ผู้เขียน หัวข้อ: กุลาวกชาดก ว่าด้วยการเสียสละ  (อ่าน 1454 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ต๊ะติ้งโหน่ง

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 259
  • พลังกัลยาณมิตร 76
    • ดูรายละเอียด
กุลาวกชาดก ว่าด้วยการเสียสละ
« เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 08:23:59 pm »
กุลาวกชาดก ว่าด้วยการเสียสละ
 
 ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราชพระองค์หนึ่ง ครองราชสมบัติอยู่ในนครราชคฤห์ แคว้นมคธ ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นบุตรของตระกูลใหญ่ในบ้านมจลคามนั้นนั่นแหละ เหมือนอย่างในบัดนี้ ท้าวสักกะบังเกิดใน บ้านมจลคาม แคว้นมคธ ในอัตภาพก่อนฉะนั้น ก็ในวันตั้งชื่อพระโพธิสัตว์ นั้น ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อว่า มฆกุมาร มฆกุมารนั้นเจริญวัยแล้วปรากฏ ชื่อว่า มฆมาณพ
ลำดับนั้น บิดามารดาของมฆมาณพนั่นนำเอานางทาริกา มาจากตระกูลที่มีชาติเสมอกัน มฆมาณพนั้นเจริญด้วยบุตรและธิดาทั้งหลาย ได้เป็นทานบดี รักษาศีล ๕ ก็ในหมู่บ้านนั้น มีอยู่ ๓๐ ตระกูลเท่านั้น และวันหนึ่งคนในตระกูลทั้ง ๓๐ ตระกูลนั้น ยืนอยู่กลางบ้าน ทำการงานในบ้าน พระโพธิสัตว์เอาเท้าทั้งสองกวาดฝุ่นในที่ที่ยืนอยู่ กระทำประเทศที่นั้นให้น่ารื่นรมย์ยืนอยู่แล้ว ครั้งนั้น คนอื่นผู้หนึ่งมายืนในที่นั้น พระโพธิสัตว์จึงกระทำที่อื่นอีกให้น่ารื่นรมย์แล้วได้ยืนอยู่ แม้ในที่นั้น คนอื่นก็มายืนเสีย พระโพธิสัตว์ได้กระทำที่อื่น ๆ แม้อีกให้น่ารื่นรมย์ รวมความว่า ได้กระทำที่ที่ยืนให้น่ารื่นรมย์แม้แก่คนทั้งปวง
สมัยต่อมาให้สร้างปะรำลงในที่นั้น ต่อมาแม้ปะรำก็ให้รื้อออกเสียแล้วให้สร้างศาลา ปูอาสนะแผ่นกระดานในศาลานั้นแล้ว ตั้งตุ่มน้ำดื่มไว้ สมัยต่อมา ชน ๓๒ คน เหล่านั้นได้มีฉันทะเสมอกันกับพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงให้ชน ๓๒ คนนั้นตั้งอยู่ในศีล ๕ ตั้งแต่นั้นไป ก็เที่ยวทำบุญทั้งหลายพร้อมกับคนเหล่านั้น ชนแม้เหล่านั้น เมื่อกระทำบุญกับพระโพธิสัตว์นั้น จึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ถือมีด ขวาน และสาก เอาสากทุบหินให้แตก ในหนทางใหญ่ ๔ แพร่งเป็นต้น แล้วกลิ้งไป นำเอาต้นไม้ที่เกิดในทาง ซึ่งจะกระทบเพลารถทั้งหลายออกไป กระทำที่ขรุขระให้เรียบ ทอดสะพาน ขุดสระโบกขรณี สร้างศาลา ให้ทาน รักษาศีล โดยมาก ชาวบ้านทั้งสิ้น ตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้วรักษาศีล ด้วยประการอย่างนี้
ลำดับนั้น นายบ้านของชนเหล่านั้นคิดว่า ในกาลก่อน เมื่อคนเหล่านี้ดื่มสุรา กระทำปาณาติบาตเป็นต้น เรายังได้ทรัพย์ จากกหาปณะค่าตุ่ม (สุรา) เป็นต้น และด้วยอำนาจพลีค่าสินไหม แต่บัดนี้ มฆมาณพให้รักษาศีล ไม่ให้ชนเหล่านั้นกระทำปาณาติบาตเป็นต้น อนึ่ง บัดนี้ จักให้เราทั้งหลายรักษาศีล ๕ จึงโกรธเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกโจรเป็นอันมากเที่ยวกระทำการฆ่าชาวบ้านเป็นต้น พระราชาได้ทรงสดับคำของนายบ้านนั้น จึงรับสั่งว่า ท่านจงไปนำคนเหล่านั้นมา นายบ้านนั้นจึงไปจองจำ ชนเหล่านั้นทั้งหมดแล้วนำมา กราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกคนที่ข้าพระบาทนำมานี้เป็นโจร พระเจ้าข้า
ลำดับนั้น พระราชาไม่ทรงชำระกรรมของชนเหล่านั้นเลย รับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงให้ช้างเหยียบชน เหล่านี้ แต่นั้น ราชบุรุษจึงให้ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมดให้นอนที่พระลานหลวง แล้วนำช้างมา พระโพธิสัตว์ได้ให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจง รำพึงถึงศีล จงเจริญเมตตาในคนผู้กระทำการส่อเสียด ในพระราชา ในช้าง และในร่างกายของตน ให้เป็นเช่นเดียวกัน ชนเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น
ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายจึงนำช้างเข้าไป เพื่อต้องการให้เหยียบชนเหล่านั้น ช้างนั้นแม้จะถูกคนนำเข้าไป ก็ไม่เข้าไป ร้องเสียงลั่นแล้วหนีไป ลำดับนั้น จึงนำช้างเชือกอื่น ๆ มา แม้ช้างเหล่านั้นก็หนีไปอย่างนั้นเหมือนกัน พระราชาตรัสว่า จักมีโอสถบางอย่างอยู่ในมือของชนเหล่านี้ พวกท่านจงค้นดู
พวกราชบุรุษตรวจค้นดูแล้วก็ไม่เห็น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ไม่มี พระเจ้าข้า
พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ชนเหล่านี้จักร่ายมนต์อะไร ๆ พวกท่านจงถามพวกเขาดูว่า มนต์ของท่านทั้งหลายมีอยู่หรือ ?
ราชบุรุษทั้งหลายจึงได้ถาม พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า มี
ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นัยว่ามีมนต์สำหรับร่าย พะย่ะค่ะ
พระราชา รับสั่งให้เรียกชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมดมาแล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงบอกมนต์ที่ท่านทั้งหลายรู้
พระโพธิสัตว์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชื่อว่ามนต์ ของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างอื่นไม่มี แต่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นคนประมาณ ๓๓ คน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวคำเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา เจริญเมตตา ให้ทาน กระทำทางให้สม่ำเสมอ ขุดสระโบกขรณี สร้างศาลา นี้เป็นมนต์ เป็นเครื่องป้องกัน เป็นความเจริญ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระราชาทรงเลื่อมใสต่อชนเหล่านั้น ได้ทรงให้สมบัติในเรือนทั้งหมดของนายบ้านผู้กระทำการส่อเสียด และได้ทรงให้นายบ้านนั้นให้เป็นทาสของชนเหล่านั้น ทั้งได้ทรงให้ช้างและบ้านแก่ชนเหล่านั้นเหมือนกัน
นับแต่นั้น ชนเหล่านั้นกระทำบุญทั้งหลายตามความชอบใจ คิดว่า จักสร้างศาลาใหญ่ในทาง ๔ แพร่ง จึงให้เรียกช่างไม้ มาแล้วเริ่มสร้างศาลา แต่ว่าไม่ได้ให้มาตุคามทั้งหลายมีส่วนบุญในศาลานั้น เพราะไม่มีความพอใจในมาตุคามทั้งหลาย.
ก็สมัยนั้น ในเรือนของพระโพธิสัตว์มีสตรี ๔ คน คือ นางสุธรรมา นางสุจิตรา นางสุนันทา และนางสุชาดา บรรดาสตรีเหล่านั้น นางสุธรรมา เป็นพวกเดียวกันกับช่างไม้ กล่าวว่า พี่ช่าง ท่านจงทำฉันให้เป็นใหญ่ในศาลานี้ ดังนี้แล้วได้ให้สินบน ช่างไม้นั้นรับคำแล้ว ยังไม้ช่อฟ้าให้แห้งก่อนทีเดียว แล้วถากเจาะทำช่อฟ้าให้เสร็จแล้วจะยกช่อฟ้า จึงกล่าวว่า ตายจริง เจ้านาย ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้ระลึกถึงสิ่งของอย่างหนึ่ง
ชนเหล่านั้นถามว่า ท่านผู้เจริญ ของชื่ออะไร
ช่างไม้กล่าวว่า การได้ช่อฟ้าจึงจะควร
ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ช่างเถิด เราจักนำมาให้
ช่างไม้กล่าวว่า พวกเราไม่อาจทำด้วยไม้ที่ตัดในเดี๋ยวนี้ จะต้องได้ช่อฟ้าที่เขาตัดไว้ก่อนแล้วถาก เจาะทำสำเร็จแล้ว จึงจะควร
ชนเหล่านั้น กล่าวว่า บัดนี้ จะทำอย่างไร
ช่างไม้กล่าวว่า ถ้าช่อฟ้าสำหรับขายที่เขาทำไว้ เสร็จแล้วเก็บไว้ในเรือนของใคร ๆ มีอยู่ท่านต้องหาช่อฟ้าอันนั้น
ชนเหล่านั้น เมื่อแสวงหาได้พบในเรือนของนางสุธรรมา ขอซื้อจากนาง นางก็ไม่ขายให้แต่กล่าวว่า ถ้าท่านทั้งหลายจะให้ข้าพเจ้ามีส่วนบุญด้วย ข้าพเจ้าจึงจักให้
ชนเหล่านั้นจึงพากันกล่าวว่า พวกเราจะไม่ให้ส่วนบุญแก่มาตุคามทั้งหลาย
ลำดับนั้น ช่างไม้จึงกล่าวกะชนเหล่านั้นว่า เจ้านายท่านทั้งหลายพูดอะไร ชื่อ ว่าที่ที่เว้นจากมาตุคามที่อื่น ย่อมไม่มี เว้นพรหมโลก ท่านทั้งหลายจงถือเอา ช่อฟ้าเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น การงานทั้งหลายของพวกเราจักถึงความสำเร็จ
ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ดีละ แล้วถือเอาช่อฟ้ายังศาลาให้สำเร็จแล้วปูแผ่นกระดานสำหรับนั่ง ตั้งตุ่มน้ำดื่ม เริ่มตั้งยาคูและภัตเป็นต้นเป็นประจำ ล้อมศาลาด้วย กำแพง ประกอบประตู เกลี่ยทรายภายในกำแพงปลูกแถวต้นตาลภายนอกกำแพง
ฝ่ายนางสุจิตราให้กระทำอุทยานในที่นั้น ไม่มีคำที่จะพูดว่า ต้นไม้ที่มีดอกและไม้ที่มีผล ชื่อโน้น ไม่มีในอุทยานนั้น ฝ่ายนางสุนันทาให้กระทำ สระโบกขรณีในที่นั้นเหมือนกัน ให้ดารดาษด้วยปทุม ๕ สี น่ารื่นรมย์ แต่นางสุชาดาไม่ได้กระทำอะไร ? พระโพธิสัตว์บำเพ็ญวัตรบท ๗ เหล่านี้ คือ การ บำรุงมารดา ๑ การบำรุงบิดา ๑ การกระทำความอ่อนน้อมถ่อมตนแก่คนผู้เป็น ใหญ่ในตระกูล ๑ การกล่าววาจาสัตย์ ๑ วาจาไม่หยาบ ๑ วาจาไม่ส่อเสียด ๑ และการนำไปให้พินาศซึ่งความตระหนี่ ๑ ถึงความเป็นผู้ควรสรรเสริญ

ในเวลาสิ้นชีวิต พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช ในภพดาวดึงส์ สหายของพระโพธิสัตว์นั้นทั้งหมดพากันบังเกิดในภพดาวดึงส์นั้นเหมือนกัน.
ในกาลนั้น อสูรทั้งหลายอยู่อาศัยในภพดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราชทรง ดำริว่า เราทั้งหลายจะประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติอันเป็นสาธารณะทั่วไปแก่คนอื่น จึงให้พวกอสูรดื่มน้ำสุราอันเป็นทิพย์ แล้วให้จับพวกอสูรผู้เมาแล้วที่เท้า แล้วโยนลงไปที่เชิงเขาสิเนรุ พวกอสูรเหล่านั้นจึงอาศัยอยู่ในภพอสูรที่นั่นนั้นแลโดยไม่รู้ว่าที่นั้นมิใช่ภพดาวดึงส์ ยังนึกว่าพวกตนยังอยู่ ณ ที่เดิม ชื่อว่าภพอสูรมีขนาดเท่าดาวดึงส์เทวโลกอยู่ ณ พื้นภายใต้เขาสิเนรุ ในภพอสูรนั้น ได้มีต้นไม้ตั้งอยู่ชั่วกัป ชื่อว่าต้นจิตตปาตลิ (แคฝอย) เหมือนต้นปาริฉัตตกะ ของเหล่าเทพ
แต่เมื่อต้นจิตตปาตลิบาน พวกอสูรเหล่านั้นก็รู้ว่านี้ไม่ใช่เทวโลก ของพวกเรา เพราะว่าในเทวโลกต้นปาริฉัตตกะย่อมบาน ลำดับนั้น พวกอสูร เหล่านั้นจึงกล่าวว่า ท้าวสักกะทำพวกเราให้เมาแล้วโยนลงหลังมหาสมุทร ยึดเทพนครของพวกเรา เราทั้งหลายนั้นจักรบกับท้าวสักกะนั้นแล้วยึดเอา เทพนครของพวกเราเท่านั้นคืนมา จึงลุกขึ้นเที่ยวสัญจรไปตามเขาสิเนรุ เหมือน มดแดงไต่เสาฉะนั้น
ท้าวสักกะทรงสดับว่า พวกอสูรขึ้นมา จึงเหาะขึ้นเฉพาะหลังสมุทรรบอยู่ ถูกพวกอสูรเหล่านั้นทำให้พ่ายแพ้ ท้าวสักกะจึงเริ่มหนีไปสุดมหาสมุทรด้านทิศเหนือ ด้วยเวชยันตราชรถมีขนาดประมาณ ๑๕๐ โยชน์ ลำดับนั้นรถของท้าวสักกะนั้นแล่นไปบนหลังสมุทรด้วยความเร็ว จึงแล่นเข้าไปยังป่าไม้งิ้ว ทำลายป่าไม้งิ้วในระหว่างหนทางที่ท้าวสักกะนั้นเสด็จผ่านไป เหมือนทำลายป่าไม้อ้อ ขาดตกลงไปบนหลังสมุทร พวกลูกนกครุฑพลัดตกลงบนหลังมหาสมุทรพากันร้องเสียงขรม ท้าวสักกะตรัสถามมาตลีสารถีว่า มาตลีผู้สหายนั่นเสียงอะไร เสียงร้องน่าสงสารยิ่งนัก ? พระมาตลีทูลว่า ข้าแต่เทพ เมื่อป่าไม้งิ้วแหลกไปด้วยกำลังความเร็วแห่งรถของพระองค์แล้วตกลงไป พวกลูกนกครุฑถูกมรณภัยคุกคาม จึงพากันร้องเป็นเสียงเดียวกัน พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนมาตลีผู้สหาย ลูกนกครุฑเหล่านี้จงอย่าลำบากเพราะเราเลย เราจะไม่อาศัยความเป็นใหญ่แล้วกระทำกรรมคือการฆ่าสัตว์ ก็เพื่อประโยชน์แก่ลูกนกครุฑนั้น เราจักสละชีวิตให้แก่พวกอสูร ท่านจงกลับรถนั่น
พระมาตลีสารถีได้ฟังคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว จึงกลับรถหันหน้ามุ่งไปยังเทวโลก โดยหนทางอื่น ฝ่ายพวกอสูรพอเห็นท้าวสักกะกลับรถเท่านั้นคิดว่า ท้าวสักกะจากจักรวาลอื่นพากันมาเป็นแน่ รถจึงหันกลับเพราะได้กำลังพลมาเสริม พวกอสูรเมื่อคิดดังนั้นก็เป็นผู้กลัวต่อมรณภัย จึงพากันหนีเข้าไปยังภพอสูรตามเดิม ฝ่ายท้าวสักกะก็เสด็จเข้ายังเทพนคร แวดล้อมด้วยหมู่เทพในเทวโลกทั้งสอง ได้ประทับยืนอยู่ในท่ามกลางนคร ขณะนั้น เวชยันตปราสาทสูงพันโยชน์ ชำแรกปฐพีผุดขึ้น เพราะปราสาทผุดขึ้นในตอนสุดท้ายแห่งชัยชนะ เทพทั้งหลายจึงขนานนาม ปราสาทนั้นว่าเวชยันตะ ลำดับนั้น ท้าวสักกะทรงตั้งอารักขาในที่ ๕ แห่ง ก็เพื่อต้องการไม่ให้พวกอสูรกลับมาอีกซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
ในระหว่างอยุทธบุรีทั้งสอง ท้าวสักกะทรงตั้งการรักษาอย่างแข็งแรงไว้ ๕ แห่ง นาค ๑ ครุฑ ๑ กุมภัณฑ์ ๑ ยักษ์ ๑ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ๑.
แม้นครทั้งสอง คือ เทพนคร และอสูรนครก็ชื่อว่า อยุทธปุระ เพราะใคร ๆ ไม่อาจยึดได้ด้วยการรบ เพราะว่า ในกาลใด พวกอสูรมีกำลัง ในกาลนั้นเมื่อพวกเทวดาหนีเข้าเทพนครแล้วปิดประตูไว้แม้พวกอสูรตั้งแสนก็ไม่อาจทำอะไรได้ ในกาลใดพวกเทวดามีกำลัง ในกาลนั้น เมื่อพวกอสูรหนี ไปปิดประตูอสูรนครเสีย พวกเทวดาแม้ตั้งแสนก็ไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้น นครทั้งสองนี้จึงชื่อว่า อยุชฌปุระ เมืองที่ใคร ๆ รบไม่ได้

ก็เมื่อท้าวสักกะจอมเทพทรงตั้งอารักขาในที่ ๕ แห่งเหล่านี้แล้วเสวยทิพยสมบัติอยู่ นางสุธรรมาจุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั่น แหละ ก็เทวสภาชื่อว่าสุธรรมามีประมาณ ๕๐๐ โยชน์ ได้เกิดขึ้นแก่นางสุธรรมา เพราะ ผลวิบากที่ให้ช่อฟ้า เทวสภาซึ่งเป็นที่ที่ท้าวสักกะจอมเทพประทับนั่งบนบัลลังก์ทองขนาดหนึ่งโยชน์ภายใต้เศวตฉัตรทิพย์ทรงกระทำกิจที่จะพึงกระทำแก่เทวดาและมนุษย์ ฝ่ายนางสุจิตราก็จุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าว สักกะนั้นเหมือนกัน และอุทยานชื่อว่าจิตรลดาวันก็เกิดขึ้นแก่นางสุจิตรานั้น เพราะผลวิบากของการกระทำอุทยาน ฝ่ายนางสุนันทาก็จุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั้นเหมือนกัน และสระโบกขรณีชื่อว่านันทาก็เกิดขึ้น แก่นางสุนันทานั้น เพราะผลวิบากของการขุดสระโบกขรณี.
ส่วนนางสุชาดาบังเกิดเป็นนางนกยางอยู่ที่ซอกเขาในป่าแห่งหนึ่ง เพราะไม่ได้กระทำกุศลกรรมไว้ ท้าวสักกะทรงพระรำพึงว่า นางสุชาดาไม่ปรากฏ นางบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ ครั้นทรงเห็นนางสุชาดานั้น จึงเสด็จไปที่ซอกเขานั้น พานางมายังเทวโลก ทรงแสดงเทพนครอันน่ารื่นรมย์ เทวสภาชื่อสุธรรมา สวนจิตรลดาวัน และนันทาโบกขรณี แก่นาง แล้วทรงโอวาทนางว่า หญิงเหล่านี้ได้กระทำกุศลไว้จึงมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของเรา ส่วนเธอไม่ได้กระทำกุศลไว้จึงบังเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ตั้งแต่นี้ไป เธอจงรักษาศีล แล้วให้นางตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วนำไปปล่อยไว้ ณ ซอกเขานั้นนั่นแหละ ฝ่ายนางนกยางนั้น ก็รักษาศีลตั้งแต่กาลนั้น โดยล่วงไป ๒ - ๓ วัน ท้าวสักกะ ทรงดำริว่า นางนกยางอาจรักษาศีลหรือหนอ จึงเสด็จไป แปลงรูปเป็นปลา นอนหงายอยู่ข้างหน้า นางนกยางนั้นสำคัญว่าปลาตายจึงได้คาบที่หัว ปลากระดิกหาง ลำดับนั้น นางนกยางนั้นจึงปล่อยปลานั้นด้วยสำคัญว่า เห็นจะเป็นปลามีชีวิตอยู่ ท้าวสักกะตรัสว่า สาธุ สาธุ เธออาจรักษาศีลได้ แล้วได้ เสด็จไปยังเทวโลก นางนกยางนั้นจุติจากอัตภาพนั้นมาบังเกิดในเรือนของนายช่างหม้อ ในนครพาราณสี.
ท้าวสักกะทรงพระดำริว่า นางนกยางบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ ทรงรู้ว่าเกิดในตระกูลช่างหม้อ จึงทรงเอาฟักทองคำบรรทุกเต็มยานน้อย แปลงเพศเป็นคนแก่นั่งอยู่กลางบ้านป่าวร้องว่า ท่านทั้งหลายจงรับเอาฟักเหลือง คนทั้งหลายมากล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้ฟักเหลืองแก่เรา ท้าวสักกะตรัสว่า เราให้แก่คนทั้งหลายผู้รักษาศีล ท่านทั้งหลายจงรักษาศีล คนทั้งหลายกล่าวว่าขึ้นชื่อว่าศีล พวกเราไม่รู้จัก ท่านจงขายให้เราเถิด ท้าวสักกะตรัสว่า เราไม่ต้องการเงิน เราจะให้เฉพาะแก่ผู้รักษาศีลเท่านั้น คนทั้งหลายกล่าวว่า นี้ฟักเหลืองอะไรกันหนอ แล้วก็หลีกไป นางสุชาดาได้ฟังข่าวนั้นแล้วคิดว่า เขาจักนำมาเพื่อเรา จึงไปพูดว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้ฟักเหลืองแก่เราเถิด ท้าวสักกะตรัสว่า แม่ เธอรักษาศีลแล้วหรือ นางสุชาดากล่าวว่า จ้ะ ฉันรักษาศีล ท้าวสักกะตรัสว่า สิ่งนี้เรานำมาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าเท่านั้น แล้ววางไว้ที่ประตูบ้านพร้อมกับยานน้อยแล้วหลีกไป.
ฝ่ายนางสุชาดานั้น รักษาศีลจนตลอดชั่วอายุ จุติจากอัตภาพนั้นไป บังเกิดเป็นธิดาของจอมอสูรนามว่าเวปจิตติ ได้เป็นผู้มีรูปร่างงดงามด้วยอานิสงส์แห่งศีล ในเวลาธิดานั้นเจริญวัยแล้ว ท้าวเวปจิตตินั้นดำริว่า ธิดาของเรา จงเลือกสามีตามความชอบใจของตน จึงให้พวกอสูรประชุมกัน ท้าวสักกะทรงตรวจดูว่า นางสุชาดานั้นบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ ครั้นทรงทราบว่านางเกิดในภพอสูรนั้นจึงทรงดำริว่า นางสุชาดาเมื่อจะเลือกเอาสามีตามที่ใจชอบ จักเลือกเอาเรา จึงทรงนิรมิตเพศเป็นอสูรแล้วได้ไปในที่ประชุมนั้น ญาติทั้งหลาย ประดับประดานางสุชาดาแล้วนำมายังที่ประชุมพลางกล่าวว่า เจ้าจงเลือกเอาสามีที่ใจชอบ นางตรวจดูอยู่ แลเห็นท้าวสักกะ ด้วยอำนาจความรักอันมีในกาลก่อน จึงได้เลือกเอาว่า ท่านผู้นี้เป็นสามีของเรา ท้าวสักกะจึงทรงนำนางมายังเทพนคร ทรงกระทำให้เป็นใหญ่กว่านางฟ้อนจำนวน ๒๕๐๐ โกฏิ ทรงดำรงอยู่ตลอดชั่วพระชนมายุ แล้วเสด็จไปตามยถากรรม
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อนครองราชสมบัติในเทวโลก ถึงจะสละชีวิตของตน ก็ไม่กระทำปาณาติบาต ด้วยประการอย่างนี้ เธอชื่อว่าบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เหตุไรจักดื่มน้ำมีตัวสัตว์อันมิได้กรองเล่า จึงทรงติเตียนภิกษุนั้น แล้วทรงประชุมชาดกว่า มาตลีสารถีใน ครั้งนั้นได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล
จบกุลาวกชาดก