ผู้เขียน หัวข้อ: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗  (อ่าน 12428 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



โทษของกามข้อที่ว่า เหมือนโดดลง
หลุมถ่านเพลิง
อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗  “ หลุมถ่านเพลิง ” 

โดย อาจารย์ปราโมช น้อยวัฒน์

กามทั้งหลายก็ยังเปรียบเหมือนกับ “ หลุมถ่านเพลิง ”
เพราะอรรถว่าทำให้ร้อนอย่างยิ่ง
คือผู้ใดที่หลงยินดีในกามท่านก็อุปมาว่าเหมือนกับตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง

หลุมถ่านเพลิงก็ย่อมจะเผาไหม้บุคคลนั้นให้ถึงแก่ความตาย
   



Credit by :raksa-dhamma.com
:http://www.sookjai.com/index.php?topic=2821.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2013, 03:21:43 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:27:53 am »




ดังมีเรื่องของพระเถรีรูปหนึ่ง ซึ่งท่านแสดงไว้ในอรรถกถาขุททกนิกายเถรีคาถา
ท่านได้อุปมาโทษของกามไว้มากมาย ถ้าหากว่าเราได้ฟังแล้ว
ก็อาจจะเป็นเหตุให้เราเกิดความเบื่อหน่ายในกาม หรือว่าเห็นโทษของกาม คิดที่จะออกจากกาม
ผู้นั้นก็มีหวังที่จะพ้นจากทุกข์ได้ แต่ถ้าหากว่ายังไม่เห็นโทษของกามแล้ว

กามก็จะทำให้ต้องเป็นทุกข์ท่องเที่ยวไปนับภพชาติไม่ถ้วน คือในอดีตก็ต้องเป็นทุกข์
ท่องเที่ยวมานับชาติไม่ถ้วน ในปัจจุบันนี้เราก็ยังติดใจในกามอีก
กามก็จะพาให้เราท่องเที่ยวไปในภพชาติต่อไปอีกไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดทุกข์เอาเมื่อไร
จึงได้นำเรื่องของพระเถรีรูปนี้ที่ท่านแสดงโทษของกามมาให้ท่านฟัง

คือพระเถรีรูปนี้ในอดีตชาติท่านได้เคยบำเพ็ญบารมีสร้างสมกุศล
อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ มาแล้วหลายพระองค์
พระเถรีรูปนี้ในสมัยที่ท่านยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะ

ท่านได้ท่องเที่ยวไปเกิดในสวรรค์ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์จนถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
แล้วที่ไปเกิดในสวรรค์แต่ละชั้นก็ได้เป็นมเหสีของท้าวเทวราชทั้ง ๕ ชั้น
ได้เสวยความสุขท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภพโลกสวรรค์
ได้เสวยความ สุขอันเป็นทิพย์มากมายหาประมาณไม่ได้


เมื่อพ้นจากโลกสวรรค์ลงมาเกิดอยู่ในมนุษย์ก็ได้เกิดในตระกูลสูง ๆ
ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์เป็นต้น ได้เสวยความสุขมากมาย
เพราะท่านเป็นผู้ที่สร้างสมกุศลมามากมาย กุศลอันนี้ก็ทำให้ท่านท่องเที่ยวไป
ในสุคตินับภพชาติไม่ถ้วน ในการที่ท่านท่องเที่ยวไปในภพชาติต่าง ๆ เหล่านั้น
ท่านก็พยายามเจริญกุศลที่จะให้ถึง
ความพ้นทุกข์อยู่เสมอ จนกระทั่งมาถึงพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 01, 2012, 09:40:39 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:29:13 am »




ท่านได้มาเกิดเป็นธิดาของพระเจ้าโกญจะ อยู่ที่กรุงมันตาวดี ได้พระนามว่าสุเมธา
วันหนึ่งพระนางสุเมธาพร้อมด้วยราชธิดาที่มีวัยคราวเดียวกันและเหล่าทาสี
ก็ได้พากันไปฟังธรรมในสำนักของพระภิกษุณี เป็นเหตุให้พระนางสุเมธา
เกิดความเลื่อมใสในธรรม เห็นทุกข์โทษภัยของวัฏฏะทำให้พระนางเกิดความ
เบื่อหน่ายในกาม ไม่ประสงค์ที่จะทำกิจของฆราวาสต่อไป จึงได้ขออนุญาต

พระชนกชนนีออกบวช แต่พระชนกชนนีได้บอกว่าได้ถวายลูกให้กับ
พระเจ้าอนิกรัตตะ แห่งกรุงวารณวดีแล้ว
พระนางสุเมธาก็กล่าวว่า ลูกยินดีแต่เฉพาะในพระนิพพาน ไม่ยินดีในภพอีกต่อไป
เพราะถึงแม้ว่าภพนั้นจะเป็นทิพย์
แต่ภพนั้นก็ไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้นจะป่วยกล่าวไปใยถึงกามทั้งหลายที่เป็นของมนุษย์ กามเหล่านี้
ก็ล้วนแล้วแต่ว่าเป็นของว่างเปล่าไม่มีแก่นสารสาระ มีรสอร่อยน้อย
เหมือนกับหยาดน้ำที่คมมีดซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอันตราย เพราะมีความคับแค้นมาก
มีทุกข์มากให้ผลทั้งในปัจจุบันและอนาคต กามจึงมีความเผ็ดร้อน

เปรียบเหมือนกับงูพิษที่มีอันตราย เพราะมีภัยเฉพาะหน้า หมายความว่างูจะไป
ในที่ไหน ถ้ามีคนพบเห็นแล้วก็มักจะถูกตีถูกฆ่าให้เป็นอันตรายฉันใด แม้กามก็เช่นเดียวกัน
ถ้าหากว่าใครไปยินดีในกามแล้ว ก็จะมีแต่ความทุกข์เดือดร้อนเป็นส่วนมาก
แต่พวกคนเขลาที่ไม่รู้เหตุผลความจริง ก็พากันติดอยู่ในกาม
จึงเป็นเหตุให้ต้องเป็นทุกข์ท่องเที่ยวไปชั่วกาลนานตามกรรมของตนที่ทำมา

เพราะคนเขลาไม่เคยที่จะสำรวมกายวาจาใจ ก็มักจะเพลิดเพลินในกาม
การที่เพลิดเพลินในกามก็เป็นเหตุให้ทำแต่บาปกรรมเพิ่มพูนอยู่เรื่อย ๆ เป็นเหตุ
ให้ต้องไปสู่อบายทุคติ ต้องได้รับทุกข์โทษภัยแสนสาหัส เพราะคนเขลาไม่มีปัญญา
ไม่รู้จักทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน คือไม่คิดที่จะทำประโยชน์ช่วยตนให้พ้นจากทุกข์
ก็เพราะถูกอำนาจของอวิชชาตัณหาปิดบังไว้ จึงทำให้ไม่รู้จักโทษของกาม

คือไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักอริยสัจจ์ ๔ เมื่อไม่รู้จักอริยสัจจ์ ๔ ก็จะต้องเป็นทุกข์ท่องเที่ยวไป
ในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่ายังมีความหลงไหลติดใคร่ยินดีในกาม
ก็ยังปรารถนาจะไปเกิดในภพภูมิที่มีความสุข คนส่วนมากในโลกต่างก็ปรารถนา
กามสุขกันทั้งนั้น ก็เพราะเหตุไม่รู้จักอริยสัจจ์ ๔ คือไม่รู้จักทุกข์เป็นต้น

พวกที่เป็นคนเขลาไม่รู้เหตุผลความจริงจึงไม่หวาดสะดุ้งกลัวต่อโทษของกาม
เพราะว่าไม่เคยเห็นโทษของกามมีแต่หลงใหลยินดีรักใคร่ในกาม จึงเป็นเหตุให้เขา
ต้องเกิดในภพบ่อย ๆ และการเกิดในภพบ่อย ๆ ของพวก ยินดีรักใคร่ในกาม ส่วนมาก
ก็ไปเกิดในอบาย เพราะเหตุว่าความยินดีในกามเป็นเหตุให้ลืมทำกุศล

เมื่อไม่ได้ทำกุศลมัวแต่เพลิดเพลินยินดีในกาม การเพลิดเพลินยินดีในกาม
ก็เป็นเหตุให้ทำบาปอกุศล เมื่อตายไปแล้วจึงไปเกิดในอบายได้ง่ายกว่าที่จะไปเกิดในมนุษย์
ท่านถึงได้บอกว่าภพภูมิของสัตว์ทั้งหลายที่ไปเกิดได้ง่าย คือการไปเกิดในอบาย
ส่วนคติทั้งสองคือคติที่เป็นมนุษย์กับคติที่เป็นเทวดาสัตว์ทั้งหลายไปเกิดได้ยาก
เพราะบุญ เป็นของที่สัตว์ทั้งหลาย ทำได้ยาก
แต่ส่วนที่ไปเกิดในอบายได้ง่าย เพราะสัตว์ทำบาปกันได้ง่าย
เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็ควรที่จะ พิจารณา ถึงตนเองว่า
เรามีความยินดีเพลิดเพลินในกามจนกระทั่งลืมทำบุญกุศลหรือเปล่า



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 01, 2012, 10:13:35 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:30:23 am »




ถ้าหากว่าเรามัวแต่เพลิดเพลินในกามลืมทำกุศล เราก็จะต้องไปสู่ทุคติได้ง่าย
เพราะฉะนั้นสัตว์ที่ไปเกิดในทุคติจึงมีมากว่าสัตว์ที่มาเกิดในสุคติ
เมื่อพระนาง สุเมธาได้เล่าโทษของกามให้พระชนกชนนีฟังแล้วก็บอกว่า พระนางไม่ยินดีในกาม
ยินดีแต่ในการออกบวช ขอให้พระชนกชนนีอนุญาตให้ลูกได้บวชเถิด ลูกไม่ขวนขวาย
ในกิจของฆราวาสอีกต่อไปแล้ว จะพากเพียรเจริญภาวนาเพื่อที่จะละชาติชรามรณะให้สิ้นไป
ถ้าหากว่าพระชนกชนนีจะอ้อนวอนให้ยินดีในกาม พระนางก็ไม่เห็นกามว่ามีแก่นสารอะไรเลย
จึงได้พรรณนาโทษของกามให้พระชนกชนนีฟังอีก เพราะว่าการที่สัตว์โลกทั้งหลายยินดีในกาม
ก็คือยินดีในร่างกายของตนเอง ยินดีในร่างกายของผู้อื่น
การที่ยินดีในร่างกายของตน หรือว่าในของผู้อื่นความจริงก็ยินดีในสิ่งที่ไม่มีสาระ


เพราะร่างกายล้วนแต่เป็นของปฏิกูลโสโครก ไม่มีอะไรที่จะเป็นของดีเลย ฉะนั้นพระนางสุเมธา
ก็ตั้งใจที่จะบวชเพื่อที่จะดับกิเลสตัณหาให้หมดไป และเพียรพยายามที่จะเจริญพรหมจรรย์
เพื่อที่จะให้พ้นจากภพชาติไป และพระนางได้อธิบายถึงคุณความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
ในกาลนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้ว ลูกได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
อขณะนี้ก็ได้เว้นแล้ว “ อขณะ ” ก็หมายถึงว่าการไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ส่วนขณะลูกก็ได้แล้ว
คือได้มีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์ ฉะนั้นลูกขอบวชประพฤติศีลและพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ถ้าหากว่า
พระชนกชนนีไม่ยอมให้บวชก็จะไม่เสวยอาหารคือจะยอมตายอย่างเดียวถ้าหากว่าไม่ได้บวช


เมื่อพระชนกชนนีพยายามจะเกลี้ยกล่อมพระนางสุเมธาให้ยินยอมเป็นคฤหัสถ์จึงกล่าวว่า
ลูกยังเป็นสาวอยู่ควรที่จะยินดีบริโภคในกามเพราะว่าพ่อได้ถวายลูกให้กับพระเจ้าอนิกรัตตะแล้ว
ลูกก็จะได้เป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้าอนิกรัตตะ จะเป็นผู้มีอำนาจ มีโภคทรัพย์ มีความเป็นใหญ่
มีความสุขในราชสมบัติมากมาย ขอให้ลูกบริโภคกามเถิดอย่าเพิ่งไปประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์
หรือว่าไปออกบวชเลย เพราะการประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์นั้นทำได้ยาก
ฝ่ายพระนางสุเมธาได้ยิน พระชนกชนนีกล่าวอย่างนี้ ก็บอกว่าพวกอำนาจราชสมบัติต่าง ๆ
หรือว่าความสุขในกามต่าง ๆ ลูกไม่ได้ปรารถนาเลย เพราะเหตุว่า
เป็นสิ่งที่ไม่มีสาระแก่ลูก แต่ส่วนการบวชหรือความตายเท่านั้นจะมีแก่ลูก ถ้าหากว่า
พระชนกชนนีไม่ยอมให้บวช และพระนางก็บอกว่าจะไม่ยอมวิวาห์เป็นอันขาด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 01, 2012, 09:09:14 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:31:42 am »



พระนางได้ยกเอาความปฏิกูลของร่างกายแสดงแก่พระชนกชนนีต่อไปว่ากายของมนุษย์ หรือของสัตว์ทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่เป็นของเน่าเป็นของปฏิกูลเหมือนหนอนเป็นของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นคลุ้งดุจถุงหนังที่บรรจุซากศพ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดไหลอยู่เป็นนิจ

ซึ่งคนเขลายึดว่าเป็นเราหรือว่าเป็นของเรา
แต่ความเป็นจริงแล้วกายนี้เป็นก็เหมือนซากศพเป็นของปฏิกูล
ที่ฉาบด้วยเนื้อและเลือดเป็นที่อยู่ของหมู่หนอนหลายจำพวก
คือพวกหนอนต่าง ๆ เหล่านี้จะมีอยู่ในร่างกายของเรา อาศัยกินร่างกายของเราเป็นอาหารและเมื่อตายแล้วร่างกายนี้ถูกเอาไปทิ้งแล้ว
ในป่าช้าก็ยังเป็นอาหารของแร้งกา หรือว่าสัตว์ทั้งหลายต่อไปอีก

เมื่อกายนี้เป็นที่ประชุมแห่งของโสโครกสกปรกอย่างนี้ ก็ได้ถามพระชนกชนนีว่าเพราะเหตุใดจึงได้เอาซากศพของตนยกให้กับพระราชาเล่า เพราะว่าล้วนแล้วแต่เป็นของที่ไม่ดีทั้งนั้น เพราะกายนี้ถ้าหากว่าปราศจากวิญญาณไปแล้ว ก็เปรียบเหมือนกับท่อนไม้ที่ไม่มีประโยชน์ที่เขานำไปทิ้งที่ป่าช้า ให้เป็นอาหารของเหล่าสัตว์มีสุนัขจิ้งจอกและสุนัขบ้านเป็นต้น

เมื่อเอาไปทิ้งคือตายไปแล้วแม้แต่บิดามารดาของตนก็ยังเกลียด เมื่อเอาซากศพไปทิ้งที่ป่าช้าแล้วพอกลับมาถึงบ้านก็ต้องอาบน้ำชำระร่าง กายให้สะอาด เพราะเห็นว่าการไปในสถานที่นั้นเป็นสิ่งปฏิกูลโสโครก เพราะฉะนั้นขนาดว่าเป็นลูกของตัวเองก็ยังรังเกียจแล้ว ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นแล้วเขาจะรังเกียจขนาดไหน แต่คนทั้งหลายที่โง่เขลาเวลาที่ยังไม่ตาย

ก็ชื่นชมยินดีในร่างกายนี้ว่าเป็นสาระเป็นของสวยงามเป็นของเที่ยง ก็ด้วยอำนาจของตัณหาความรักใคร่ยินดีปิดบังไว้จึงไม่เห็นร่างกายว่าเป็นของปฏิกูล ต่อเมื่อวิญญาณจากไปแล้วเป็นของเน่าเหม็นจึงจะเห็นว่าเป็นปฏิกูล คือไม่สามารถที่จะทนกลิ่นกายนี้ได้

เพราะเหตุนี้บัณฑิตทั้งหลายจึงได้กล่าวว่าร่างกายนี้ความจริงก็คือสภาพที่เป็นขันธ์อายตนะ ธาตุที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็เป็นเหตุให้แล่นไปในภพต่าง ๆ การที่ขันธ์ตั้งขึ้นมาแล้วก็มีชาติความเกิดเป็นปัจจัย
เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตายไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นพระนางจึงไม่ปรารถนาจะเข้าสู่การวิวาห์ เพราะว่าบุคคลใดที่ได้มารู้จักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่แสดงถึงสังสารวัฏฏ์อันมีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้จักจบ และทุกข์ที่นับวัฏฏะไม่ได้ หมายความว่าสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาก็ไม่รู้ว่าตั้งต้นมาตั้งแต่เมื่อไรและจะไปสิ้นสุดเอาเมื่อไร
ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย
เพราะความที่ยินดีติดใจอยู่ในกาม เป็นเหตุให้ต้องวนเวียนไปในภพชาติไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าหากว่าบุคคลใดมาประพฤติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยการรักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์ออกบวชคือออกจากกาม แม้ว่าจะเป็นการ
ประพฤติที่ลำบาก
แต่ทำให้พ้นจากทุกข์เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2011, 05:51:33 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:34:02 am »


ดังท่านอุปมาการประพฤติพรหมจรรย์ที่เป็นความลำบาก เหมือนกับว่าถูกแทงด้วยหอก ๓๐๐ เล่ม
และถูกแทงอยู่ทุกวันตลอดเวลา ๑๐๐ ปีแต่การประพฤติพรหมจรรย์ที่เป็นทุกข์ลำบากอย่างนี้
แล้วเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพานพ้นจากวัฏฏะได้ก็ยังประเสริฐกว่าความยินดีในกามที่เห็นว่ามีความสุข ก็จะเป็นเหตุให้ต้องท่องเที่ยวเป็นทุกข์ไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะจะถูกชาติชราพยาธิมรณะเบียดเบียนอยู่ตลอดไปซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ต้องไปเกิด
ในเทวดาบ้างในมนุษย์บ้าง
หรือว่าไปเกิดในกำเนิดของสัตว์เดรัจฉานบ้างในหมู่อสุรกาย เปรต และสัตว์นรก
ก็ยิ่งจะต้องประสบกับความทุกข์มากมาย
เพราะว่าในอบายนั้นมีการเบียดเบียนทำร้ายกันและมีความทุกข์แสนสาหัสหาประมาณไม่ได้เลย

ถึงแม้ว่าการที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาก็ไม่ใช่ว่าจะมีความสุขอยู่ตลอดกาล
เพราะฉะนั้นถึงไปเกิดเป็นเทวดา
ถ้าไม่ประพฤติพรหมจรรย์แล้วการไปเกิดเป็นเทวดานั้นก็ไม่อาจที่จะช่วยให้พ้นจากภพชาติการเกิดไปได้

เพราะไปเป็นเทวดามัวแต่ไปเพลิดเพลินในกามสุข ก็เป็นเหตุให้หลงเพลิดเพลินยินดีเป็นโลภะ
การไปเกิดเป็นเทวดาก็ช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังมีความเร่าร้อนอยู่ด้วยกามราคะ
การยินดีในกามก็จะต้องประสบกับความทุกข์ความคับแค้นมาก
เพราะโลกียสุขนั้นมีความแปรปรวน ปรุงแต่งให้เกิดทุกข์เรื่อยไป

ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ สุขอื่นอันยิ่งกว่าสุขคือพระนิพพานไม่มี
พระนิพพานนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นชนเหล่าใดที่มาประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ชนเหล่านั้นก็สามารถที่จะบรรลุ พระนิพพาน พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
และในวันนี้แหละลูกก็จะออกบวชคือไม่ปรารถนาที่จะบริโภคกามอีกต่อไป

และพระนางก็บอกว่ากามนี้ไม่มีสาระแก่นสาร เพราะกามทั้งหลายลูกเบื่อแล้ว
คือเป็นเสมือนกับของที่คายออกแล้ว ก็เป็นเหมือนอย่างกับรากสุนัข เป็นของสกปรก
พระนางไม่ยินดีแล้วในกาม เปรียบเหมือนกับว่าเป็นตาลยอดด้วน
ที่ชื่อว่าตาลยอดด้วน ก็หมายถึงว่าต้นตาลถ้าหากว่าไม่มียอดแล้วก็ถึงแก่ความตายฉันใด
เพราะฉะนั้นนางก็บอกว่านางตายแล้ว
ขาดแล้วจากกามฉันนั้น คือไม่ปรารถนาไม่ยินดีในกาม วันนี้นางก็จะออกบวช

ขณะที่พระนางกำลังกราบทูลพระชนกชนนีอยู่อย่างนั้น พระเจ้าอนิกรัตตะ
ก็เสด็จมาถึงกรุงมันตาวดี พอพระนางสุเมธาทราบ ก็ใช้พระขรรค์ตัดพระเกสา
แล้วก็ทรงปิดปราสาท เอาผมเป็นกสิณมนสิการให้เห็นว่าเป็นของปฏิกูล
ขณะที่บริกรรมอยู่นั้นก็เป็นเหตุให้พระนางได้บรรลุ ปฐมฌาน ออกจากฌานแล้ว
ก็ยกองค์ฌานขึ้นสู่ วิปัสสนา เห็นความไม่เที่ยงของ องค์ฌาน นั้น

เพราะเหตุว่าในอดีตชาติพระนางได้เคยทำฌานทำวิปัสสนามามากมายในอดีตภพ
เพราะฉะนั้นเมื่อมีความปรารถนาที่จะออกจากกามจริง ๆ แล้ว
จิตใจมุ่งอยู่ที่จะถึงพระนิพพาน ต้องการความพ้นทุกข์
ก็เป็นเหตุให้พระนางปฏิบัติธรรม ทำให้ บรรลุธรรม นั้นได้โดยสะดวก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2011, 06:43:33 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:37:13 am »



ฝ่ายพระเจ้าอนิกรัตตะ เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว
ก็เข้าไปหาพระนางสุเมธาอ้อนวอนขอให้พระนางทรงวิวาห์กับพระองค์
แต่พระนางก็บอกว่า กามทั้งหลายนางตัดขาดแล้ว โมหะของนางก็ปราศไปแล้ว จึงได้ทูลพระเจ้าอนิกรัตตะว่าอย่าได้ทรงเพลิดเพลินในกามเลยจงเห็นโทษของกามเถิด เพราะว่าความอิ่มในกามทั้งหลายย่อมไม่มีดังเช่นพระเจ้ามันธาตุราช ซึ่งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่เป็นเจ้าแห่งทวีปทั้ง ๔ มีชมพูทวีปเป็นต้น ทรงเป็นยอดของผู้ที่บริโภคกามอย่างดีเลิศ

คือได้บริโภคกามทั้งในมนุษย์คือในขณะที่ท่านเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ได้รับความสุขในมนุษย์และเทวดาคือท้าวสักกะก็ยังมาเชิญพระองค์ให้ไปเสวยความสุขในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือมารับเอาพระเจ้ามันธาตุราชไปเสวยความสุขอยู่ในชั้นดาวดึงส์ จนกระทั่งสิ้นอายุของท้าวสักกะไปถึง ๓๖ พระองค์ ท้าวมันธาตุราชก็ยังไม่ตายแต่ก็ยังไม่ทรงอิ่มในกาม ผลที่สุดก็ต้องกลับมาเมืองมนุษย์แล้วก็เสด็จสวรรคตไปทั้งที่ความปรารถนาของพระองค์นั้นยังไม่ได้เต็มเลย

แล้วพระนางสุเมธาก็ยังเปรียบอีกว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ ถึงแม้ว่าเทวดาจะหลั่งรัตนะ คือทำรัตนะให้ตกลงมาเป็นฝนตลอดโดยรอบของบุรุษทั้ง ๑๐ ทิศ บุรุษเหล่านั้นก็ไม่รู้จักอิ่มในกามและทั้ง ๆ ที่ไม่อิ่มในกามก็ต้องพากันตายไป และยังบอกอีกว่าถึงแม้ว่าฝนนั้นที่เป็นพวกกหาปณะต่าง ๆ ที่ตกลงมาจะมากมายเท่าไร ความอิ่มในกามของคนทั้งหลายก็ย่อมไม่มีที่สุด ในที่สุดก็ต้องตายจากไป พระนางจึงได้แสดงโทษของกามให้พระเจ้าอนิกรัตตะฟังต่อไปอีก โดยเปรียบกามทั้งหลายให้พระเจ้าอนิกรัตตะฟัง

คือเปรียบกามว่าเหมือน “ ดาบและหลาว ” ที่เปรียบว่าเหมือนดาบและหลาว ก็เพราะอรรถว่าดาบมีหน้าที่คอยตัดศีรษะของสัตว์โลกให้ตายไปไม่มีที่สิ้นสุด จึงได้เปรียบกามว่าเหมือนกับดาบและหลาวทั้งหลาย

และยังเปรียบกามว่าเป็นเหมือนหัวงูดังที่กล่าวไปแล้วว่ามีภัยเฉพาะหน้า คือคนเห็นงูก็จะต้องตีงู กามก็เหมือนกันถ้าหากว่าใครไปหลงติดในกามก็มีภัยที่จะต้องคอยระวังมาก อย่างเช่นคนที่ยินดีในกามก็จะถูกทำร้ายให้เจ็บป่วยต่าง ๆ ฉะนั้นจึงได้ เปรียบกามว่าเป็นเหมือนกับหัวงู

และกามทั้งหลายยังเปรียบเหมือน “ คบเพลิงหญ้า ” เพราะอรรถว่าเผาคือใครที่ถือคบเพลิงหญ้า ถ้าหากว่าไม่ปล่อยคบเพลิงหญ้า ๆ ก็จะลุกไหม้เผาลนผู้นั้นให้ถึงแก่ความตาย ผู้ที่ยินดีในกามก็เหมือนกันทั้ง ๆ ที่ยังไม่อิ่มในกาม กามนั้นก็เผาให้เร่าร้อนเหมือนกับถูกไฟไหม้ผลที่สุดก็ต้องตายไป




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2011, 07:29:05 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:39:55 am »




จึงได้เปรียบกามว่าเหมือนกับคบเพลิงหญ้า และกามทั้งหลายยังเปรียบเหมือนกับ
“ ท่อนกระดูก ” เพราะอรรถว่ามีรสอร่อยน้อย
คือท่อนกระดูกไม่มีรสอร่อยเท่าไร แต่ว่าผู้บริโภคไม่รู้ถึงความจริง คือที่ว่าอร่อย
ความจริงก็อร่อยในน้ำลายของตัวเอง ท่านจึงได้เปรียบกามว่าเหมือนท่อนกระดูก
คือจะบริโภคเท่าไรก็ทำให้เพลิดเพลินแต่ว่าไม่ทำให้อิ่มได้

เพราะกามจะบริโภคเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม และกามทั้งหลายท่านก็ยังเปรียบว่า
เป็นของที่ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มีทุกข์มาก มีพิษมาก
เพราะว่าเป็นมูลรากแห่งทุกข์ คือทำให้มีภพชาติการเกิดนั่นเอง

และท่านยังได้เปรียบกามทั้งหลายว่าเหมือนกับ “ ก้อนเหล็ก ” ที่ร้อนโชน
แต่ผู้ที่ไม่รู้ว่าเหล็กร้อนไปจับเข้า เป็นเหตุให้ต้องได้รับความทุกข์แสนสาหัส
เหมือนกับคนที่ไม่เห็นโทษของกาม
ไปเพลิดเพลินยินดีในกาม ก็ต้องเป็นทุกข์ท่องเที่ยวไปไม่มีที่สิ้นสุด


และกามทั้งหลายยังเปรียบด้วย “ ผลไม้ ” เพราะอรรถว่าถูกหักราญ หมายความว่า
ต้นไม้ที่มีผลดกก็จะถูกบุคคลทั้งหลายเก็บกิน คือถูกสอยบ้างถูกหักกิ่งหรือว่าตัดรานกิ่ง
เก็บเอาผลลงมาทำให้ต้นไม้นั้นย่อยยับลงไปฉันใด คนที่หลงกามมาก ๆ ก็เช่นกัน
ย่อมจะเป็นทุกข์ฉันนั้น
คือทำให้ต้องถูกฟัน ถูกยิง ถูกผ่าตัดอวัยวะ เพราะเหตุที่ หลงในกาม แย่งกามกันกิน

และกามทั้งหลายท่านยังเปรียบด้วย “ ชิ้นเนื้อ ” เพราะอรรถว่าเป็นของสาธารณะ
คือชิ้นเนื้อเป็นที่ชอบใจของสัตว์ทั้งหลาย
ฉะนั้นใครที่เห็นชิ้นเนื้อแล้วต่างก็แย่งชิงกันที่จะเอามาเป็นเจ้าของ ก็เป็นเหตุุุ
ให้เกิดการต่อสู้กัน ทำให้ได้รับทุกขเวทนาเจ็บป่วยไปต่างๆ ก็เพราะความปรารถนาในกาม




pics :F/B >> Sim Lo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2014, 02:48:53 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:44:49 am »





และกามทั้งหลายท่านยังเปรียบด้วย “ ความฝัน ” เพราะอรรถว่า ปรากฏขึ้นมานิดหน่อย
คือเป็นของหลอกลวงซึ่งไม่ใช่ของจริง
ท่านจึงเปรียบว่าเหมือนกับเป็นมายากลของคนเล่นกล คือความฝัน พอตื่นขึ้นมาแล้ว
ความฝันก็หายไปหมด
กามทั้งหลายที่เราหลงเพลินยินดีก็มีความไม่เที่ยง

คือเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปเช่นกัน ยังหลอกลวงให้เราหลงยินดีเพลิดเพลินทำให้เกิดทุกข์โทษต่าง ๆ
ท่านจึงได้เปรียบกามว่าเหมือนกับความฝัน
คือยินดีเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง
ความยินดีก็หายไปเหมือนกับความฝัน
ที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็หายไปหมดฉะนั้น

และกามทั้งหลายท่านยังเปรียบเหมือน “ ของที่ยืมเขามา ” เพราะอรรถว่าเป็นของใช้ได้ชั่วคราว
คือของที่เรายืมเขามาก็เพียงแต่ให้เกิดความยินดีนิดหน่อย
คือเอามาใช้แก้ทุกข์ได้ชั่วคราว แล้วก็ต้องส่งคืนเขาไป และการจะส่งคืนเขาไป
ก็ให้มีการอาลัยอาวรณ์ในสิ่งนั้น ไม่อยากจะส่งคืนสิ่งนั้นไป แต่ก็ต้องส่งเขาไป
เพราะผู้ยินดีในกาม ในที่สุดตัวเองก็ต้องตาย






กามทั้งหลายท่านยังเปรียบเทียบด้วย “ หอกและหลาว ” เพราะอรรถว่าทิ่มแทงขันธ์ ๕
ให้เกิดทุกขเวทนาเจ็บป่วยอยู่เสมอทั้งกายและใจ
คือผู้ใดที่ไปพัวพันในกามที่จะไม่เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจย่อมไม่มีเลย

กามทั้งหลายก็ยังเปรียบเหมือน “ หัวฝี ” เพราะว่าเป็นที่ไหลออกของสิ่งที่ไม่สะอาด
เหมือนกามเป็นที่ไหลออกของกิเลส
คือทำให้เกิดทุกข์เกิดความลำบากยุ่งยากให้ถึงแก่ความตายไม่มีที่สิ้นสุด

กามทั้งหลายก็ยังเปรียบเหมือนกับ “ หลุมถ่านเพลิง ” เพราะอรรถว่าทำให้ร้อน
อย่างยิ่ง คือผู้ใดที่หลงยินดีในกามท่านก็อุปมาว่าเหมือนกับตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง
หลุมถ่านเพลิงก็ย่อมจะเผาไหม้บุคคลนั้นให้ถึงแก่ความตาย

ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงทุกข์โทษภัยของกาม
ว่ามีแต่ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดความลำบาก
ต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎฎ์วนเวียนไปไม่มีที่สิ้นสุด และการที่วนเวียนไป

ก็เพราะความหลงถ้าได้รับความสุขก็ชื่นชมยินดี แต่พอเวลาได้รับความทุกข์ขึ้นมา
ก็เศร้าโศกเสียใจ
เพราะฉะนั้นบัณฑิตทั้งหลายจึงได้กล่าวว่ากามนี้มีแต่อันตราย
เพราะหลงเพลิดเพลินในกามเป็นเหตุให้ทำอกุศล และจะไปพระนิพพานก็ไปไม่ได้
กามก็ทำอันตรายแก่ พระนิพพาน คือทำให้ไม่พ้นจากทุกข์




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 01, 2012, 10:29:23 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: “ หลุมถ่านเพลิง ” อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 05:46:36 am »



เมื่อพระนางสุเมธาแสดงโทษของกามอย่างนี้แล้วก็บอกให้พระเจ้าอนิกรัตตะ
ได้เห็นโทษของกามก็ขอให้เสด็จกลับไปเสียเถิด
เพราะพระนางเวลานี้เปรียบเหมือนกับว่าถูกไฟกำลังไหม้ศีรษะของพระนางอยู่
คนอื่นไม่สามารถที่จะช่วยพระนางได้ คือที่บอกว่าไฟกำลังไหม้อยู่นี่ท่านก็อุปมาไฟว่าได้แก่

ชาติความเกิด ชราความแก่ ความเจ็บ ความตายกำลังติดตามพระนางอยู่
ฉะนั้นพระนางก็ควรที่จะเพียรพยายามทำลายชาติ ชรา มรณะนั้นให้หมดไปเพราะว่า
ความจริงแล้วกามที่ว่ามีอันตรายคือ ทุกคนต่างก็ถูกไฟไหม้ศีรษะด้วยกันทั้งนั้น
แต่ไม่มีใครรู้สึกตัวว่ากำลังถูกไฟไหม้ เพราะที่ว่าเป็นไฟก็หมายถึงว่าชาติพยาธิและมรณะนั่งเอง

คือได้แก่ทุกข์ ๑๑ กอง มีชาติ ชราพยาธิมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก
และสิ่งใดที่อยากได้แล้วไม่ได้ก็เป็นทุกข์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ไหม้คนทุก ๆ คนที่เกิดอยู่
แต่เพราะเหตุที่ไม่ได้สดับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่รู้ตัวว่า
กำลังถูกไฟไหม้ศีรษะอยู่ไม่มีใครรู้ได้เลย แต่เพราะเหตุที่พระนางสุเมธาได้สดับฟัง
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงได้อธิบายโทษของกามให้พระเจ้าอนิกรัตตะฟัง



ถ้าหากว่าบุคคลใดไม่รู้จักเพียรพยายามที่จะกำจัดไฟที่ไหม้อยู่บนศีรษะแล้ว ผู้นั้นก็จะต้องเป็นทุกข์
ท่องเที่ยวไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่สำหรับพระนางเองจะพากเพียรพยายามที่จะกำจัดโทษ
หรือว่าจะพยายามดับเพลิงที่ไหม้อยู่บนศีรษะนี้คือจะกำจัดโทษของชาติ ชรา มรณะให้หมดไป


เมื่อพระชนกชนนีและพระเจ้าอนิกรัตตะได้ฟังธรรมที่พระนางกล่าวอย่างนี้แล้วก็ทรงกรรแสง
พยายามที่จะให้ลูกได้ครองราชสมบัติ หรือว่าให้วิวาห์แต่งงาน
เมื่อพระชนกชนนีกำลังทรงกรรแสงอยู่นั้นพระนางสุเมธาก็ได้ทูลขึ้นว่า สังสารวัฏฏ์ย่อมยืดยาว
สำหรับคนเขลาที่ร้องไห้บ่อย ๆ เพราะเหตุว่าบิดามารดาตายหรือว่าพี่ชายตาย
ลูกชายตายเหล่านี้ เป็นเหตุให้ต้องร้องไห้แล้วก็ต้องร้องไห้ไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะสังสารวัฏฏ์ของคนเขลามีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้ว

เพราะวัฏฏะก็ได้แก่ กิเลสวัฏ กรรมวัฏ วิบากวัฏ อันเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายท่องเที่ยวไป
ไม่มีที่สิ้นสุด วัฏฏะจึงเป็นสภาพที่มีความยืดยาวมาก ซึ่งไม่สามารถถามรู้ได้ว่า
เบื้องต้นตั้งต้นมาตั้งแต่เมื่อไร และเบื้องปลายจะไปสิ้นสุดลงเมื่อใดก็ไม่มีใครรู้ได้เลย
แม้แต่ญาณของพระทศพล คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังกำหนดเบื้องต้นไม่ได้
ว่าตั้งต้นมาแต่เมื่อไร ต่อเมื่อพระองค์ได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

ก็สามารถทำที่สุดแห่งวัฏฏะให้หมดสิ้นไปแล้ว คือสามารถรู้เบื้องปลายได้ว่า
ภพชาติของท่าน สิ้นสุดแล้ว ไม่ต้องเกิดอีกต่อไปแล้ว

แต่ส่วนคนเขลาก็เหมือนกับคนตาบอดที่ยังหลงใหลติดอยู่ในกาม เพราะถูกอวิชชาปิดบังไว้ ฉะนั้นเงื่อนต้นของสัตว์เหล่านั้นก็จะเป็นเหตุให้ผูกติดอยู่กับภพไปไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยอำนาจของอวิชชาตัณหานั่นเองที่เป็นตัวปิดบังไว้ไม่ให้เห็นทุกข์โทษของกาม
หรือว่าไม่ให้เห็นทุกข์โทษของวัฏฏะ
แต่ถ้าหากว่าผู้ใดสามารถตัดกิเลสได้ ก็สามารถที่จะรู้เงื่อนปลายได้ว่าสิ้นสุดทุกข์เอาเมื่อไร



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2011, 10:32:56 pm โดย ฐิตา »