แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

"ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ

<< < (12/20) > >>

ฐิตา:

ความบันเทิงสาระในธรรมด้วยลีลาแห่งเซน ได้ผ่านไป ช๊ดตหนึ่งแล้ว
ความสามารถ และลีลา โดนไม่เบาเป็นที่ถูกอกถูกใจคอเซนทั้งหลาย

คุณสุชัมบดี ร่ายกระบวนท่า
ทำเอาฮา ได้ทั้งทั้งที่มุขแป๋ก......แป๋กได้ไม่แพ้หม่ำโชว์
คุณสุชัมบดีนี่สุดยอด จริงๆ ขอรับ

รักใครชอบใคร ขอเสียงโหวตหน่อยนะขอรับ
ขอเสียงโหวตหน่อยนะขอรับ

ส่วนคุณน้องมารน้อยก็ไม่เบายังยันมุข แบบเซนได้ สั้นๆ แต่เร้าใจมุขแป๋กกลับยิ่ง แป๋ก
ขอเสียง โหวตเหมือนกัน

คอเซน คาเฟ่จะพบมุขเด็ดๆของคุณสุชัมบดีต้องรอประมาณตีสามนะขอรับ
ส่วนคุณน้องมารน้อยมาไม่ค่อยเป้นเวลา อดใจสักนิด กับ สาว สก๊อย ผู้นี้

ฟักทองจะกลายเป็นรถม้า ได้แค่เที่ยงคืน
หลังจากนั้นถึงจะคลายมุขฮาออกมา ขอรับ

ตอนนี้ พบกับ สิ่งที่น่าสนใจในกระทู้อื่นๆฆ่าเวลาไปก่อนนะขอรับ

(ขาจรจัด)

ฐิตา:

คุณโฆษกไม่สบายไข้ขึ้น หรือเปล่าค่ะ
ยั้งมือ หน่อย
ไว้ไมตรี
นะค๊ะ ๆๆ

(น้องมารน้อย)

----------------

ขอรับคุณน้องมารน้อย
ขอโทษทุกๆท่าน ขอรับ เพลิดเพลินไปหน่อยทั้งมันส์ทั้งฮาขอรับ
ขออนุญาต วิเคราะห์นิดหน่อย นะขอรับ

ทั้งหมดของคุณสุชัม คือตถตาของกระบวนการคือปล่อยตัวไปตามกระบวนการคลายกำหนัด โดยเห็นกระบวนการแล้วจึงปล่อยวางปล่อยกระบวนการให้เป็นไปตามธรรมชาติ
แต่แท้จริง กระบวนการคลายกำหนัดนี้ยังไม่ถึงจุดย่อยสลาย ที่แท้จริงดังนั้น ตัวเองก็ยังไม่ได้ย่อยสลายไปเพราะยังไม่ถึงจุดย่อยสลายของกระบวนการนั้น อย่างแท้จริง
จึงเพียงเห็นตถตา ของกระบวนการ
เมื่อยังไม่ถึงจุดย่อยสลายก็ไม่ได้เห็นกระบวนการเป็นตถตา

มายาของกระบวนการคลายกำหนัดจึงยัง ไม่ย่อยสลายเพียงแต่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไก
และเมื่อยังไม่เห็นถึงจิตหนึ่ง จึงไม่มีคำพูดใดๆที่แสดงความหมายของจิตหนึ่งเลย แม้แต่ประโยคเดียว
เหตุผลฟังแล้วก็ดีแต่ ยังไม่เข้าถึงความเป็นเซนขอรับ

(ขาจรจัด)

------------------------

เป็นเช่นนั้นค่ะ

(น้องมารน้อย)
#67 / น.5

ฐิตา:

พระพุทธองค์ก็ตรัสรู้ธรรมสูงสุดแต่ท่านก็กล่าวธรรมได้ทุกระดับ
ทำไมไม่ลองไปจับผิดพระพุทธองค์ดูบ้าง
*สมมุติว่า"พระพุทธองค์ตรัสว่า
...พวกสัญชัยเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะเห็นว่าโลกนี้ขาดสูญ....

*พวกคุณก็คงไปตำหนิพระพุทธองค์อีกว่า ตถาคตยังไม่ถึงจิตหนึ่งเพราะพูดแต่เรื่องอัตตา ว่ามีเขามีเรา เขาเป็นมิจฉาทิฐิ
*ไม่มีอะไรกับอะไรในตัวมันเองอยู่แล้ว
*จิตหนึ่งแบบ"ศรีธนัญชัย"
*ลอง test ทีไร จิตหนึ่ง"กระเพื่อม"ทุกเที่ยว ผมว่า"จิตมืด"มากกว่า

(สุชัมบดี)

ฐิตา:

พระพุทธองค์ก็ตรัสรู้ธรรมสูงสุดแต่ท่านก็กล่าวธรรมได้ทุกระดับ
ทำไมไม่ลองไปจับผิดพระพุทธองค์ดูบ้าง

///// อ้าว พระพุทธองค์บอกว่า ตถาคตไม่ได้ลุอะไรเลย ไม่มีอะไรต้องลุถึง

*สมมุติว่า"พระพุทธองค์ตรัสว่า
...พวกสัญชัยเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะเห็นว่าโลกนี้ขาดสูญ....
*พวกคุณก็คงไปตำหนิพระพุทธองค์อีกว่า ตถาคตยังไม่ถึงจิตหนึ่งเพราะพูดแต่เรื่องอัตตา ว่ามีเขามีเรา เขาเป็นมิจฉาทิฐิ
*ไม่มีอะไรกับอะไรในตัวมันเองอยู่แล้ว

///// ยังจะสมมุติเป็นอะไรอีกล่ะค๊ะ แล้วเมื่อไรจะเป็นปรมัตถ์สักที

*จิตหนึ่งแบบ"ศรีธนัญชัย"

//// อ้าวมีจิตหนึ่งแบบใหนอีกล่ะค๊ะ

*ลอง test ทีไร จิตหนึ่ง"กระเพื่อม"ทุกเที่ยว ผมว่า"จิตมืด"มากกว่า

///// จิตหนึ่งแบบกะเพื่อมมีด้วยเหรอค่ะ
//// แบบมืด ก็มีด้วยเหรอค่ะ

(น้องมารน้อย)

ฐิตา:

ธรรมชาติแห่งสมมุติ ในปรมัตถ์

ธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายก่อเกิดมาด้วย ความสมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์และยุติธรรมเสมอสำหรับทุกคน ไม่มีธรรมชาติใดที่ด้อยไม่มีธรรมชาติใดที่เลิศ เป็นความสมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุดหมดจดทุกอนูอยู่แล้ว ไม่มีทั้งสวยงาม ไม่มีทั้งทรุดโทรม

ทุกคนได้รับความบริสุทธ์และยุติธรรม สมบูรณ์พร้อมที่สุดอยู่แล้ว

คุณสุชัมบดี และทุกๆคน รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดหาได้มีข้อด้อยใดๆ ในทุกๆชีวิต ทุกๆลมหายใจและทุกๆขณะจิตไม่มีสิ่งใดที่ด้อย หรือสิ่งใดเลอเลิศเลยแม้แต่น้อยแต่เพียบพร้อมบริสุทธิ์และยุติธรรม อย่างที่สุดแล้ว

จงละ ทิ้งความคิดและความรู้สึกสมมุติเก่าๆที่ครอบงำออกไปเสียเถอะ นี่คือ ปรมัตถ์ล้วนๆ
จงเอาใส่เข้าไปแทนที่ความคิดปรุงแต่งเดิมๆ ที่ทำให้จมอยู่กับห้วงทุกข์มานานแสนนาน

ถ้าเห็นและเข้าใจธรรมชาติแห่งสมมุตินี้ ตามปรมัตถ์นี้ได้จริง จะเพิกถอนอย่างถึงโคน จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลยอย่างรวดเร็ว

ทั้งธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายทั้งปวง ธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของจิต ล้วนบริสุทธิ์หมดจดทั้งหมด ไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะความสำคัญมั่นหมายปรุงแต่งต่างหาก ที่ทำให้ธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมต้องเสียรูปไป
ธรรมชาติใดๆก็ดี ในสมมุติทั้งหลาย บริสุทธิ์หมดจด ไม่ต่างกับธรรมชาติแห่งพุทธะเลย

โลกธาตูทั้งหลายทั้งปวง พุทธเกษตรทั่วทุกโลกธาตุ ต่างบริสุทธ์ผุดผ่อง ไม่ต่างกันเลยแม้แต่โลกธาตุเดียว
ความบริสุทธิ์ผุดผ่องหมดจดนี้ เป็นเช่นเดียวกันกับพุทธะ ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
พุทธะจึงไม่มีรอยด่างพร้อยของสมมุติใดๆ แม้แต่นิดเดียว บริสุทธ์เช่นเดียวกันจนไม่อาจแยกความแตกต่างใด้เลยแม้แต่น้อย

**นี่ไม่ได้บรรยายถึงพุทธะ แต่บรรยายถึงธรรมชาติแห่งสมมุติทั่วๆไป อย่างปรมัตถ์
จากการเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่งทั้งปวง ในสมมุติ ไม่ต่างกับพุทธะ เท่านั้นเอง

เมื่อเพิกถอนทุกสิ่งได้ ก็จะเห้น และสัมผัสได้เอง ว่า โลกธาตุและธรรมชาติแห่งสมมุตินั้นงดงามและบริสุทธิ์ไม่ต่างกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะตามที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้เคยบรรยายธรรมชาติแห่งพุทธะให้ฟัง ****

...

“ โลกิยะ โลกุตตระ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้โลกิยะธรรมเป็นสุญญตาเป็นอันเดียวกับโลกุตระ ฉะนั้นจึงไม่มีการเข้าสู่โลกิยะฤาการออกไปจากโลกิยะไม่มีความไหลเอ่อล้นฤาความฟุ้งซ่าน จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร “

ถ้าคอเซนที่แท้จริงจะรู้จักพระคาถาบทนี้

ความเป็นเนื้อเดียวกันของสมมุติ และปรมัตถ์
ความเป็นเนื้อเดียวของ โลกียะ และ โลกุตระ
ที่ไม่เคยมีแม้แต่โพสต์เดียวในห้องเซน ที่จะอธิบายได้เช่นนี้
สาธุๆๆ ขอรับ

(ขาจรจัด)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version