วิถีธรรม > แนวทางปฏิบัติธรรม
พระอภิธรรมสังคิณีมาติกาบรรยาย : หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ฐิตา:
พระอภิธรรมสังคิณีมาติกาบรรยาย
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
๐ บทนำ
๑. กุสะลาธัมมา
๒. อกุสะลา ธัมมา
๓. อัพยากะตา ธัมมา
๔. สุขายะ เวทนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา
๕. ทุกขายะ เวทนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา
๖. อะทุกขะมะสุขายะ เวทนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา
๗. วิปากา ธัมมา
๘. วิปากะธัมมะ ธัมมา
๙. เนวะวิปากะนะวิปากธัมมะ ธัมมา
๑๐. อุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา
๑๑. อะนุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา
๑๒. อะนุปาทินนานุปาทานิยา ธัมมา
๑๓. สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา
๑๔. อะสังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา
๑๕. อะสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกา ธัมมา
๑๖. สะวิตักกะสะวิจารา ธัมมา
๑๗. อะวิตักกะ วิจาระมัตตา ธัมมา
๑๘. อะวิตักกาวิจารา ธัมมา
๑๙. ปีติสะหะคะตา ธัมมา
๒๐. สุขะสะหะคะตา ธัมมา
๒๑. อุเปกขาสะหะคะตา ธัมมา
๒๒. ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพา ธัมมา
๒๓. ภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา
๒๔. เนวะ ทัสสะเนนะ นะ ภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา
๒๕. ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา
๒๖. ภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา
๒๗. เนวะ ทัสสะเนนะ นะ ภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา
๒๘. อาจะยะคามิโน ธัมมา
๒๙. อะปะจะยะคามิโน ธัมมา
๓๐. เนวาจะยะคามิโน นาปะจะยะคามิโน ธัมมา
๓๑. เสกขา ธัมมา
๓๒. อะเสกขา ธัมมา
๓๓. เนวะเสกขา นาเสกขา ธัมมา
๓๔. ปะริตตา ธัมมา
๓๕. มะหัคคะตา ธัมมา
๓๖. อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา
๓๗. ปะริตตารัมมะณา ธัมมา
๓๘. มะหัคคะตารัมมะณา ธัมมา
๓๙. อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา
๔๐. หีนา ธัมมา
๔๑. มัชฌิมา ธัมมา
๔๒. ปะณีตา ธัมมา
๔๓. มิจฉัตตะนิยะตา ธัมมา
๔๔. สัมมัตตะนิยะตา ธัมมา
๔๕. อะนิยะตา ธัมมา
๔๖. มัคคารัมมะณา ธัมมา
๔๗. มัคคะเหตุกา ธัมมา
๔๘. มัคคาธิปะติโน ธัมมา
๔๙. อุปปันนา ธัมมา
๕๐. อะนุปปันนา ธัมมา
๕๑. อุปปาทิโน ธัมมา
๕๒. อะตีตา ธัมมา
๕๓. อะนาคะตา ธัมมา
๕๔. ปัจจุปปันนา ธัมมา
๕๕. อะตีตารัมมะณา ธัมมา
๕๖. อะนาคะตารัมมะณา ธัมมา
๕๗. ปัจจุปปันนารัมมะณา ธัมมา
๕๘. อัชฌัตตา ธัมมา
๕๙. พะหิทธา ธัมมา
๖๐. อัชฌัตตะพะหิทธา ธัมมา
๖๑. อัชฌัตตารัมมะณา ธัมมา
๖๒. พะหิทธารัมมะณา ธัมมา
๖๓. อัชฌัตตะพะหิทธารัมมะณา ธัมมา
๖๔. สะนิทัสสนะสัปปะฏิฆา ธัมมา
๖๕. อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา
๖๖. อะนิทัสสะนาปปะฏิฆา ธัมมา
ฐิตา:
พระอภิธรรมสังคิณีมาติกาบรรยาย
เรียบเรียงโดยหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
กรุณา วิยะ สัตเตสุ ปัญญายัสสะ มเหสิโน
เญยยธัมเมสุ สัพเพสุ ปวัตติตถะยถารุจิง
ทยายะ ตายะ สัตเตสุ สมุสสาหิตมานโส
ฯลฯ
อภิธัมมกถัง กเถสีติฯ
ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้ประทานวิสัชนา ในพระอภิธรรมมาติกา ๒๒ ติกะในเบื้องต้น สนองศรัทธาธรรมของท่านสาธุชนสัปบุรุษ โดยสมควรแก่กาลเวลา ด้วยพระอภิธรรมมาติกานี้ ยากที่จะอธิบายแก้ไขแปลออกไปให้พิศดารได้ มีแต่ท่าน สวดมาติกาเพลาบังสุกุลเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นบาลีอยู่ ยากที่จะเข้าใจได้ ที่ท่านแปลออกไว้ก็มีแต่พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์อย่างย่อเท่านั้น แต่ในพระอภิธรรมมาติกานี้ หาได้แปลออกให้วิตถารพิศดารไม่ พระอภิธรรมมาติกา ๒๒ ติกะในเบื้องต้นนี้ ทรงสำแดงเมื่อพระชินสีห์พระศาสดาจารย์ เสด็จคมนาการขึ้นจำวัสสาในชั้นดาวดึงสาเทวโลก ทรงตรัสเทศนาในพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดหมู่เทวกัลยา มีพระพุทธมารดาเป็นต้น กเถตตุ กามะยะตา ทรงปุจฉาเป็นสกวาที ปรวาที ทุก ๆ คัมภีร์ เป็นลำดับ ๆ ไปฯ
เบื้องหน้าแต่นี้ อาตมาภาพจักได้วิสัชนาในพระอภิธรรมาติกาเป็นปุจฉาวิสัชนา ตามนัยพระพุทธฎีกาเช่นนั้น เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสได้ศรัทธา เชื่อมั่นคุณพระรัตนตรัยยิ่ง ๆ ขึ้นไป
สมัยครั้งหนึ่ง ยังมีพระอาจารย์องค์หนึ่งชื่อ สกวาทีอาจารย์ มารำพึงแต่ในใจว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดานั้น พระองค์ได้เลือกคัดจัดสรรพระวินัย พระสุตตันตะ พระอภิธรรมทั้ง ๓ ปิฎกนี้แล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าจักเสมอด้วยคุณของพระพุทธมารดานั้นได้ เห็นแต่พระอภิธรรมาติกานี้ไซร้จึงจะสมควรด้วยคุณของพระพุทธมารดา แต่พระบาลีนั้นก็ยังปรากฏอยู่ ๒๒ ติกะ ติกะละ ๓ รวมเป็น ๖๖ บทดังนี้ ทำไฉนหนออาตมาจึงจะรู้จักเข้าใจในเนื้อความแห่งพระอภิมาติกานี้
เมื่อท่านสกวาทีอาจารย์คิดรำพันแต่ในใจฉะนี้แล้ว จึงคมนาการเข้าไปสู่สำนักของท่านปรวาทีอาจารย์ ท่านปรวาทีอาจารย์จึงกล่าวพระบาลีขึ้นว่า กุสะลา ธัมมา อกุสะลา ธัมมา เป็นต้น โดยเนื้อความเดิมในปฐมมาติกานี้ว่า กุสะลา ธัมมา ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลนั้นเป็นอย่างหนึ่ง อกุสะลา ธัมมา ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลนั้นอย่างหนึ่ง อัพยากะตา ธัมมา ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤตนั้นอย่างหนึ่ง
ฐิตา:
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
๑. กุสะลาธัมมา
โดยความอธิบาย ในธรรมที่เป็นกุศลนั้นว่า ธรรมอันเป็นส่วนของบุคคลทั้งหลาย ผู้ฉลาด แปลว่าตัดออกเสียซึ่งบาป ไม่ให้เกิดขึ้นในสันดานได้ มีอุปมาเหมือนหนึ่งบุคคลปลูกผลไม้ มีต้นมะม่วง เป็นต้น คอยระวังรักษาไม่ให้กาฝากบังเกิดขึ้นในต้นมะม่วงนั้นได้ เพราะกลัวต้นมะม่วงนั้นจะไม่งาม จะมีผลน้อย เปรียบเหมือนร่างกายของบุคคลผู้ฉลาด อันธรรมดาบุคคลผู้ฉลาดนั้นย่อมระวังรักษากายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ให้บังเกิดความเศร้าหมองได้ฉะนั้น
ท่านปรวาทีอาจารย์ถามว่า ในปฐมมาติกาคือ กุสะลา ธัมมา นั้น ท่านก็แปลถูกต้องตามพยัญชนะแล้ว แลยังอัตถาธิบายความอุปมาอุปไมยซ้ำอีกเล่า ยังจะมีอะไรที่ข้าพเจ้าจักต้องแจกแจงอีกหรือ?
ท่านสกวาทีอาจารย์จึงว่า โดยอัตถุนั้นข้าพเจ้าก็เข้าใจแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังมีความวิตกถึงบุคคลที่โง่กว่าข้าพเจ้านี้ก็ยังมีอยู่บ้าง เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงขอคำแนะนำต่อไปอีกสักหน่อย ขอรับ
ท่านปรวาทีอาจารย์จึงตอบขึ้นว่า เอโก กิระ ปุริโส ดูก่อนท่านสกวาทยาจารย์ ดังได้ยินข่าวว่ามีบุรุษผู้หนึ่งเป็นคนฉลาด ได้เห็นเรือพลัดมาติดอยู่ที่หน้าท่าของตน แล้วก็พิจารณาเห็นว่า เรือนี้เป็นเรือโจร โจรเก็บเอาของในเรือไปหมดแล้ว ลอยเรือมาหน้าท่าของเรา ถ้าเราไม่ผลักออกไปเสียจากหน้าท่าของเราไซร้ เมื่อเจ้าของเรือมาพบเข้าในกาลใด ก็จักกล่าวโทษว่าเราเป็นโจรลักเอาเรือมาดังนี้
เปรียบเหมือนหนึ่งบุรุษไถนา วันหนึ่งโจรนำเอาถุงทรัพย์ไปทิ้งไว้ที่ริมนา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเสด็จไปกับพระอานนท์ ครั้นพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นถุงทรัพย์นั้นแล้ว จึงทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า อสรพิษอยู่ที่นี้แล้ว ครั้นบุรุษไถนาได้ฟังพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ดังนั้น ก็สำคัญเสียว่าเป็นอสรพิษจริง ๆ หาได้คิดว่าโจรเอาถุงเงินไปทิ้งไว้ในที่นั้นไม่ แล้วพระองค์จึงคมนาการเสด็จไปสู่ที่อื่น ครั้นภายหลังบุรุษผู้เป็นเจ้าของทรัพย์มา เห็นถุงทรัพย์ของตนทิ้งอยู่ที่ริมนาของบุรุษไถนานั้นแล้ว ก็สำคัญมั่นหมายว่าบุรุษไถนานั้นเป็นโจร จึงจับเอาบุรุษไถนานั้นไปฉะนี้ บุคคลผู้มีวิจารณญาณพิจารณาเห็นเหตุผลดังนี้แล้ว ก็ถอยเรือนั้นออกจากหน้าท่า ปล่อยไปตามกระแสน้ำ ก็จัดได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาด ตัดฐานะภัยเสียได้ ดังนี้
ถ้ามิฉะนั้นเปรียบเหมือนหนึ่งบุรุษเลี้ยงโค บุรุษเจ้าของโคนั้นเมื่อได้เห็นโคหลวงมาอยู่ในคอกของตนแล้ว ก็คิดแต่ในใจว่า ถ้าผู้ใหญ่บ้านและนายอำเภอมาเห็นโคหลวงมาอยู่ในคอกของเราแล้ว ก็จะหาว่าเราลักเอาโคของหลวงมา แล้วก็จะจับเอาตัวเราไปลงทัณฑกรรมต่าง ๆ เมื่อบุรุษเลี้ยงโคคิดเช่นนี้แล้ว ก็เปิดประตูคอกไล่โคหลวงออกไปให้พ้นจากบ้านของตน ดังนี้ก็จัดได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาด ตัดราชภัยให้พ้นไปเสียได้ ดังนี้
อีกเรื่องหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะของเราได้เสวยพระชาติเป็นกุฑาลบัณฑิต ครั้งนั้นพระองค์ได้ทำไร่ข้าวโพดและถั่วราชมาส อยู่ริมฝั่งมหาสมุทร ครั้นถึงคิมหันตฤดูแล้ว ก็บวชเป็นฤาษี เมื่อถึงวัสสันตฤดู (ฤดูฝน) แล้วก็สึกออกมาทำไร่ต่อไป เป็นเช่นนี้อยู่ถึง ๗ ครั้ง คือ บวช ๗ ครั้ง สึก ๗ ครั้ง ครั้นภายหลัง พระองค์จึงมาคิดว่า เรามีความเหนื่อยยากลำบากกาย ต้องบวชต้องสึก เพราะเป็นห่วงจอบกับข้าวโพดเป็นต้นนี้เอง ทำให้เราต้องบวช ๆ สึก ๆ เมื่อพระองค์คิดได้เช่นนี้แล้ว จึงนำเอาผ้าห่อพืชคามกับจอบนั้นไปโยนทิ้งเสียที่ริมฝั่งมหาสมุทร ครั้นสิ้นห่วงสิ้นกังวลแล้ว พระองค์จึงมาเจริญสมาบัติ ก็ได้สำเร็จญาณโลกีย์ ครั้นจุติจากนั้นแล้วก็ได้อุบัติบังเกิดในชั้นพรหมโลก ดังนี้
แสดงมาทั้งนี้ก็เป็นแต่อุปมาอุปไมยเพื่อจะให้เห็นความว่า ร่างกายของเราท่านทั้งหลาย คือ เบญจขันธ์ทั้ง ๕ นี้ เมื่อบุคคลมีความยินดีรักใคร่อยู่ตราบใดแล้ว ก็จักได้เสวยแต่กองทุกขเวทนาอยู่ตราบนั้น เท่ากับว่ายินดีอยู่ด้วยราชภัยคือพญามัจจุราช และโจรภัยคือโมหะ เหมือนดังพระบาลีที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า ปัญจุปาทานักขันธาทุกขา ดังนี้ โดยเนื้อความว่า สัตว์โลกทั้งหลายมีความเดือดร้อนอยู่ ก็เพราะเข้าไปยึดถือเอาขันธ์ไว้ว่าเป็นของของเราฉะนี้
ในธรรมที่ว่า กุสะลา ธัมมา นั้นคือ มีพุทธประสงค์ให้เอาองค์ปัญญาตัดอาลัยในเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เสียได้ โดยเห็นว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน เพราะเบญจขันธ์นั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจใต้บังคับของผู้ใด เพราะฉะนั้นจึงได้ชื่อว่า กุสะลา ธัมมา แปลว่า ตัดเสียซึ่งบาปออกจากกาย วาจา ใจ ไม่ให้เกิดขึ้นได้ วินะยะ แปลว่าวินัย ก็แปลว่า นำเสียซึ่งบาปออกจากกาย วาจา ใจ ไม่ให้ติดอยู่ในสันดานได้ ปฏิปัตติ ก็แปลว่า ปฏิบัติกลับ กาย วาจา ใจ ที่เป็นบาปให้เป็นบุญเป็นกุศลเสียฉะนี้ เพราะเหตุนั้นจึงได้เรียกชื่อว่า ศีล ว่า วินัย ว่า ปฏิบัติ ดังนี้
ฐิตา:
๒. อกุสะลา ธัมมา
เบื้องหน้าแต่นี้จักได้แก้ไขในบทที่ ๒ ต่อไป อกุสะลา ธัมมา นี้สืบไป โดยพระบาลีว่า อกุสะลา ธัมมา ธรรมทั้งหลายอันเป็นอารมณ์แห่งจิต คือว่าทรงไว้ซึ่งจิตที่เป็นอกุศลกรรม อกุสะลา ธัมมา ถ้าชี้ตัวบุคคลก็แปลว่า ธรรมของบุคคลผู้ไม่ฉลาด หรือแปลว่า ไม่ตัดบาปกรรมออกไปจาก กาย วาจา ใจ ก็ได้ ความอธิบายว่า คนโง่ ไม่ระงับบาปที่จะถึงแก่ตน บางคนบาปยังไม่ทันมาถึงตนเลย ก็เที่ยวแสวงหาบาปใส่ตนก่อนก็มี
ท่านสกวาทีอาจารย์จึงถามขึ้นว่า คำว่าบาปที่จักมาถึงแก่ตนนั้นอย่างไรและที่ว่าบาปยังไม่ทันมาถึงตน ก็ไปเที่ยวแสวงหาบาปใส่ตนก่อนนั้นอย่างไร ขอท่านปรวาทีฯ จงวิสัชนาความข้อนี้ให้เกิดเป็นสุตตมยปัญญาแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าข้า?
ท่านปรวาทีจึงอธิบายว่า บาปที่จะมาถึงแก่ตนนั้น ด้วยเหตุที่จักกระทำให้เดือดร้อนขึ้นก่อน เป็นต้นว่าไปได้ยินเสียงเขาลงอาญาหรือทุบตีด้วยไม้ ฆ้อน หรือก้อนดิน เป็นต้น บุคคลที่จะเกิดความเดือดร้อนนั้น เพราะไม่ปิดป้องกำบังไว้ให้ดี ปล่อยให้เสียงนั้นล่วงเข้ามากระทบหูหรือายตนะนั้นมาถึงตน บุคคลผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นคนโง่ ไม่ฉลาด ไม่ตัดบาป ไม่ระวังบาปที่จักมาถึงแก่ตนฉะนี้ ถ้ามิฉะนั้นเปรียบเหมือนบุคคลที่มีเรือนไฟไหม้ บุรุษนั้นเมื่อได้เห็นไฟไหม้มาแต่ไกลแล้ว ก็ไม่ระมัดระวังไฟและไม่ตัดเชื้อไฟเสียแต่ที่ต้นลม เพราะฉะนั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นคนโง่ ไม่ฉลาด ไม่ระวังบาปที่จักมาถึงแก่ตน ดังนี้
คำที่ว่าไปเที่ยวแสวงหาบาปใส่ตนนั้น ได้แก่บุคคลที่เที่ยวปักขวากหลาวไว้และตักบ่วงข่ายไว้สำหรับจะให้สัตว์มาติดตายนั้นแล จักได้ชื่อว่าไปเที่ยวแสวงหาบาปมาใส่ตน ที่ว่าไม่ได้ตัดบาปเสียนั้น มีคำอธิบายว่า ยังมีต้นไม้ไทรอยู่ต้นหนึ่ง ไม่สู้โตนัก มีใบ กิ่ง ก้าน บริบูรณ์เป็นอันดีอยู่ในป่าหิมวันตประเทศ วันหนึ่งมีนกบินไปจับกินเถาวัลย์ ครั้งภายหลังก็บินมาจับที่ต้นไทรนั้นแล้วก็ถ่ายอุจจาระลงไป ครั้นถึงวสันตฤดู เมล็ดเถาวัลย์นั้นก็งอกงามขึ้นมาที่ใต้ต้นไทร ยังมีคนจำพวกหนึ่งได้เดินมาเห็นเถาวัลย์กำลังงอกขึ้นอยู่ใต้ต้นไทร แล้วบอกแก่ต้นไทรนั้นว่า หน่อเถาวัลย์นั้น ครั้นงอกงามขึ้นมานี้แล้ว ถ้าทิ้งไว้ให้มันเจริญใหญ่โตแล้ว ก็จักปกคลุมท่านให้ถึงแก่ความตายไปในที่สุด ต้นไทรจึงตอบขึ้นว่า มันคงไม่ทันที่จะงอกงามขึ้นมาคลุมเราได้ สัตว์ทั้งหลาย มีกระต่ายและสุกรเป็นต้น ก็จะมากัดกินเป็นอาหาร เถาวัลย์ก็จักถึงแก่ความตายไป ไม่ทันที่จะเลื้อยยาวขึ้นมาได้ ครั้นนานไปเถาวัลย์นั้นก็เจริญใหญ่โตขึ้นมา ไม่มีอันตรายจากสัตว์ทั้งหลาย มีกระต่ายและสุกรเป็นต้น จนเถาวัลย์นั้นเลื้อยขึ้นไปถึงคาคบใหญ่ ยังมีคนจำพวกหนึ่งได้ตักเตือนต้นไทรนั้นว่า เหตุไฉนท่านจึงได้ให้โอกาสแก่เถาวัลย์นั้นเลื้อยขึ้นมาจนถึงเพียงน้เล่า ครั้นนานไปมันจักคลุมยอดของท่าน ท่านก็จักได้ความลำบาก ถึงแก่ความตายไป ครั้นต้นไทรได้ฟังแล้ว จึงตอบขึ้นว่า ท่านอย่าได้กลัวเลยว่าเถาวัลย์มันจักไม่ตาย ถ้าพวกตัดเสามาเขาเห็นเข้าแล้ว เขาก็จักตัดเอาไปทำเชือกลากเสา ต้นเถาวัลย์นั้นก็จักถึงแก่ความตายไป ครั้นนานมา ต้นเถาวัลย์นั้นก็เลื้อยขึ้นไปคลุมยอดแห่งต้นไทร จนต้นไทรนั้นถึงแก่ความตายหักลงไปอยู่เหนือปฐพี
แสดงมาทั้งนี้ก็เพื่อให้เห็นความประมาทที่ไม่คิดตัดบาปทางกาย วาจา ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องลำบากในภายหลัง ฉะนี้ฯ
ท่านสกวาทีอาจารย์จึงถามขึ้นว่า บุคคลที่ไม่ตัดบาปนั้น ครั้นตายแล้วได้ไปเสวยทุกขเวทนาในอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรกเป็นต้นนั้น จักได้แก่บุคคลจำพวกใด?
ท่านปรวาทีจึงชักนิทานในคัมภีร์ธรรมบทมาแสดงให้เห็นปรากฏว่า ยังมีกุลบุตร ๔ คนพี่น้องกัน ครั้นได้ทัศนาการเห็นหญิงสวยผู้ภรรยาของท่านผู้อื่น แล้วเกิดความกำหนัดมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ ได้กระทำกาเมสุมิจฉาจาร ครั้นพวกเขากระทำกาลกิริยาตายไปแล้ว ก็ไปตกอยู่ในนรกโลหะกุมภีนานประมาณหกหมื่นปีแล้ว จนน้ำนั้นเดือดขึ้นมาถึงปากหม้อกระทะทองแดงที่เดือดพล่าน แล้วก็ได้สติ มีความปรารถนาจะประกาศถึงบุพพกรรมของตนให้ปรากฏ แต่ก็กล่าวไม่ได้ตลอด ได้แต่เพียงคนละอักขระ คนที่หนึ่งว่า ทุ ความเต็มแปลว่า ข้าพเจ้าเป็นคนชั่ว ที่สองว่า สะ ความเต็มแปลว่า ข้าพเจ้าตกอยู่ในนรกนี้นานประมาณหกหมื่นปีแล้ว ที่สามว่า นะ ความเต็มแปลว่า ข้าพเจ้าไม่มีที่สุดว่าจักหมดกรรมเมื่อไร ที่นี่ว่า โส ความเต็มแปลว่า ข้าพเจ้าจักไม่กระทำชั่วอีกต่อไปแล้ว ดังนี้ พอยังไม่ทันจะหมดเรื่องที่จักกล่าว ได้แต่คนละอักขระ ๆ เท่านั้น น้ำก็พัดหมุนลงก้นหม้ออย่างเดิม แล้วก็ได้เสวยทุกขเวทนา เผ็ด แสบ ร้อน อยู่ในนรกอีกต่อไปจนกว่าจะสิ้นบาปกรรมเพราะโทษที่ตนไม่ได้ตัดบาปทาง ปวทาระกรรม (กระทำผิดในภรรยาของผู้อื่น) เปรตทั้ง ๔ ตนเหล่านี้เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น ชื่อว่าเป็นคนโง่ คนไม่ฉลาด ไม่ตัดบาปกรรมเสีย เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นเปรต เสวยทุกขเวทนาอยู่ในโลหะกุมภีฉะนี้ฯ
ฐิตา:
๓. อัพยากะตา ธัมมา
ในลำดับนี้จักได้วิสัชนาแก้ไขในบทที่ ๓ สืบต่อไป โดยพระบาลีว่า อัพยากะตา ธัมมา แปลว่า ธรรมเป็นอารมณ์แห่งจิตที่เป็น อัพยากฤต ข้อนี้แปลว่า ธรรมอันพระพุทธองค์มิได้ทรงพยากรณ์ว่าเป็นบุญหรือเป็นบาป ดังนี้ โดยความอธิบายว่า จิตที่ไม่ยินดียินร้าย ไม่โสมนัสโทมนัสนั้นแล ชื่อว่ อัพยากฤต เปรียบเหมือนหนึ่งว่า ใบบัวอันน้ำดีและน้ำชั่วตกถูกต้องแล้ว ก็ไหลไปไม่ขังอยู่ได้ฉะนั้น ถ้ามิฉะนั้นเปรียบเสมือนเสาไม้แก่นอันบุคคลฝังไว้แล้วเหนือแผ่นดิน ผงเผ้าเถ้าธุลีจะปลิวมาสักเท่าใด ๆ ก็ดี ก็ไม่ติดอยู่ที่เสาได้ จิตที่เป็นอัพยากฤตนั้น ถึงใคร ๆ จะบูชาดีก็ดี บูชาชั่วก็ดี ก็ไม่มีความยินดียินร้ายฉะนั้น
ท่านสกวาทีอาจารย์จึงได้ขออุปมาอุปไมยขึ้นอีกว่า ข้าแต่ท่านปรวาทีอาจารย์ ซึ่งท่านได้ชี้แจงแสดงมาก็ถูกต้องตามพระบาลีดีแล้ว ข้าพเจ้าได้ฟังก็มีความยินดีชอบใจทุกประการแล้ว แต่ข้าพเจ้าขออุปมาอุปไมยอีกสักหน่อย ขอรับ
ท่านปรวาทีอาจารย์จึงแสดงอุปมาอุปไมยว่า ดูกรท่านสกวาทีอาจารย์นครวาริกะ ปุริโสวิยะ จิตที่เป็นอัพยากฤตนั้นเปรียบเหมือนหนึ่งนายทวาริกะคือบุรุษผู้เฝ้าประตูพระนคร จิตที่เป็นกุศลนั้นเปรียบเหมือนหนึ่งชนที่เข้าไปในประตูพระนคร จิตที่เป็นอกุศลนั้นเปรียบเหมือนชนที่ออกไปจากประตูพระนคร นายทวาริกะผู้เฝ้าซึ่งประตูพระนครนั้นก็ไม่ได้ไต่ถามซึ่งชนที่เข้าออก เพียงแต่เห็นหาได้ถามชนที่เข้าออกนั้นไม่ เช่นนี้แลชื่อว่า อัพยากฤต
ถ้ามิฉะนั้นเปรียบเหมือนหนึ่งภาชนะที่ใส่น้ำเป็นต้น ภาชนะที่เต็มแล้วด้วยน้ำนั้น ถึงใคร ๆ จะเอาน้ำใส่ลงไปอีกสักเท่าใด ๆ ก็ดี น้ำในนั้นก็ย่อมไหลล้นออกไปจากภาชนะ ไม่สามารถขังอยู่ได้ ฉันใดก็ดี จิตที่เป็นอัพยากฤต ที่พระพุทธองค์มิได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่าเป็นบุญเป็นบาปนั้น ก็ชื่อว่าบุญบาปไม่มี ถึงบุญบาปจักมีมาสักเท่าใด ๆ ก็ดี ก็ไม่สามารถจะติดค้างอยู่ได้ มีอุปไมยดังภาชนะที่เต็มแล้วด้วยน้ำฉะนั้น
จิตที่เป็นอัพยากฤตนี้ก็ย่อมมีแต่ในพระอริยเจ้าจำพวกเดียวเท่านั้น หาได้มีแก่ปุถุชนไม่ ปุถุชนนั้นมีแต่จิตเป็นบุญเป็นบาปทั้งสองประการ จิตที่เป็นอัพยากฤตนั้นหาได้มีไม่ เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นอัพยากฤตนั้น จึงมิได้บังเกิดแก่ปุถุชน
ท่านสกวาทีอาจารย์ได้ฟังก็ชอบใจ จึงไต่ถามต่อไปอีกว่า บุคคลผู้ใดมีแต่จิตที่เป็นกุศล ส่วนอกุศลและอัพยากฤตไม่มี บุคคลผู้ใดมีแต่จิตที่เป็นอกุศล ส่วนกุศลและอัพยากฤตไม่มี บุคคลผู้ใดมีแต่จิตที่เป็นอัพยากฤต ส่วนกุศลและอกุศลไม่มีเล่าขอรับ?
ท่านปรวาทีอาจารย์จึงวิสัชนาว่า บุคคลที่มีจิตเป็นบาปเป็นอกุศลนั้น ก็ได้แก่นายพราน คิดแต่จะฆ่าเนื้อฆ่าปลาอยู่เป็นนิจ กุศลจิตและอัพยากฤตจิตนั้นไม่บังเกิดมีแก่นายพรานเลย ดังนี้ บุคคลที่มีจิตเป็นบุญเป็นกุศลนั้น ได้แก่พระอริยะสัปบุรุษ ท่านคิดแต่การบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา สดับฟังพระธรรมเทศนาเป็นนิจ อกุศลจิตและอัพยากฤตจิตก็ไม่บังเกิดมีแก่ท่านดังนี้ เพราะฉะนั้นจึงว่า จิตที่เป็นอัพยากฤตนี้ ย่อมบังเกิดมีแต่พระอรหันต์อย่างเดียว พระอรหันต์เมื่อเข้านิโรธสมาบัติแล้ว จิตที่เป็นบุญเป็นบาปนั้นไม่บังเกิดมีแก่ท่าน ฉะนั้นนักปราชญ์ผู้มีปัญญา พึงสันนิษฐานเข้าใจตามนัยพระพุทธภาษิตอันวิจิตรพิศดาร อาตมาแก้ไขมาในปฐมมาติกา บทที่ ๓ โดยสังเขปก็ยุติลงแต่เพียงนี้ฯ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version