อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
เรื่องย่อในพระธรรมบท (สหัสสวรรค)
ฐิตา:
เรื่องพราหมณ์ผู้เป็นหลานของพระสารีบุตรเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภหลานของพระสารีบุตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โย จ วสฺสสตํ ชนฺตุ เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเถระได้สอบถามหลาน พราหมณ์หลานชายของท่านว่า ได้ทำกุศลอะไรไว้บ้างหรือยัง หลานของท่านตอบว่า ได้ฆ่าสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งบูชายัญทุกๆเดือน โดยหวังว่าจะได้ไปเกิดในพรหมโลกในชาติหน้า พระสารีบุตรเถระได้อธิบายให้พราหมณ์ผู้เป็นหลานชายทราบว่า
“เธอไม่รู้ทางแห่งพรหมโลกเลย แม้พวกอาจารย์ของเธอก็ไม่รู้ มาเถิด เราจักไปสำนักของพระศาสดาด้วยกัน”
จากนั้น พระสารีบุตรเถระได้พาหลานชายไปเฝ้าพระศาสดา และพระศาสดาได้ตรัสบอกทางแห่งพรหมโลกแก่พราหมณ์นั้น ว่า “พราหมณ์ การบูชาไฟของท่านผู้บูชาไฟอย่างนั้น 100 ปี ย่อมไม่เท่ากับการบูชาสาวกของเรา เพียงขณะเดียว”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 107 ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชนฺตุ
อคฺคึ ปริจเร วเน
เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ
มุหุตฺตมปิ ปูชเย
สา เยว ปูชนา เสยฺโย
ยญฺเจ วสฺสสตํ หุตํฯ
(อ่านว่า)
โย จะ วัดสะสะตัง ชันตุ
อัคคิง ปะริจะเร วะเน
เอกันจะ พาวิตัดตานัง
มุหุดตะมะปิ ปูชะเย
สาเยวะ ปูชะนา เสยโย
ยันเจ วัดสะสะตัง หุตัง.
(แปลว่า)
ถึงจะบูชาไฟในป่าอยู่ร้อยปี
ยังสู้บูชาพระอริยเจ้า
ผู้มีตนอบรมแล้วองค์เดียว
เพียงชั่วครู่ไม่ได้
การบูชาพระอริยเจ้าเพียงครู่เดียว
นั่นแหละ ประเสริฐกว่า
การบูชาไฟร้อยปีจะประเสริฐอะไร.
เมื่อจบพระสัทธรรมธรรมเทศนา พราหมณ์นั้นบรรลุโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ฐิตา:
เรื่องพราหมณ์ผู้เป็นสหายของพระสารีบุตรเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพราหมณ์ผู้เป็นสหายของพระสารีบุตรเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยงฺกิญฺจ ยิฏฺฐญฺจ เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเถระได้ถามพราหมณ์สหายของท่านว่า ได้ทำกุศลอะไรไว้บ้างหรือยัง พราหมณ์ตอบว่า ได้ทำการบูชายัญไว้เป็นอันมากแล้ว โดยหวังว่าจะได้ไปเกิดในพรหมโลกในชาติหน้า พระสารีบุตรเถระบอกกับพราหมณ์นั้นว่า “พราหมณ์ ท่านไม่รู้ทางแห่งพรหมโลกเลย แม้พวกอาจารย์ของท่านก็ไม่รู้ มาเถิด เราจักไปสำนักของพระศาสดาด้ายกัน” แล้วได้พาพราหมณ์ผู้หลานไปทูลถามเรื่องนี้ต่อพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสว่า “พราหมณ์ ทานที่ท่านบูชาอย่างที่เขาบูชากัน ให้แก่โลกิยมหาชนทั้งปี ย่อมไม่ถึงแม้เพียงส่วน4 แห่งกุศลเจตนาที่เกิดขึ้นแก่คนทั้งหลาย ผู้ไหว้สาวกของเราด้วยจิตที่เลื่อมใส”
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 108 ว่า
ยงฺกิญจิ ยิฏฺฐญฺจ หุตญฺจ โลเก
สํวจฺฉรํ ยเชถ ปุญฺญเปกฺโข
สพฺพมฺปิ ตํ น จตุภาคเมติ
อภิวาทนา อุชฺชุคเตสุ เสยฺโยฯ
(อ่านว่า)
ยังกินจิ ยิดถันจะ หุตันจะ โลเก
สังวัดฉะรัง ยะเชถะ ปุนยะเปกโข
สับพัมปิ ตัง นะ จะตุพาคะเมติ
อะพิวาทะนา อุดชุคะเตสุ เสยโย.
(แปลว่า)
ผู้ต้องการบุญ ทำการเซ่นสรวงบูชา
อย่างใดอย่างหนึ่งในโลก ตลอดปี
การเซ่นสรวงบูชาทั้งปวงนั้น
มีค่าไม่ถึงส่วนที่ 4
ของบุญที่ได้จากอภิวาท
ในพระอริยเจ้าผู้ปฏิบัติตรง.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง พราหมณ์นั้นได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ฐิตา:
เรื่องอายุวัฒนกุมาร
พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยทีฆลัมพิกนคร ประทับอยู่ ณ กุฎีในป่า ทรงปรารภกุมารผู้มีอายุยืน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อภิวาทนสีลิสฺส เป็นต้น
ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ 2 คนชาวทีฆลัมพิกนคร บวชบำเพ็ญตบะอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 48 ปี ต่อมาพราหมณ์คนหนึ่งสึกออกไปเป็นฆราวาสและได้แต่งงานมีครอบครัว หลังจากภรรยาของพราหมณ์ผู้นี้คลอดบุตรออกมาเป็นชายแล้ว พราหมณ์ก็ได้พาภรรยากับบุตรไปเยี่ยมพราหมณ์ที่ยังบวชบำเพ็ญตบะอยู่นั้น เมื่อสองสามีภรรยาทำความเคารพ พราหมณ์นักบวชได้กล่าวว่า “ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืน” แต่พอตอนที่สองสามีภรรยาให้บุตรชายทำความเคารพ พราหมณ์นั้นกลับนิ่ง ไม่พูดอะไร พราหมณ์ที่สึกออกไปมีครอบครัวเกิดความสงสัย จึงได้สอบถามถึงเหตุผลที่เงียบนั้น พราหมณ์จึงบอกว่าทารกคนนี้จะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งตนก็ไม่ทราบวิธีป้องกันการเสียชีวิตของทารกนี้ และได้แนะนำให้ไปทูลถามพระศาสดา
ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงอุ้มบุตรไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อคนทั้งสองนมัสการ พระศาสดาตรัสว่า “ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืน” แต่พอพาเด็กเข้าไปนมัสการ พระศาสดากลับทรงนิ่งเสีย และได้ทรงทำนายว่าเด็กคนนี้จะเสียชีวิตภายใน 7 วันเหมือนกัน แต่พระศาสดาได้ตรัสบอกวิธีที่จะป้องกันทารกจากเสียชีวิต โดยให้สร้างมณฑปไว้ที่ประตูเรือนของพราหมณ์ แล้วนำเด็กขึ้นไปนอนบนมณฑปนั้น จากนั้นก็ให้นิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์สวดพระปริตรเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งพราหมณ์ก็ได้กระทำตามที่ทรงแนะนำทุกอย่าง
ในวันที่ 7 พระศาสดาได้เสด็จมายังมณฑปนั้นด้วย พวกเทวดาในจักรวาลทั้งสิ้นก็ได้มาประชุมกัน ณ ที่นั้นด้วย ในขณะนั้น อวรุทธยักษ์ตนหนึ่งได้มาที่ประตูบ้านเพื่อคอยจังหวะที่จะจับเด็กทารกนั้นไปกิน แต่เมื่อมีเทวดาศักดิ์ใหญ่มากันมาก พวกเทวดาศักดิ์น้อยก็จะต้องถอยร่นเพื่อเปิดที่ให้ อวรุทธกยักษ์ก็ต้องถอยร่นไปอยู่ไกลจากเด็กทารกนั้นถึง 12 โยชน์ ตลอดคืนที่ 7 นั้นพระภิกษุสงฆ์ก็ได้เจริญพระปริตรอยู่อย่างนั้นจนสว่าง ทำให้อวรุทธยักษ์ไม่สามารถเข้ามาจับทารกนั้นไปกินได้ พออรุณขึ้นสองสามีภรรยานำทารกมาถวายบังคมพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ขอเจ้าจงมีอายุยืนเถิด” เมื่อสองสามีภรรยาทูลถามว่าทารกจะมีอายุยืนกี่ปี พระศาสดาตรัสว่าจะมีอายุยืน 120 ปี สามีภรรยาจึงตั้งชื่อเด็กทารกว่า “อายุวัฒนกุมาร”
เมื่ออายุวัฒนกุมารเติบโตแล้ว เวลาไปไหนมาไหนก็มีผู้ติดตามไปเป็นบริวารถึง 500 คน วันหนึ่งอายุวัฒนกุมารพร้อมกับบริวารได้มาที่วัดพระเชตวัน ภิกษุทั้งหลายจำได้ จึงทูลถามพระศาสดาว่า “เหตุเครื่องเจริญอายุของสัตว์เหล่านี้ เห็นจะมี” พระศาสดาตรัสตอบภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ว่า “โดยการนอบน้อมท่านผู้สูงอายุ มิใช่ว่าจะทำให้อายุยืนเท่านั้น แต่ยังจะเป็นเหตุให้ได้วรรณะ สุขะ และพละ อีกด้วย”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 109 ว่า
อภิวาทนสีลิสฺส
นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ
อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ฯ
(อ่านว่า)
อะพิวาทะนะสีลิดสะ
นิดจัง วุดทาปะจายิโน
จัดตาโร ทำมา วัดทันติ
อายุ วันโน สุขัง พะลัง.
(แปลว่า)
ผู้ชอบกราบไหว้ นอบน้อม
ผู้ใหญ่เป็นนิตย์
จะเจริญด้วยพร 4 ประการ
คือ มีอายุยืน มีผิวพรรณผุดผ่อง
มีความสุข มีพลานามัยแข็งแรง.
เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนา อายุวัฒนกุมาร และบริวาร 500 คน ได้บรรลุโสดาปัตติผล แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ฐิตา:
เรื่องสังกิจจสามเณร
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสังกิจจสามเณร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โย จ วสฺสสตํ ชีเว เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง พระภิกษุ 30 รูปเรียนกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว เดินทางจากนครสาวัตถี ไปหาถิ่นสัปปายะปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปถึง 120 โยชน์ ในขณะนั้นมีพวกโจรห้าร้อยอาศัยอยู่ในป่าทึบ และพวกโจรเหล่านี้ต้องการเนื้อและเลือดมนุษย์ไปบูชายัญเทวดาเจ้าป่า ดังนั้นพวกโจรจึงได้มาที่วัดที่พระภิกษุทั้งหลายพำนักอยู่ พร้อมกับบังคับขู่เข็ญจะนำภิกษุรูปหนึ่งไปฆ่าเพื่อบูชายัญเทวดา ภิกษุทุกรูปตั้งแต่ผู้มีพรรษามากที่สุดจนกระทั่งรูปที่มีพรรษาน้อยที่สุดต่างอาสาตัวไปกับพวกโจรทั้งนั้น ในหมู่ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ก็ยังมีสามเณรน้อยรูปหนึ่งชื่อสังกิจจะ ได้ถูกส่งไปอยู่ ณ ที่นั้นด้วย พระสารีบุตรเถระเป็นผู้ส่งสามเณรซึ่งมีอายุเพียง 7 ขวบแต่เป็นผู้สำเร็จพระอรหันต์รูปนี้ไป สามเณรกิจจะได้กล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายว่า ที่พระสารีบุตรพระอุปัชฌาย์ของท่านส่งท่านมาอยู่กับภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ก็เพราะรู้ล่วงหน้าถึงอันตรายที่จะบังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นท่านจึงขออาสาไปกับพวกโจร เมื่อสามเณรกล่าวอำลาภิกษุทั้งหลายแล้วก็ได้เดินทางไปกับพวกโจร ขณะที่ภิกษุทั้งหลายก็รู้สึกเสียใจที่ต้องปล่อยให้สามเณรน้อยไปกับโจรเช่นนี้ เมื่อพวกโจรตระเตรียมสิ่งของในพิธีบูชายัญเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าโจรก็ได้เดินมาหาสามเณร ซึ่งขณะนั้นกำลังนั่งเข้าฌานอยู่ แล้วแกว่งดาบฟันลงที่คอของสามเณร แต่ดาบนั้นงอคมกระทบกัน หัวหน้าโจรนั้นสำคัญว่าฟันไม่ดี จึงดัดดาบนั้นให้ตรงแล้วฟันลงไปที่คอของสามเณรอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ดาบนั้นนก็มีอันงอพับถึงโคนดาบ เมื่อพบกับปาฏิหาริย์ที่เหลือเชื่อเช่นนี้เข้า หัวหน้าโจรก็ได้วางดาบเข้าไปซบอยู่ที่ใกล้เท้าของสามเณร แล้วกล่าวคำขอโทษ พวกโจรทั้งห้าร้อยที่มองเห็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ในครั้งนี้ ต่างก็กล่าวเข้าไปไหว้และขอบรรพชา สามเณรก็ได้บรรพชาให้แก่โจรเหล่านั้น
จากนั้นสามเณรสังกิจจะก็ได้พาสามเณรอดีตโจร 500 รูปกลับไปหาพระภิกษุที่พำนักอยู่ในวัดที่อยู่ในหมู่บ้านนั้น พอภิกษุ 30 รูปเห็นสามเณรปลอดภัยก็เกิดความโล่งอกเบาใจ หลังจากนั้นสามเณรสังกิจจะก็ได้พาสามเณรใหม่อดีตโจรเดินทางต่อไปเพื่อไปกราบพระสารีบุตรเถระในวัดพระเชตวัน
จากนั้นพระสารีบุตรเถระได้พาคณะของสามเณรสังกิจจะเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระศาสดาทรงสดับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วได้ตรัสว่า “ความตั้งอยู่ในศีลแล้วเป็นอยู่แม้วันเดียวในบัดนี้ ประเสริฐกว่าการที่ท่านทำโจรกรรมตั้งอยู่ในทุศีลเป็นอยู่ตั้ง 100 ปี”
ต่อจากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 110 ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว
ทุสฺสีโล อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
สีลวนฺตสฺส ฌายิโนฯ
(อ่านว่า)
โย จะ วัดสะสะตัง ชีเว
ทุดสีโล อะสะมาหิโต
เอกาหัง ชีวิตัง เสยโย
สีละวันตัดสะ ชายิโน.
(แปลว่า)
เป็นคนทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น
ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ก็สู้คนมีศีล
มีใจตั้งมั่น มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ภิกษุ 500 รูปก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พระสัทธรรมเทศนาก็ยังมีประโยชน์แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.
ฐิตา:
เรื่องพระขานุโกณฑัญญเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระขานุโกณฑัญญเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โย จ วสฺสสตํ ชีเว เป็นต้น
พระขานุโกณฑัญญเถระ เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้วไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ขณะที่ท่านเดินทางกลับมาเพื่อจะกราบทูลพระศาสดา ท่านรู้สึกอ่อนเพลียก็ได้แวะลงจากทาง ไปนั่งเข้าฌานอยู่บนศิลาดาดแห่งหนึ่ง ในขณะนั้นพวกโจรห้าร้อยคนปล้นหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วเอาสิ่งของที่ปล้นมาได้นั้นทำเป็นห่อคนละห่อเทินศีรษะเดินมา รู้สึกอ่อนเพลียมาก จึงแวะลงข้างทางเดินไปตรงจุดที่พระโกณฑัญญเถระนั่งเข้าฌานอยู่พอดี พวกโจรเห็นพระเถระเข้าใจว่าเป็นตอไม้ เพราะตอนนั้นมืดค่ำแล้ว โจรคนหนึ่งวางห่อสิ่งของที่ปล้นมาได้ลงบนศีรษะของพระเถระ ส่วนคนอื่นๆก็วางสิ่งของของตนพิงพระเถระไว้ จากนั้นก็แยกกันนอนหลับอยู่ในบริเวณนั้น พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจะไปเอาของของตนก็ได้พบว่า สิ่งที่ตนคิดว่าเป็นตอไม้นั้นความจริงเป็นสิ่งมีชีวิต พวกโจรเข้าใจว่าพระเถระ “เป็นอมนุษย์” และพากันเตรียมจะวิ่งหนี แต่พระเถระได้กล่าวกับพวกโจรว่า อย่าได้กลัวไปเลย ท่านเป็นบรรพชิต ไม่ได้เป็นอมนุษย์ โจรเหล่านั้นจึงหมอบลงที่ใกล้เท้าพระเถระแล้วกล่าวคำขอขมาโทษ จากนั้นพวกโจรทุกคนได้ขอบรรพชากับพระเถระ และพระเถระก็ได้ให้โจรทั้งหมดบรรพชาตามประสงค์ ตั้งแต่นั้นมาพระเถระจึงได้มีนามว่า “ขานุโกณฑัญญะ”(พระโกญญัญญะตอไม้)
พระโกณฑัญญเถระ พร้อมด้วยคณะพระภิกษุผู้บวชใหม่ ก็ได้เดินทางไปเฝ้าพระศาสดา และได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ พระศาสดาจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นอยู่แม้วันเดียวของพวกเธอ ผู้ประพฤติในปัญญาสัมปทาในบัดนี้ ประเสริฐกว่าความตั้งอยู่ในกรรมของผู้มีปัญญาทรามเช่นนั้น เป็นอยู่ตั้ง 100 ปี”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 111 ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว
ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโนฯ
(อ่านว่า)
โย จะ วัดสะสะตัง ชีเว
ทุบปันโย อะสะมาหิโต
เอกาหัง ชีวิตัง เสยโย
ปันยะวันตัดสะ ชายิโน.
(แปลว่า)
ผู้มีปัญญาทราม มีใจไม่ตั้งมั่น
ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
ก็สู้คนมีปัญญา มีใจตั้งมั่น
มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ภิกษุทั้ง 500 รูป บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พระสัทธรรมเทศนา ได้มีประโยชน์แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version