แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

"ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ

<< < (18/20) > >>

ฐิตา:

มาถึงบทนี้ ก็จะใช้ต้นโพธิ์ สรุป
โดยไม่เกี่ยวข้อง กับจิตสรุปและฝุ่นละออง

ฝุ่นละอองคือความคิด
เมื่อยังลอยล่องอยู่เกิดดับอยู่จึงไม่อาจเข้าถึงความบริบูรณ์ได้
ฝุ่นละออง แม้จะไม่มีค่าเลิศเลอ เช่นเพชรพลอยที่หลายคนพยายามหามาใช้ เอาไปประดับบนความว่าง

แต่ ปรมาณูเดียวของฝุ่นละออง ที่หลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวว่ามีเทวดาอยู่ได้ถึง 8 องค์
ก็สามารถบดบังความว่างให้มัวหมองได้เช่นเดียวกันเฉกเช่นเพชรพลอย

ที่ท่านเว่ยหล่างได้ให้คนเขียนโศลกกล่าวว่า
ไม่มีต้นโพธิ์ไม่มีกระจก ฝุ่นจะเกาะอะไร

แต่ ท่านสังฆปรินายก กลับมองเห็นฝุนละอองที่ล่องลอย เกิดดับอยู่ในความว่างจากโศลกนั้น

และ เหตุนี้เอง จึงได้เรียกท่านเว่ยหล่างเข้าไป

จากวัชรสูตรที่กล่าวถึงลักษณะทุกลักษณะ อันเป็นมายาเฉกเช่นความว่าง
และเมื่อท่านเว่ยหล่างได้ฟังพระสูตร ถึงบทที่ว่า
ควรดำรงจิต ในวิถีทาง ที่จะปราศจากเครื่องข้องทั้งปวง

เมื่อต้นโพธิ์ และกระจก ที่ว่างเปล่าจากข้อเท็จจริงกระทบกับเครืองข้อง ที่ว่างเปล่าจากข้อเท็จจริง
มากระทบกัน
การกระทบ ของความว่าง ทั้งหลาย ที่กระทบกันจะบังเกิดได้แต่เพียงความว่าง เท่านั้น
ไม่ได้เกิดฝุ่นละออง หรือความคิดแม้แต่ปรมาณูเดียว
ทั้งเหตุและปัจัย ต่างว่างเปล่าเสมอกัน

ฝุ่นละอองทั้งหมดจึงไม่อาจเกิดได้อีกเลย

ความสว่างไสวของจิตเดิมแท้ จึงปรากฎ ณ แต่นั้นเป็นต้นมา

(น้องมารน้อย)

ฐิตา:

อนุโมทนา สาธุ ครับ

(ขาจร)

----------------

วิเศษมากเลยขอรับ
สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ปรากฎที่นี่แล้ว
ไม่เคยเจอบทสรุปที่ว่างและสมบูรณ์เช่นนี้เลย
ไม่มีกาย ไม่มีจิต แต่ฝุ่นละอองยังเกิดดับปลิวว่อน อยู่ในความว่าง
ความคิดอ่านทั้งหลายต่างเกิดดับไมหยุดหย่อน
จึงไม่เป็นความว่างที่สมบูรณ์ อย่างที่กล่าวจริงๆ

แม้จะเห็นจิตเดิมแท้อยู่ แม้จะสัมผัสถึงจิตเดิมแท้ แม้ความคิดอ่านทั้งหลายจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดจากการปฎิบัติ แต่ยอมรับจริงๆ ว่า ความคิด ยังมีเกิดและดับเสมอๆ
โดยถึงแม้ว่า จะเห็นเป็นของว่าง ไม่ยึดถือในความคิดที่ออกมา แต่ยังเกิดดับ ไม่หยุดหย่อน
บางคราว ก้กลายเป็นความรู้สึกค่อนข้างรำคาญอยู่เหมือนกัน ขอรับ
แม้จะเข้าใจว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่า เมื่อเกิดความคิดขึ้นมา ความว่างจึงเสียรูปไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ขอรับ จริงขอรับ

ความไม่เสมอทัดเทียมกัน จึงบังเกิดเครื่องข้อง ต่อเมื่อเครื่องข้องทั้งหลาย กลับกลายเป็นความว่าง
การกระทบ การดึงดูด การผลักดัน การพัวพัน ก็มีแต่ว่างๆๆๆๆๆๆ หาความแตกต่าง หาแรงต่างๆไม่ได้เลย
ความคิดทั้งหลายจึงสิ้นสุดลง เป็นความว่างอันบริบูรณ์จริงๆขอรับ


ขณะที่ผมปฎิบัติอยู่ ณ ตอนนี้ ได้ลองปรับการดำรงจิตใหม่
เพราะเริ่มเข้าใจในสภาวะของเครื่องข้องทั้งหลาย ที่กรุณาชี้แจงถึงความไม่มีในสิ่งนี้น เปรียบได้กับความว่าง
เมื่ออายตนะและขันธ์ รวมทั้งจิตที่ว่าง กระทบกับเครื่องข้องและสิ่งแวดล้อมที่เป็นความว่าง
มันกลับไม่เกิดความคิดใดๆเอง โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ได้กด แต่กลับไม่เกิดความคิดใดๆ ว่างไปได้เอง อย่างมหัศจรรย์ ขอรับ
ความคิดไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อเห็นสิ่งใด ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งใด ความคิดก็ไม่ได้เกิดขึ้น
มันเหมือนจะดับไปอย่างที่ว่าจริงๆขอรับ
แต่พอเห็นสิ่งแวดล้อมทั้งหมด เป็นตัวตนขึ้นมา เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นบ้าน ความคิดเกิดขึ้นทันที ที่กระทบ
พอสติกลับมา เห็นเครื่องข้องทั้งหมดเป็นของว่าง เป็นของไม่เที่ยง ความคิดกลับดับ มหัศจรรย์มากขอรับ
เมื่อมีสติรู้ภายใน ภายนอก ว่าเป็นของว่าง ตลอดเวลา ความคิดอ่านกลับหายไป นานๆมากๆ ขอรับ

และนี่เอง เปรียบได้กับมหาสติปัฎฐาน อย่างแท้จริง รู้นอก รู้ใน รู้ตัว รู้ทั่ว รู้พร้อม รู้ว่าทั้งหมด คือความว่าง
รู้เช่นนี้ตลอดเวลา ความคิดดับไปได้ และสิ้นสุดลงได้ จริงๆ ขอรับ
สมกับที่เซนกล่าวว่า เมื่อความคิดปรุงแต่งสิ้นสุดลง ธรรมะทั้งหมดจะมีประโยชณ์อะไร
อย่างนี้นี่เอง

พอเห็นแล้ว ขอรับ
ไม่มีใครเคยชี้ได้ชัดเจน เช่นนี้เลยขอรับ
ขอบพระคุณมากๆ ขอรับ สาธุๆๆ

(ขาจรจัด)

ฐิตา:

^_^

(malila)

ฐิตา:

คุณมะลินี่ใช่คุณน้องมารน้อยหรือเปล่า ขอรับ

(ขาจรจัด)

ฐิตา:

มะลิจะเป็นมารได้อย่างไรเจ้าค่ะ
คนละคนกัน นะเจ้าค่ะ

แล้วคุณขาจรจัด จะดำรงจิต แบบใหนอีกล่ะค่ะ
ใครเป็นผู้ดำรงจิต
จิตเป็นของผู้ใด

แบบนี้ เรียกว่า มาถึงขอบบ่อแล้วกระโดดถอยหลัง

เวลาของกาย และจิต ย่อมเป็นไปโดยออโตเมติกบังคับไม่ได้
เห็นเวลายังมีเวลา
มืดและสว่างย่อมสับเปลี่ยนหมุนเวียน
เวลาว่าง เมื่อไร หมดเวลา


อยู่เหนือการเวลา

(น้องมารน้อย)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version