ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องย่อในพระธรรมบท (พาลวรรค)  (อ่าน 4694 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (พาลวรรค)
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 04:24:05 am »

เรื่องชัมพุกาชีวก

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภชัมพุกาชีวก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า มาเส มาเส กุสคฺเคน เป็นต้น

ชัมพุกาชีวก เป็นบุตรของเศรษฐีผู้หนึ่งในกรุงราชคฤห์ เขาพอคลอดออกมาเป็นทารก ก็มีพฤติกรรมที่ประหลาดๆเนื่องจากกรรมเก่าที่ได้กระทำมาแต่อดีตชาติ คือ เป็นทารกที่ไม่ชอบนอนบนที่นอน แต่ชอบนอนบนพื้นดิน ไม่ชอบรับประทานอาหารปกติ แต่ชอบรับประทานอุจจาระของตนเองเป็นอาหาร เมื่อเติบโตขึ้นมาหน่อย เขาไม่ต้องการจะนุ่งผ้า บิดามารดาก็จึงได้พาเขาไปบวชเป็นนักบวชในสำนักของพวกอาชีวก เมื่อพวกอาชีวกพบว่าเขามีพฤติกรรมชอบรับประทานอุจจาระของตนเองก็ได้ขับไล่เขาออกจากสำนัก เมื่อถูกขับไล่ออกจากสำนักของอาชีวก เขาก็ได้มาอาศัยอยู่ที่ใกล้ส้วมหลุมสาธารณะ ในตอนกลางคืนก็ได้ไปนำเอาอุจจาระมนุษย์มารับประทาน แต่ในตอนกลางวันก็ทำทีเหนี่ยวก้อนหินยกขาขึ้นมาข้างหนึ่ง ยืนเงยหน้าอ้าปากกว้าง เขาบอกกับทั้งหลายว่าที่ต้องยืนอ้าปากอยู่เสมอนั้น ก็เพราะเขากินลมเป็นอาหาร ส่วนที่ต้องยืนด้วยขาข้างเดียวนั้นก็เพราะว่าตัวของเขาหนักมากหากยืนทั้งสองขาแผ่นดินก็จะสั่นไหว และก็ยังคุยออกมาเป็นตุเป็นตะด้วยว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยนั่ง และไม่เคยนอน” ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเรียกเขาว่า “ชัมพุกะ”

หลายคนมานิยมนับถือเขา และบางคนถึงกับนำอาหารมาให้ แต่ชัมพุกะปฏิเสธโดยกล่าวว่า “เรากินลมอย่างเดียว ไม่กินอาหารอย่างอื่น เพราะเมื่อเรากินอาหารอย่างอื่น ตบะย่อมเสื่อมไป” เมื่อถูกประชาชนคะยั้นคะยอมากเข้าๆ เขาก็เอาปลายหญ้าคามาจุ่มลงที่อาหารที่คนนำมาให้แล้วยกขึ้นไปแตะที่ปลายลิ้นของตัวเอง แล้วกล่าวว่า “ท่านจงไปเถิด เท่านี้ก็เป็นบุญกุศลที่จะเป็นประโยชน์ และความสุข แก่ท่านทั้งหลายแล้ว” ชัมพุกะดำเนินชีวิตโดยเปลือยกาย รับประทานอุจจาระ ถอนผมด้วยเสี้ยนตาล และนอนบนพื้นดินเช่นนี้ มาเป็นเวลานานถึง 55 ปี

อยู่มาวันหนึ่ง พระศาสนาทอดพระเนตรเห็นชัมุกาชีวกเข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณพิเศษของพระองค์ และทรงทราบว่าชัมพุกาชีวกนี้จะได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฎิสัมภิทาญาณทั้งหลาย ดังนั้นในตอนเย็นของวันนั้น พระองค์จึงได้เสด็จไปยังที่ที่ชัมพุกาชีวกพักอาศัยอยู่ และได้ทรงขอพักค้างแรมด้วย ชัมพุกาชีวะชี้มือไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแผ่นหินที่เขาพักอาศัยอยู่นั้น แล้วทูลให้พระศาสดาประทับค้างแรมอยู่ ณ ที่นั้น ในช่วงยามที่ 1 ยามที่ 2 และยามที่ 3 ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาพรหม ได้มาเฝ้าพระศาสดาตามลำดับ ในช่วงที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเฝ้า ทั่วทั้งป่าเกิดความสว่างไสว และชัมพุกาชีวกก็ได้แลเห็นป่าไม้สว่างไสวทั้ง 3 ครั้งนี้ด้วย พอถึงตอนเช้า ชัมพุกาชีวกเดินตรงไปหาพระศาสดาและได้สอบถามถึงแสงสว่างเหล่านั้น

เมื่อพระศาสดาตรัสว่า แสงสว่างเหล่านั้นมาจากร่างของท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ท้าวสักการะ และท้าวมหาพรหม มาเฝ้าพระองค์ ชัมพุกาชีวิตเกิดความประทับใจมากได้กล่าวกับพระศาสดาว่า “ท่านจะต้องเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ มิฉะนั้นท้าวจาตุมมหาราช ท้าวสักกะ และท้าวมหาพรหม คงจะไม่เสด็จมาเฝ้า แม้แต่ตัวช้าพเจ้าเองบำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานานถึง 55 ปี โดยรับประทานแต่ลมเป็นอาหาร และยืนขาเดียว เหนี่ยวก้อนหินอยู่อย่างนี้ ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ท้าวสักกะ และท้าวมหาพรหมก็ยังไม่เคยเสด็จมาหาเลย” พระศาสดาตรัสตอบว่า “ดูก่อนชัมพุกะ เธอลวงชาวโลก และยังจะมาลวงเราอีก เรารู้ว่าเธอกินอุจจาระและนอนบนพื้นดินมาเป็นเวลา 55 ปี”

นอกจากนั้นแล้ว พระศาสดาก็ยังนำเรื่องในอดีตชาติเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะมาเล่าให้ชัมพุกาชีวกฟังว่า สมัยนั้น ชัมพุกาชีวกเป็นพระภิกษุได้ขัดขวางพระเถระรูปหนึ่งไม่ให้ติดตามไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านของอุบาสกคนหนึ่ง และเมื่ออุบาสกคนนี้ฝากอาหารมาถวายพระเถระก็ได้เอาเททิ้งในระหว่างทาง เพราะอกุศลกรรมนั้นทำให้ชัมพุกาชีวกต้องมารับประทานอุจจาระและนอนบนแผ่นดิน เมื่อชัมพุกาชีวกได้ฟังเรื่องนี้แล้วก็เกิดความสังเวชใจ มีความละอายใจและเกรงกลัวบาปกรรมจากการหลอกลวงคนอื่น จึงได้คุกเข่าลงมา และพระศาสดาก็ได้โยนผ้าผืนหนึ่งไปให้ปกปิดกาย จากนั้นพระศาสดาได้แสดงอนุปุพพิกถาให้ฟัง เมื่อจบเทศนากัณฑ์นั้น ชัมพุกาชีวกก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ถวายบังคมพระศาสดาแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระศาสดาจึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออก ตรัสกับชัมพุกาชีวกว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด

หลังจากนั้นไม่นาน พวกชาวอังคะและมคธที่เป็นสาวกก็ได้นำของมาถวายชัมพุกาชีวก และพวกเขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นครูของเขานั่งอยู่กับพระศาสดา พระชัมพุกเถระจึงได้อธิบายให้สาวกทั้งหลายเหล่านั้นได้ทราบว่าท่านได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว และท่านเป็นสาวกของพระศาสดา พระศาสดาจึงได้ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า แม้ว่าครูของพวกเขาจะบำเพ็ญตบะด้วยการนำเอาปลายหญ้าตาแตะที่อาหารไปสัมผัสที่ปลายลิ้นนับร้อยปี การบำเพ็ญตบะเช่นนี้มีค่าไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบหกของการประพฤติปฏิบัติในฐานะที่เป็นพระภิกษุอย่างในปัจจุบัน

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 70 ว่า
มาเส มาเส กุสคฺเคน
พาโล ภุญเชถ โภชนํ
น โส สงฺขาตธมฺมานํ
กลํ อคฺฆติ โสฬสึฯ

(อ่านว่า)
มาเส มาเส กุสักเคนะ
พาโล พุนเชถะ โพชะนัง
นะ โส สังขาตะทำมานัง
กะลัง อักคะติ โสละสิง.

(แปลว่า)
คนพาล พึงบริโภคโภชนะ
ด้วยปลายหญ้าคาทุกๆเดือน
เขาย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 แห่งท่านผู้มีธรรม

อันนับได้แล้ว(หมายถึงพระอริยบุคคล).


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง การตรัสรู้ธรรม ได้บังเกิดแก่สัตว์ 8 หม่น 4 พัน.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (พาลวรรค)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 04:29:47 am »

เรื่องอหิเปรต

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในวัดพระเวฬุวัน ทรงปรารภอหิเปรตตนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ เป็นต้น

ครั้งหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานะและพระลักขณเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ เพื่อจะไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะแลเห็นเปรตตนหนึ่ง จึงได้ยิ้มออกมาแต่ไม่พูดอะไร เมื่อพระเถรทั้งสองรูปกลับถึงพระวัดพระเวฬุวัน พระมหาโมคคัลลานะจึงบอกกับพระลักขณเถระว่า ที่ท่านยิ้มออกมานั้น เพราะท่านเห็นเปรตซึ่งมีศีรษะเป็นมนุษย์แต่มีร่างเป็นงู พระศาสดาได้ตรัสว่า พระองค์เองก็เคยทอดพระเนตรเห็นเปรตตนนี้ในวันที่ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณเหมือนกัน พระศาสดาทรงเล่าถึงบุพพกรรมของเปรตตนนี้ว่าเขาไม่เพียงแต่จะได้เสวยผลในชาติที่กระทำกรรมนั้นเท่านั้น แต่กฎแห่งกรรมยังส่งผลร้ายแก่เขาในชาติต่อมาด้วยว่า เมื่อนานมาแล้วมีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนมาก ประชาชนได้ช่วยกันก่อสร้างบรรณศาลาถวายท่านและก็ได้เดินทางไปหาท่านโดยเดินผ่านทุ่งนาของชายผู้หนึ่งไป ชายเจ้าของนากลัวว่าข้าวกล้าในนาของตนจะได้รับความเสียหายจากการเหยียบย่ำของประชาชนที่เดินไปบรรณศาลา จึงจุดไฟเผาวัดบรรณศาลาหลังนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เมื่อพวกประชาชนไปไม่พบพระปัจเจกพุทธเจ้าและทราบว่าชายเจ้าของนาเป็นผู้จุดไฟเผาบรรณศาลา ก็ได้ช่วยกันทุบตีจนชายเจ้าของนานั้นเสียชีวิต ชายเจ้าของนาเมื่อเสียชีวิตแล้วก็ได้ไปเกิดในอเวจีมหานรก หมกไหม้อยู่ในนรกจนแผ่นดินในโลกมนุษย์หนาขึ้นประมาณโยชน์หนึ่ง จึงเกิดเป็นอหิเปรตเพราะเศษของกรรมที่ยังเหลือ

พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมของอหิเปรตนั้นแล้ว จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าบาปกรรมนั่น เป็นเช่นกับน้ำนม น้ำนมที่บุคคลกำลังรีด ย่อมยังไม่แปรไปฉันใด กรรมอันบุคคลกระทำไว้ ก็ยังไม่ทันให้ผลฉันนั้น แต่ในกาลใด กรรมให้ผล ในกาลนั้น ผู้กระทำย่อมประสบทุกข์เห็นปานนั้น

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 71 ว่า
น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ
สชฺชุขีรํว มุจฺจติ
ฑหนฺตํ พาลมเนวติ
ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโกฯ

(อ่านว่า)
นะ หิ ปาปัง กะตัง กำมัง
สัดชุขีรังวะ มุดจะติ
ทะหันตัง พาละมันนะเวติ
พัดสะมาดฉันโทวะ ปาวะโก.

(แปลว่า)
กรรมชั่วอันบุคคลทำแล้ว ยังไม่ให้ผล
เหมือนน้ำนมที่รีดในขณะนั้น ยังไม่แปรไป ฉะนั้น
บาปกรรม ย่อมตามเผาคนพาล

เหมือนไฟอันเถ้ากลบไว้ ฉะนั้น.


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (พาลวรรค)
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 04:52:47 am »

เรื่องสัฏฐิกูฏเปรต

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภสัฏฐิกูฏเปรต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
ยาวเทว อนตฺถาย เป็นต้น

พระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พร้อมกับพระลักขณเถระ เห็นเปรตตัวใหญ่โตมาก
ขณะจะไปบิณฑบาต ได้กระทำการยิ้มแย้มแต่ไม่ได้พูดอะไร พอกลับจากบิณฑบาตเข้าไปในวัดพระเวฬุวัน ได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า สัฏฐิกูฏเปรตนี้ในอดีตชาติ เป็นบุรุษเปลี้ยผู้ชำนาญในการดีดก้อนกรวด วันหนึ่งเขาได้ขออนุญาตจากอาจารย์ทำการทดลองความแม่นยำของการดีดก้อนกรวด อาจารย์บอกว่าจะต้องไม่ทดลองกับโคหรือกับมนุษย์ เพราะหากโคหรือมนุษย์ตายจะต้องจ่ายสินไหมให้แก่เจ้าของโคหรือญาติของผู้ตาย แต่จะต้องหาเป้าที่เป็นคนที่ไม่มีมีมารดาบิดาเท่านั้น

บุรุษเปลี้ยมาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่าสุเนตตะ ซึ่งกำลังออกเดินบิณฑบาต จึงคิดจะใช้ท่านเป็นเป้าสำหรับดีดกรวด โดยมีความคิดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้านี้ เป็นผู้ไม่มีมารดาบิดา เมื่อเราดีดผู้นี้ ไม่ต้องมีสินไหม เราจักดีดพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ทดลองศิลปะ” ก้อนกรวดที่บุรุษเปลี้ยดีดไปเข้าทางช่องหูขวาไปทะลุออกทางช่องหูซ้าย พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อโดนดีดด้วยกรวด ได้รับบาดเจ็บเดินบิณฑบาตต่อไปไม่ได้ ได้เหาะกลับไปปรินิพพาน(เสียชีวิต)ที่บรรณศาลา ต่อมาเมื่อชาวบ้านมาพบว่าบุรุษเปลี้ยเป็นผู้สังหารพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ได้ช่วยกันเอาก้อนหินขว้างปาจนถึงแก่ความตาย และเขาไปเกิดในมหานรกชั้นอเวจี เมื่อไปหมกไหม้อยู่ในนรกชั้นนี้จนแผ่นดินโลกมนุษย์หนาขึ้นโยชน์หนึ่ง จึงได้มาเสวยเศษกรรมที่เหลือ โดยมาเกิดเป็นสัฏฐิกูฏเปรต ที่ยอดเขาคิชฌกูฏ ที่พระมหาโมคคัลลานะแลเห็นดังกล่าว โดยที่ศีรษะของเปรตตนนี้ถูกค้อนเหล็กเผาไฟจนแดง 6 หมื่นอันตีกระหน่ำอยู่อย่างต่อเนื่อง

พระศาสดาครั้นนำบุรพกรรมของเปรตนี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย คนพาลได้ศิลปะหรือความรู้มาแล้ว ย่อมทำความฉิบหายแก่ตนถ่ายเดียว

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 72 ว่า
ยาวเทว อนตฺถาย
ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ
หนฺติ พาลสฺสส สุกฺกํสํ
มุทฺธมสฺส วิปาตยํฯ

(อ่านว่า)
ยาวะเทวะ อะนัดถายะ
ยัดตัง พาลัดสะ ชายะติ
หันติ พาลัดสะ สุกกังสัง
มุดทะมัดสะ วิปาตะยัง.

(แปลว่า)
ความรู้ย่อมเกิดแก่คนพาล
เพียงเพื่อความฉิบหายเท่านั้น
ความรู้นั้น ยังหัวคิดของเขาให้ตกไป

ย่อมฆ่าส่วนสุกกธรรมของคนพาลเสีย.


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (พาลวรรค)
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 05:02:34 am »

เรื่องพระสุธรรมเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสุธรรมเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺย เป็นต้น

ครั้งหนึ่ง จิตตคฤหบดี เห็นพระมหานามเถระ หนึ่งในภิกษุคณะปัญจวัคคีย์ จึงรับบาตร นิมนต์เข้าไปในบ้าน แล้วได้ถวายภัตตาหารแก่พระเถระ และเมื่อฟังธรรมของพระเถระแล้วก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ต่อมาจิตตคฤหบดีได้สร้างวัดขึ้นในอุทยานชื่ออัมพาฏกวัน(สวนมะม่วง)ของตน ในมัจฉิกาสัณฑนคร และคอยดูแลอุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาพักอยู่ที่วัดนี้ด้วยปัจจัยต่างๆเป็นอย่างดี ที่วัดนี้มีพระสุธรรมเถระเป็นเจ้าอาวาส

วันหนึ่ง พระอัครสาวกทั้ง 2 คือ พระสารีบุตรแลพระโมคคัลลานะ ได้เดินทางไปที่วัดนี้ และจิตตคฤหบดีหลังจากฟังธรรมของพระสารีบุตรแล้ว ก็ได้บรรลุพระอนาคามิผล จากนั้นท่านคฤหบดีก็ได้อาราธนาพระอัครสาวกทั้ง 2 ไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านในวันรุ่งขึ้น ท่านคฤหบดีได้อาราธนาพระสุธรรมเถระเจ้าอาวาสด้วยเช่นกัน แต่พระสุธรรมเถระโกรธหาว่า “อุบาสกนี้ นิมนต์เราภายหลัง” จึงปฏิเสธที่จะรับนิมนต์ แม้ว่าท่านคฤหบดีจะอ้อนวอนอยู่หลายครั้งก็ยังปฏิเสธว่าจะไม่ไปเช่นเดิม แต่พอถึงเวลาจริงๆ ท่านพระสุธรรมเถระกลับเดินทางไปที่บ้านของจิตตคฤหบดีในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เมื่อจิตตคฤหบดีนิมนต์ให้เข้าไปนั่งในบ้านท่านกลับปฏิเสธโดยกล่าวว่าท่านไม่ต้องการเข้าไปนั่งแต่ต้องการจะออกไปบิณฑบาต เมื่อท่านแลเห็นสิ่งของต่างๆที่จิตตคฤหบดีตระเตรียมไว้ถวายพระอัครสาวกทั้ง 2 ท่านก็เกิดความริษยาพระอัครสาวกทั้งสอง ถึงกับระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ ท่านได้กล่าวเสียดสีจิตตคฤหบดีแล้วกล่าวว่า “อาตมาไม่ต้องการอยู่ในวัดนี้อีกต่อไปแล้ว” แล้วก็จากไปด้วยความโกรธ

ท่านสุธรรมเถระได้เดินทางไปเฝ้าพระศาสดาและได้กราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นแด่พระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสกับพระสุธรรมเถระว่า “เธอด่าอุบาสกผู้ประกอบศรัทธาและมีอัธยาศัยใฝ่ทาน เธอจงกลับไปขอโทษความผิดต่ออุบาสกนั้นเสีย” พระสุธรรมเถระได้กลับไปขอโทษ แต่จิตตคฤหบดีไม่ยอมยกโทษให้ ท่านจึงต้องกลับไปเฝ้าพระศาสดาเป็นครั้งที่สอง พระศาสดาทรงทราบว่าคราวนี้พระสุธรรมเถระหมดทิฏฐิมานะแล้ว จึงตรัสว่า “เธอจงไปเถิด ไปกับภิกษุผู้เก่งในทางเจรจา(อุปทูต) จงให้อุบาสกอดโทษ” แล้วตรัสอีกว่า “พระที่ดีไม่พึงยึดติด ไม่พึงมีทิฏฐิมานะว่า วิหารของเรา ที่อยู่ของเรา อุบาสกของเรา อุบาสิกาของเรา เพราะเมื่อพระทำอย่างนั้น เหล่ากิเลส มีริษยาและมานะเป็นต้น ย่อมเจริญ

จากนั้น พระศาสดาตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 73 และพระคาถาที่ 74 ว่า
อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺย
ปุเรกฺขารญฺจ ภิกฺขุสุ
อาวาเสสุ จ อิสฺสริยํ
ปูชา ปรกุเลสุ จฯ

(อ่านว่า)
อะสันตัง พาวะมิดเฉยยะ
ปุเรกขารันจะ พิกขุสุ
อาวาเสสุ จะ อิดสะริยัง
ปูชา ปะระกุเลสุ จะ.

(แปลว่า)
ภิกษุพาล ย่อมปรารถนา
ความยกย่อง อันไม่มีอยู่
ความแวดล้อมในหมู่ภิกษุทั้งหลาย
ความเป็นใหญ่ในอาวาส

และการบูชาในตระกูลแห่งชนอื่นฯ


มเมว กตมญฺญนฺตุ
คิหี ปพฺพชิตา อุโภ
มเมว อติวสา อสฺสุ
กิจฺจากิจฺเจสุ กิสมิญฺจิ
อิติ พาลสฺส สงฺกฺโป
อิจฉา มาโน จ วฑฺฒติฯ

(อ่านว่า)
มะเมวะ กะตะ มันยันตุ
คิหิปับพะขิตา อุโพ
มะเมวะ อะติวะสา อัดสุ
กิดจากิดเจสุ กิดสะมินจิ
อิติ พาลัดสะ สังกับโป
อิดฉา มาโน จะ วัดทะติ.

(แปลว่า)
ภิกษุโง่ คาดหวังว่า
ขอคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้ง 2 ฝ่าย
จงสำคัญว่า กิจการงานทำเสร็จไปเพราะอาศัยเรา
ในกิจการทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นกิจการน้อยใหญ่ใดๆ
จะสำเร็จได้ก็โดยอาศัยเราเท่านั้น

ความทะยานอยาก และความถือตัวของภิกษุโง่นั้น ย่อมเพิ่มพูน.


เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น

ข้างพระสุธรรมเถระ ฟังโอวาทนี้แล้วก็ได้เดินทางไปที่บ้านของจิตตคฤหบดี ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายสามารถประนีประนีประนอมกันได้ และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พระสุธรรมเถระก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล.

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เรื่องย่อในพระธรรมบท (พาลวรรค)
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 05:18:34 am »

เรื่องพระวนวาสีติสสเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระติสสเถระ ผู้มีปกติอยู่ในป่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อยฺญา หิ ลาภูปนิสา เป็นต้น

พระติสสเถระ เป็นบุตรของเศรษฐีในกรุงสาวัตถี บิดาของท่านเคยถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระสารีบุตรเถระในบ้านของท่าน พระติสสเถระขณะเป็นเด็กตัวเล็กๆก็ได้มีโอกาสพบกับพระสารีบุตรอยู่หลายครั้ง เมื่อตอนที่ท่านอายุได้ 7 ขวบ ท่านก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรโดยมีพระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ หลังจากที่ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว พวกญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงได้มาหาท่านและได้นำสิ่งของมาถวายท่านเป็นจำนวนมาก สามเณรติสสะเบื่อหน่ายแขกที่มาหาท่านเหล่านี้มาก จึงได้ไปรับพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้วออกไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอยู่ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง เวลาที่มีชาวบ้านมาถวายสิ่งของใดๆ สามเณรติสสะก็จะกล่าวแต่เพียงว่า “ขอท่านทั้งหลาย จงถึงซึ่งความสุข จงพ้นจากทุกข์” (สุขิตา โหถ, ทุกขา มุจฺจถ) แล้วเดินเลี่ยงไป ขณะที่มาพำนักอยู่ในวัดป่าแห่งนี้ ติสสะสามเณรมีความมุ่งมั่นพยายามปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ในช่วงเข้าพรรษาท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล

หลังจากออกพรรษาปวารณาแล้ว พระสารีบุตรเถระพร้อมด้วยพระมหาโมคคัลลานะและภิกษุอาวุโสอื่นๆได้ไปเยี่ยมติสสสามเณร โดยได้รับพุทธานุญาตแล้ว พวกชาวบ้านทั้งหลายได้ออกมาต้อนรับพระสารีบุตรและคณะภิกษุประมาณ 4 หมื่นรูป และได้อาราธนาพระสารีบุตรแสดงธรรมให้ฟัง แต่พระสารีบุตรปฏิเสธที่จะแสดงเอง ได้มอบหมายให้ติสสสามเณรซึ่งเป็นอันเตวาสิกของท่านแสดงแทน พวกชาวบ้านเรียนพระสารีบุตรว่า สามเณรติสสะนี้ได้แต่พูดคำสองประโยคนี้ว่า “ขอท่านทั้งหลาย จงถึงซึ่งความสุข จงพ้นจากทุกข์” เท่านั้น และได้ขอให้พระเถระได้มอบหมายภิกษุอื่นแสดงธรรมแทน แต่พระเถระยังยืนกรานให้สามเณรเป็นผู้แสดงธรรม และได้บอกกับติสสสามเณรว่า “สามเณร คนทั้งหลายจะมีความสุขได้อย่างไร ? และจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ? เธอจงกล่าวเนื้อความแห่งบททั้ง 2 นี้แก่เราทั้งหลาย

จากนั้นติสสสามเณรก็ได้ขึ้นธรรมาสน์ตามคำบัญชาของพระอุปัชฌาย์ แล้วแสดงธรรม โดยท่านได้อธิบายให้ผู้ฟังได้รู้จักความหมายของขันธ์ ธาตุ อายตนะ และโพธิปักขิยธรรม ทางนำไปสู่พระอรหัตตผลและพระนิพพาน ในที่สุดท่านได้กล่าวสรุปว่า “ท่านผู้เจริญ ความสุขย่อมมีแก่บุคคลผู้บรรลุพระอรหัตอย่างนี้ ผู้บรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล ย่อมพ้นจากทุกข์ คนที่เหลือไม่พ้นจากชาติเป็นต้น และจากทุกข์ในนรกเป็นต้นได้

พระสารีบุตรเถระ ได้กล่าวยกย่องติสสสามเณรว่าแสดงธรรมได้ดี เมื่อพระเถระแสดงธรรมจบลงก็ถึงเวลารุ่งอรุณพอดี ในหมู่ชาวบ้าน บางคนก็เกิดความประหลาดใจเมื่อพบว่าติสสสามเณรแสดงธรรมได้ดี แต่กลับไม่ยอมแสดงธรรมให้พวกเขาฟังได้แต่กล่าวประโยคสั้นๆว่า ขอท่านทั้งหลายจงถึงซึ่งความสุข จงพ้นจากทุกข์ แต่ชาวบ้านอีกพวกหนึ่งก็มีความชื่นชมในตัวสามเณรมาก ที่ได้พบว่าสามเณรเป็นผู้คงแก่เรียนซึ่งพวกเขามีความโชคคีที่มีสามเณรมาอยู่ด้วยเช่นนี้

พระศาสดาประทับอยู่ในวัดพระเชตวัน แต่ทรงทอดพระเนตรเห็นพวกชาวบ้านที่แยกกันออกเป็น 2 กลุ่มนั้นด้วยจักษุทิพย์ ทรงต้องการขจัดความเข้าใจผิดของพวกชาวบ้านในกลุ่มแรก จึงได้เสด็จไป ณ ที่นั้นด้วยอิทธิฤทธ์ไปปรากฏพระองค์ในขณะที่พวกชาวบ้านกำลังตระเตรียมอาหารสำหรับพระภิกษุทั้งหลาย พวกชาวบ้านมีความยินดีที่ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่พระศาสดา หลังจากสร็จภัตตกิจแล้วพระศาสดาเมื่อจะทรงทำอนุโมทนาจงตรัสว่า “อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย เป็นลาภของท่านทั้งหลาย ซึ่งได้เห็นอสีติมหาสาวก คือ สารีบุตร โมคคัลลานะ กัสสปะ เป็นต้น เพราะอาศัยสามเณรผู้เข้าถึงสกุลของตนๆ แม้เราก็มาแล้ว เพราะอาศัยสามเณรผู้เข้าถึงสกุลท่านทั้งหลายเหมือนกัน แม้การเห็นพระพุทธเจ้า อันท่านทั้งหลายได้แล้ว เพราะอาศัยสามเณรนั่นเอง เป็นลาภของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายดีแล้ว” จากพระดำรัสว่าทำให้ชาวบ้านทั้งหลายได้ตระหนักว่าเป็นความโชคดีที่พวกเขามีติสสสามเณรมาอยู่ด้วยเช่นนี้ พวกที่เคยโกรธสามเณรก็ได้หายโกรธ พวกที่เลื่อมใสอยู่แล้วก็ยิ่งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น เมื่อเทศนาจบลง ชนเป็นอันมากทั้งภิกษุและชาวบ้านได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น

หลังจากแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว พระศาสดาได้เสด็จกลับไปที่วัดพระเชตวัน ในตอนเย็นภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันในโรงธรรม กล่าวยกย่องติสสสามเณรว่า “ติสสสามเณร ทำกรรมที่บุคคลทำได้ยาก จำเดิมแต่ถือปฏิสนธิ พวกญาติของเธอ ได้ถวายข้าวปายาสมีน้ำน้อยแก่ภิกษุประมาณ 500 ในมงคล 7 ครั้ง ในเวลาบวชแล้ว ก็ได้ถวายข้าวปายาสมีน้ำน้อยเหมือนกัน แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในวิหารสิ้น 7 วัน ครั้นบวชแล้ว ในวันที่ 8 เข้าไปสู่บ้าน ได้บิณฑบาตพันหนึ่งกับผ่าสาฎกพันหนึ่ง โดย 2 วันเท่านั้น วันรุ่งขึ้น ได้ผ้ากัมพลพันผืน ในเวลาอยู่ในที่นี้ ลาภและสักการะมากมายก็เกิดขึ้นแล้วเหมือนกัน บัดนี้เธอทิ้งลาภและสักการะมากมายเช่นนี้ แล้วเข้าไปสู่ป่า ดำเนินชีวิตด้วยอาหารที่เจือกัน

พระศาสดาเมื่อทราบหัวข้อสนทนาของภิกษุเหล่านั้นแล้วได้ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือในหมู่บ้าน ไม่พึงอยู่เพราะต้องการลาภและสักการะ หากภิกษุสละลาภและสักการะแล้ว มีความมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมในที่สงัดในป่า ก็จะบรรลุพระอรหัตตผลได้อย่างแน่นอน

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 75 ว่า
อญฺญา หิ ลาภูปนิสา
อญฺญา นิพฺพานคามินี
เอวเมตํ อภิญฺญาย
ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก
สกฺการํ นาภินนฺเทยฺย
วิเวกมนุพฺรูหเยฯ

(อ่านว่า)
อันยา หิ ลาพูปะนิสา
อันยา นิบพานะคามินี
เอวะเมตัง อะพินยายะ
พิกขุ พุดทัสสะ สาวะโก
สักการัง นาพินันเทยยะ
วิเวกะมะนุพรูหะเย.

(แปลว่า)
ข้อปฏิบัติอันจะนำไปสู่ลาภเป็นอย่างหนึ่ง
ทางปฏิบัติอันจะนำไปสู่พระนิพพานเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ทราบเนื้อความนั้นอย่างนี้แล้ว

ไม่พึงเพลิดเพลินลาภสักการะ
แต่พึงตามเจริญวิเวก.


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

one mind :http://agaligohome.com/index.php?topic=4612.0