เพ่งนอก ลืมในพระไพศาล วิสาโล หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่น ท่านเคยอธิบายอริยสัจสี่อย่างน่าสนใจไม่เหมือนใคร
ท่านบอกว่า จิตส่งออกนอก คือ สมุทัย ผลของการที่จิตส่งออกนอก คือ ทุกข์ตรงนี้เป็นเรื่องน่าพิจารณา เพราะพิจารณาดูแล้วความทุกข์ส่วนใหญ่ของคนเราก็เกิดจากการที่จิตส่งออกนอกนี่แหละ
จิตส่งออกไม่ใช่ออกจากตัวอย่างเดียว แต่หมายถึงออกจากปัจจุบันด้วย ไปอยู่กับอดีตหรือไม่ก็อนาคต หรือไม่ก็จดจ่ออยู่กับอายตนะภายนอกคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ พอส่งจิตออกไปอย่างนั้นก็ทำให้ลืมกายลืมใจ ลืมปัจจุบันไป ก็เลยพลาดท่าเสียที เกิดทุกข์ขึ้นได้เมื่อเกิดผัสสะหรือรับรู้อายตนะภายนอกแล้วก็เกิดเวทนาขึ้น จะเป็นสุขเวทนาหรือหรือทุกขเวทนาก็แล้วแต่ เวทนาส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไปรับรู้เรื่องข้างนอก หรือมีสิ่งข้างนอกมากระทบ จะเป็นดินฟ้าอากาศ การกระทำของผู้คน หรือคำพูดของคนรอบข้าง น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจก็แล้วแต่ ถ้าเกิดสุขเวทนาขึ้นก็พอใจ ถ้าเกิดทุกขเวทนาขึ้นก็ไม่พอใจ พอไม่พอใจก็เลยอยากผลักไสออกไป ถ้ามันไม่ไปก็ทุกข์ ส่วนสุขเวทนาเมื่อเกิดขึ้นก็พอใจ พอใจแล้วก็อยากครอบครองหรืออยากยึดให้มันอยู่นานๆ แต่ถ้ามันหายไป ก็ไม่พอใจ กลายเป็นทุกข์อีก แต่ถึงแม้มันไม่หายไป ยังอยู่ ยังได้เสพได้สัมผัสอยู่ ก็อาจทำให้เป็นทุกข์ได้ เหมือนกันอาหารที่เอร็ดอร่อย เพลงที่ไพเราะ หนังที่สนุกสนาน เสพใหม่ๆ หรือดูทีแรกก็มีความสุขดี แต่ถ้าลองเสพทุกวัน กินทุกมื้อสัก ๑ เดือน หรือดูสัก ๑๐ รอบ หรือฟังซ้ำสัก ๒๐ เที่ยว ความสุขก็เริ่มจืดจาง รู้สึกเฉยๆ แล้วกลายเป็นความเบื่อความหน่าย ถ้าเสพนานกว่านั้นความเบื่อก็กลายเป็นความเอียนไปมีเหมือนกัน คนที่ดูหนังเป็นร้อย ๆ รอบ อย่างดูหนังสตาร์วอร์ส ได้ข่าวว่ามีบางคนดูเป็น ๑๐๐-๒๐๐ รอบแล้ว พวกนี้เป็นแฟนสตาร์วอร์สตัวจริง อาจเป็นพวกคลั่งก็ได้ แต่ว่าสักวันก็ต้องเบื่อโดยเฉพาะเมื่อตัวเองโตขึ้น ได้พบเห็นโลกมากขึ้น ดูหนังที่หลากหลายมากขึ้น หรือดูหนังที่มีเทคนิคดีกว่า เร้าใจตื่นเต้นมากกว่า ก็จะรู้สึกว่าสตาร์วอร์สไม่สนุกเสียแล้ว
อันนี้เรียกว่าเป็นปริณามทุกข์ คือ ทุกข์ที่เกิดจากการแปรปรวน หรือสุขที่กลายเป็นทุกข์สุขสามารถกลายเป็นทุกข์ได้เมื่อประสบการณ์เปลี่ยนแปลงไป อย่างอากาศบนศาลาตอนนี้ก็เย็นสบายดี แต่พอเราเข้าไปอยู่ในห้องแอร์ที่เย็นกว่านี้ แล้วกลับออกมาอยู่ที่ศาลานี้เราจะรู้สึกเลยว่าศาลานี้อากาศร้อน ไม่รู้สึกว่าอากาศเย็นสบายเหมือนตอนก่อนจะเข้าไปในห้องแอร์
ความทุกข์ของคนเราบ่อยครั้งก็เกิดขึ้นในลักษณะนี้ คือ เกิดจากการเปรียบเทียบกับสิ่งที่ดีกว่า อร่อยกว่า สบายกว่า ที่เคยพอใจให้ความสุข ก็กลายเป็นไม่สุข หรือกลายเป็นทุกข์ไปทันที ความทุกข์อย่างนี้เกิดจากการเปรียบเทียบ แต่ก็เป็นผลอีกแบบหนึ่งที่เกิดจากจิตส่งออกนอก ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเมื่อจิตส่งออกนอก ไปกระทบกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าพอใจ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า กาม ก็เกิดความอยาก ความอยากมันเป็นทุกข์ในตัว เพราะอยากแล้วแต่ยังไม่ได้สมอยากก็เป็นทุกข์ เมื่ออยากแล้วก็ต้องดิ้นรนให้ได้มา ถ้าของมีจำกัด ก็ต้องแก่งแย่งกัน
ถ้าใช้วิธีการที่ชอบธรรม ก็เดือดร้อนน้อยหน่อย แต่ถ้าใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม คือ ลักขโมย โกงเขา ก็ต้องมีเรื่องเดือดร้อนตามมา
แต่ถ้าส่งจิตออกนอกแล้ว ไปรับรู้สิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็เกิดทุกข์ขึ้นมาทันทีถ้าไม่มีสติ เพราะมันจะปรุงแต่งไปต่างๆ นานา จากความไม่พอใจก็กลายเป็นความหงุดหงิดและลุกลามไปเป็นความโกรธ ยิ่งหงุดหงิดยิ่งโกรธ จิตก็ยิ่งส่งออกนอก เพราะคิดหาทางผลักไส ตอบโต้ หรือเล่นงาน จนอาจถึงขั้นคิดหาทางทำร้าย ถึงตรงนี้ใจก็ยิ่งปักตรึงอยู่กับสิ่งนั้น จนลืมกายลืมใจ ลืมไปว่าความโกรธมันลุกลามและเผาลนจิตใจเพียงใด โกรธก็ยังไม่รู้ว่าโกรธ ต่อเมื่อด่าเขาหรือทำร้ายเขาไปแล้ว จึงค่อยรู้ตัว
แต่รู้ตัวแล้วก็ยังอดไม่ได้จะไปโทษคนอื่น หาว่าคนอื่นเป็นเหตุให้เราทำอย่างนั้น เมื่อจิตเพ่งออกไปที่ข้างนอก เราก็มักจะลืมใจของเรา
มีเกร็ดเล่าเกี่ยวกับท่านเว่ยหลาง ซึ่งเป็นสังฆปริณายกลัทธิเซ็นในจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อนคราวหนึ่งท่านไปร่วมงานเฉลิมฉลองของสำนักหนึ่ง มีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ระหว่างนั้นเอง ก็มีพระ ๒ รูปยืนดูธงที่โบกสะบัด รูปหนึ่งบอกว่า "ธงไหว" อีกรูปบอกว่า ไม่ใช่ "ลมไหว"ต่างหากต่างคนต่างมีเหตุผล ตอนแรกก็คุยกันดี ๆ ตอนหลังก็ชักมีอารมณ์ ระหว่างนั้นก็มีคนมาร่วมถือหางกันมากขึ้น บรรยากาศเริ่มร้อนแรง
เมื่อตกลงกันไม่ได้ จึงไปหาท่านเว่ยหล่างเพื่อขอให้ท่านตัดสินว่า ธงไหวหรือลมไหวกันแน่ พอท่านเว่ยหล่างได้ฟังปัญหา ท่านกลับตอบว่า จิตของพวกท่านต่างหากที่ไหวแทนที่จะตอบว่าอะไรที่ไหว ท่านเว่ยหล่างกลับเตือนพระทั้ง ๒ รูป ให้หันมาดูใจของตัวว่า กำลังไหวกระเพื่อมด้วยอารมณ์ ตรงนี้สำคัญกว่าคำตอบว่าธงไหวหรือลมไหว เพราะใจที่ไหวกำลังทำให้ทั้ง ๒ รูปทะเลาะกันจนแทบจะเป็นเรื่องอยู่แล้ว
ขนาดใจไหวกระเพื่อมจนทะเลาะกัน พระทั้ง ๒ รูปยังไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ไปสนใจสิ่งนอกตัวเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าถ้าไปสนใจสิ่งนอกตัว หรือส่งจิตไปปักตรึงนอกตัว ก็จะลืมตัวได้ง่ายๆ พอลืมตัวแล้วกิเลส เช่น ความโกรธหรือความโลภก็ครอบงำได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ทำให้เกิดการทะเลาะบาดหมางกันได้ง่าย ยิ่งถ้าไปจับผิดคนอื่น ก็ยิ่งมีโอกาสลืมตัวได้ง่าย แล้วก็เลยทำให้เผลอทำอะไรที่ไม่น่าทำขึ้นมาได้ง่ายๆ ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยเล่าว่า ที่สวนโมกข์เคยมีแม่ชีคนหนึ่ง มีหน้าที่หาหน่อไม้ไปทำอาหารถวายพระ แม่ชีพบว่า หน่อไม้ที่ยังไม่ทันโตได้ที่มักจะถูกตัดบ่อยๆ สงสัยว่าจะเป็นชาวบ้าน ดังนั้นจึงมักจะบอกชาวบ้านว่า ถ้าเห็นหน่อไม้ที่ยังโตไม่ได้ที่ก็อย่าเพิ่งไปตัดมัน รอให้โตเสียก่อน แต่บอกเท่าไรก็ไม่ได้ผล หน่อไม้อ่อนๆ ก็ยังถูกตัด ซึ่งเป็นการเสียของอย่างมาก แม่ชีจึงโกรธ
วันหนึ่งไปเห็นหน่อไม้อ่อนอยู่หลายหน่อ ทันทีที่เห็นแม่ชีก็รู้เลยว่าหน่อไม้เหล่านี้คงไม่พ้นมือชาวบ้าน คิดแล้วก็โมโห แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พอโมโหหนักเข้าแม่ชีก็เลยตัดหน่อไม้นั้นเสียเองในใจคงคิดว่า ถ้าห้ามไม่ฟัง ก็อย่าหวังจะได้แตะหน่อไม้อ่อนเลย
แม่ชีบอกใครๆ ว่าอย่าตัดหน่อไม้อ่อน แต่ทำไมตัวเองถึงตัด เป็นเพราะแม่ชีต้องการสั่งสอนชาวบ้าน ใจที่คิดจะตอบโต้ชาวบ้านทำให้ลืมตัว เลยตัดหน่อไม้นั้นเสียเอง ทั้งหมดนี้เกิดจากความคิดที่จะเอาชนะชาวบ้าน ก็เลยลืมตัว ทำสิ่งที่ตัวเองห้ามไม่ให้คนอื่นทำ
ที่สุคะโตเมื่อสิบกว่าปีก่อน พระเณรฉันอาหารเป็นวงทั้งเช้าและเพล ก็มีพระรูปหนึ่งฉันดัง เคี้ยวดัง เวลาตักอาหารช้อนจะกระทบกับจานเสียงดัง ที่จริงไม่ได้ดังมาก แต่พอได้ยินบ่อยๆ ทั้งเช้า เพล ทุกวัน พระรูปหนึ่งก็หงุดหงิด ความไม่พอใจสะสมมากขึ้นๆ ทุกวัน
ในที่สุดวันหนึ่งขณะที่พระกำลังฉันกันอยู่ดีๆ ท่านก็ลุกขึ้นจากวงต่อว่าพระรูปนั้นเสียงดังลั่นไปทั้งศาลาเลยว่า "ฉันดังเหลือเกิน รบกวนคนอื่นเขา ไม่รู้จักมารยาทหรือไง" ว่าแล้วก็เดินออกไป ท่านโมโหพระรูปนั้นที่ฉันเสียงดัง แต่ท่านไม่รู้เลยว่าที่ท่านลุกขึ้นมาโวยวายนั้น ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นยิ่งกว่าพระรูปนั้นเสียอีก
คนเราเมื่อจ้องมองคนอื่นมากเท่าไร ก็มักจะลืมมองตัวเอง เลยเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงอยากจะเตือนว่าเมื่อใดที่เรามองใครว่าเป็นปัญหา ขอให้ระวังว่าตัวเราเองจะกลายเป็นปัญหาไปเสียเอง เพราะเมื่อเรามองเห็นคนอื่นเป็นปัญหา เราก็จะเริ่มสะสมความไม่พอใจเอาไว้ความไม่พอใจเมื่อสะสมมากเข้าก็กลายเป็นความโกรธโดยไม่รู้ตัว โกรธมากเท่าไรก็ลืมตัวมากเท่านั้น จึงเผลอทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ ซึ่งกลายเป็นปัญหากับส่วนรวม