คลังธรรมปัญญา > พรรณาอักษร

มัจจุราชสีน้ำผึ้ง

<< < (2/3) > >>

ปาริชาต:
ขอบคุณที่แวะมาอ่าน แต่คำชมนั่นไม่หาญรับนะค่ะเพราะพี่ปายังห่างไกลมากกับคำชม
แต่จะพยายามพัฒนาให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าชอบก็โปรดจงติดตาม....

ปาริชาต:
 
                                                                             

เสียงคำรามครืนๆพร้อมแสงสว่างวาบบาดตาจากเบื้องนภาที่กำลังคลุ้มคลั่ง  วาบตรงนั่นที ตรงนี้ทีก่อนจะแล่นเป็นสายลงสู่ปฐพีอันกินอาณาบริเวณกว้างขวางต่อเนื่องกันไม่หยุด  เสียงกึกก้องกัมปนาทที่แผดมาแต่ละครั้งทำลายโสตประสาทให้ดับสนิทไปชั่วขณะหนึ่ง เสียงนั้นปลุกให้หลายชีวิตที่กำลังหลับสนิทในนิทรารมณ์ต้องสะดุ้งผวาตื่นขึ้นมาด้วยอกใจที่ไหวหวั่นขวัญผวา  ฝนที่ตกหนักมาตั้งแต่หัวค่ำมิได้มีท่าว่าจะซาลงแม้สักน้อยกลับตกลงมาอย่างต่อเนื่อง   เสียงลมและเสียงคะนองของฟ้าอื้ออึงราวกับอารมณ์อันโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจหยั่งได้

ชายสูงวัยพบตัวเองกำลังยืนอยู่ข้างเสาต้นใหญ่ เบื้องหน้าแท่นที่ยกสูงจากพื้นจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง     สถานที่นั้นดูแปลกตาและสลัวรางแฝงไว้ซึ่งความสะพึงเกินคำอธิบาย   ยากจะเดาได้ว่าเป็นสถานที่แห่งใด  เหนือแท่นคล้ายบัลลังค์สูงทะมึนตระครุ่มอยู่ในเงามืด  มองแทบไม่เห็นสิ่งใดหรือผู้ใด  เพราะแสงที่ทอลำจากด้านหลังนั้นสว่างเจิดจ้าเสียจนต้องหยีตามองแต่ก็ไม่อาจเห็นผู้ที่นั่งอยู่นั้นได้   เสียงสะอื้นคร่ำครวญและเสียงคล้ายสาใจของผู้คนมากมายต่างพึมพำฟังไม่ได้ใจความดังอยู่ระงม  หากไม่อาจเห็นผู้ใดหรือสิ่งมีชีวิตใดๆในที่อันเวิ้งว้างแห่งนี้


สุรเสียงแหลมก้องอันทรงอานุภาพสะท้อนสะท้านไปทั่วทั้งบริเวณดังมาจากผู้ที่อยู่บนบัลลังค์อันสูงตระหง่าน  เสียงพึมพำเซ็งแซ่รอบข้างจึงเงียบสนิท
“อา!  วิญญาณที่ชุ่มบาปอีกดวงแล้ว   ที่จะต้องไปสู่ที่ที่เคยอาศัยแห่งมัน....”
เสียงนั้นแม้จะทรงพลังอำนาจแต่หางเสียงเจือด้วยความเหนื่อยหน่าย
เสียงของอิสตรีโดยแท้ !.....

                                               

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13: เป็นกำลังใจครับพี่ปา

ปาริชาต:

--- อ้างจาก: กวาดลานดิน ที่ สิงหาคม 22, 2011, 03:15:09 am --- :13: เป็นกำลังใจครับพี่ปา

--- End quote ---

งี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย อิอิ ขอบคุณค่ะ

ปาริชาต:


ชายที่แอบอยู่ข้างเสาต้นใหญ่รู้สึกถึงความเย็นเฉียบที่แล่นจากปลายนิ้วสู่หัวใจด้วยความหวาดกลัว   สำนึกบางอย่างบอกให้รู้ว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่น่าสะพึงเกินกว่าจะคาดเดาได้  เขาพยายามที่จะบีบตัวให้เล็กลงจนแทบว่าจะหายเข้าไปในเสาต้นนั้นหากทำได้ 

และเหมือนจะรู้ว่าตัวเองได้พลัดหลงเข้ามา ณ ที่ซึ่งไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง  แม้จะยังไม่อาจสำเหนียกได้ว่านี่คือที่ใดก็ตาม 
รอบด้านมีแต่ความสลัวราง  เสียงหวีดหวิวโหยหวนดังแว่วมาจากที่ไกลๆนั้น   เป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณอย่างแสนสาหัส ชวนให้เกิดความสังเวชเป็นล้นพ้น   
บางขณะก็แทรกด้วยเสียงครืนๆ  เลื่อนลั่นราวกับการเคลื่อนย้ายของภูเขา  บรรยากาศอวลด้วยไอร้อนอย่างสุดที่จะประมาณได้

ไกลสุดสายตาออกไปมีแสงเรื่อเรืองคล้ายไฟป่าที่กำลังโหมฮืออยู่รอบทิศ   เขาพยายามเก็บภาพทุกภาพที่ตามองเห็นได้ในความสลัวรางนั้น  อย่างจะให้แจ้งชัดว่า  นี่คือสถานที่ใด แล้วจึงมาหยุดลงตรงพื้นเบื้องหน้าระดับที่ตัวเองยืนอยู่ 

ห่างออกไปไม่ไกลนักมีเงาตะครุ่มของร่างสามร่าง   คนอยู่ตรงกลางเห็นได้ชัดว่ากำลังถูกฉุดกระชากและผลักไสให้คุกเข่าลง  หากคนถูกกระชากกลับฮึดฮัดออกแรงอย่างสุดกำลังเพื่อจะสะบัดตัวให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม 
ซึ่งก็ไม่เป็นผลแม้ว่าสองร่างที่ขนาบข้างที่กำลังเกาะกุมตัวนั้นดูเหมือนจะมิได้ใช้กำลังในการกุมแต่อย่างใดด้วยซ้ำ 

คนที่กระหนาบอยู่ด้านขวาออกแรงผลักแต่เพียงเบาๆ  ร่างที่ถูกกุมอยู่ก็ถึงกลับถลาลงพื้นอยู่ในท่าหมอบกราบอย่างแปลกประหลาด......

“ก้มหัวลงไป   อย่าได้บังอาจ   เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมองสูงไปกว่าพื้นเบื้องพระบาทได้”
 
เจ้าของเสียงผู้ผลักไสในคราแรกก้าวตามมากดหัวชายที่หมอบในท่ากราบให้ก้มลงจนจรดพื้น   
อย่างไม่อาจขัดขืน  แต่เขาก็หันขวับมาถามเจ้าของเสียงที่ยืนค้ำหัวอย่างโมโหสุดกำลัง


เสี้ยวหน้าที่ปรากฎในความสลัวรางนั้นทำให้ชายผู้แอบอยู่ข้างเสาต้นใหญ่ถึงกับผงะด้วยความคาดไม่ถึง!

                                                                                         

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version