเดนต์ หรือการโยนเหรียญทายหัว-ก้อยด้วยการนับต่ำๆ เช่น 100 หรือ 200-300 ครั้ง อย่างที่บอก ความรู้ที่การเรียนการสอนกันในปัจจุบันควรเลิกได้แล้ว  แล้วหันกลับมาใช้ความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรมที่เป็นอกาลิโกแทน  ทั้งนี้ รวมทั้งการย้ำแล้วย้ำอีกซ้ำๆๆ ในความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรมแก่พระสงฆ์ที่มีพรรษาน้อยๆ ปฏิบัติน้อยๆ เช่น 10 พรรษาลงมา ซึ่งสึกไปหา “ความจริงทางโลก” ง่ายๆ ยึดติดหรืออุปาทานได้ง่าย ความจริงทางโลก “ที่ไม่จริงเลย” จึงเป็นความรู้ที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวที่คนทั้งโลกต้องการในปัจจุบันที่เรายังคงเรียนเช่นนี้อยู่ เพราะเราเห็นว่าโลกนี้จักรวาลนี้เป็นสสารวัตถุ  (matter) นั่นเอง

แต่ว่าแม้ว่าความจริงทางโลกที่ในตอนแรกจะมีชาวตะวันตกเท่านั้นที่คิดว่าจริงแท้และมีอยู่ความจริงเดียวด้วย แต่ตอนนี้ชาวโลกทุกๆ คน รวมทั้งคนไทยด้วย ต่างก็คิดว่ามีความจริงแค่อันเดียวคือความจริงทางโลกอันนั้น และเป็นระบบการศึกษาระบบเดียวที่ชาวโลกใช้ในขณะนี้ และแทบว่าเป็นอย่างที่พูดมานั้น“ ใครอยากจะพูดอยากจะเขียนอะไรก็ได้ ฉันไม่สนใจ ฉันไม่แคร์” และอาจตอบให้สะใจยิ่งกว่านี้ว่า “ฉันก็เชื่อของฉันอย่างนี้ ใครจะทำไม? สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิดที่ไม่ต้องถามก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับฝรั่งหรือชาวตะวันตกที่นับถือคนละศาสนากับคนไทยส่วนใหญ่ที่ว่านั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฝรั่งอาจถามว่าเราก็เห็นอยู่ทนโท่แล้วว่าโลกนี้ จักรวาลนี้ประกอบด้วยสสารวัตถุ (matter) ความจริงจึงควรจะเท่าที่ตาเห็น หูได้ยิน ฯลฯ  เท่านั้น แล้วความจริงทางโลกกับความจริงทางธรรมจะมาจากไหน? พุทธศาสนาจะตอบว่า นั่นเป็นความรู้สึกเวทนาของพวกคุณ แต่ความจริงที่แท้จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นจิต หรือจิตไร้สำนึก (ของคาร์ล จุง) ที่มีมาตั้งแต่ต้น มีมาก่อนจักรวาลเสียอีก และจักรวาลนั้นก็ไม่ใช่มีหนึ่งเดียวตามที่พวกท่านคิด แต่มีอย่างไม่รู้จบสิ้น ตอนนี้ทั้งจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งจะเกิดไม่ถึง 10 ปี และควอนตัมเม็คคานิกส์กับทฤษฎีซูเปอร์สตริงก็พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกว่าเป็นเช่นนั้น พวกคุณไปอยู่ที่ไหน? ถึงจะไม่รู้เรื่องนี้? และพุทธศาสนายังบอกด้วยว่าจิต (ไร้สำนึก)   ปฐมภูมินั้นแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ (primordial consciousness and  energy) เพราะฉะนั้น ความจริงทางโลก (ที่รู้สึกเอาเองหรือที่รับรู้) กับความจริงทางธรรม (ที่เห็นจริงๆ ในสมาธิ) ที่ต้องทำกันเป็นเวลายาวนานขนาดที่นักศาสนาปรัชญาที่ทีแรกจบปริญญาตรีในทางฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ที่ติดตามองค์ทะไล ลามะ มาหลายสิบปี บี.อแลน วอลเลซ บอกว่า การทำสมาธิจะต้องทำนานร่วม 10,000-15,000 ชั่วโมง หรือปฏิบัติสมาธิวันละ 2 ชั่วโมงทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 20 ปี (อ้างแล้ว) มันจึงขึ้นอยู่กับระบบความเชื่อของผู้นั้นๆ แต่อย่าลืมว่าคนที่ทำสมาธิเป็นประจำ ที่รวมทั้งชาวตะวันตกเองในทุกวันนี้ - รวมๆ กันแล้ว อาจจะมีนับร้อยๆ ล้านคน จงอย่าลืมคำว่า ปัจัตตังเว วิญญูหิติ หรือคนที่ปฏิบัติสมาธิอยู่ “จะเป็นผู้รู้นั้นด้วยตัวของตัวเอง” แถมมีนักฟิสิกส์ใหม่ยังพิสูจน์ความจริงที่มีสอง (dualism) ได้ด้วยควอนตัมฟิสิกส์ (Heisenberg duplex world) อีกต่างหาก

และผู้ปฏิบัติสมาธิ หรือผู้รู้ด้วยตัวเองส่วนมากก็จะไม่พูดเสียด้วย  หรือมีนักวิทยาศาสตร์-นักฟิสิกส์ทั่วทั้งโลกไม่กี่หมื่นคนที่เป็นนักควอนตัมเม็คคานิกส์จริงๆ และคนไทยหรือแม้คนเอเชียไม่ว่านักวิทยาศาสตร์ในประเทศที่พัฒนาใหม่แล้ว - ซึ่งอาจจะเกี่ยวกันก็ได้หรืออาจจะไม่เกี่ยวกันก็ได้ - ก็เถอะ ก็ไม่เคยได้ - ได้ฟังว่ามีความรู้อย่างเชี่ยวชาญในเรื่องควอนตัมฟิสิกส์ “จริงๆ”   เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงขึ้นอยู่กับระบบความเชื่อ หรือไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งชาวตะวันตกนั้นทุกวันนี้ ยากนักที่จะหานักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ไม่เชื่อในฟิสิกส์ใหม่เลย - เราจะใช้คำฟิสิกส์ใหม่เสมอที่ระบุว่าเมื่อไหร่ที่เรารวมทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์กับทฤษฎีควอนตัมไว้ด้วยกัน - แต่ทว่าสำหรับชาวโลกที่เป็นคนทั่วไปอีกกว่าหกพันล้านคนนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เวลาสำหรับสาธารณชนคนไทยทั่วไปนั้น เราที่เห่อและชอบตามไปดูแห่ ปากพูดว่าเราเป็นพุทธแท้ๆ แต่ได้โยนทิ้งความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรมมานานนมแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ เมื่อเรารับวิทยาศาสตร์เก๋ากึ้กที่ห้อมล้อมนิวโตเนียนฟิสิกส์และเทคโนโลยีมาบูชา. 

http://thaipost.net/sunday/140811/43328

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2011, 05:36:14 am โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...