แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

นิทานเซ็น :จากมุมสงบ Kitty's Home

<< < (5/10) > >>

ฐิตา:


                     

แน่หรือ ?

ท่านอาจารย์โตซุย ท่านชอบธุดงค์แสดงธรรมไปเรื่อยๆ ไม่ติดวัด พอแสดงธรรมที่ไหนคนติดมากเข้า ท่านก็จะย้ายไปที่อื่นเป็นเช่นนี้ตลอด จนมาถึงวัดสุดท้ายเมื่อท่านแสดงธรรมแล้ว ท่านก็ประกาศว่าท่านจะหยุดแสดงธรรมด้วยปากแล้ว จากนั้นตัวท่านเองก็หลีกเร้นไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย ไม่มีใครทราบว่าท่านไปอยู่ที่ไหน ต่อมาเนื่องจากเป็นผู้ที่มีศิษย์มากมาย ศิษย์ของท่านคนหนึ่งจึงไปพบท่านเข้าโดยบังเอิญ ท่านอาศัยปะปนอยู่กับพวกขอทานใต้หลืบสะพานแห่งหนึ่งในเมืองเกียวโต ศิษย์ผู้นั้นดีใจมากจึงขอฝากตัวอยู่ด้วย ท่านอาจารย์มองดูศิษย์ ไม่ได้บอกรับหรือปฏิเสธ เพียงกล่าวว่า
“ถ้าอยากอยู่ก็ลองดู หากเห็นว่าอยู่อย่างฉันได้ฉันก็ไม่ว่า”

ดังนั้น ศิษย์ผู้นั้นจึงได้ติดสอยห้อยตาม ใช้ชีวิต และปฏิบัติตัวเหมือนท่านอาจารย์ตลอด

เป็นการบังเอิญเหลือเกิน ที่ต่อมาเพียงวันเดียว หลังจากไปเที่ยวขออาหารมาแล้ว เกิดมีขอทานที่อยู่ใต้หลืบสะพานเดียวกันล้มป่วยตายลง คืนนั้นท่านอาจารย์และศิษย์จึงจัดการนำไปฝัง พอกลับมาท่านอาจารย์ก็ล้มตัวลงนอนพักอย่างสบาย ส่วนศิษย์ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ นอนกระสับกระส่ายทั้งคืนจนรุ่งเช้า พอรุ่งสว่าง ศิษย์ก็รีบเตรียมตัวจะออกไปขอทานกับท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์กลับหันมาบอกว่า
“เออ วันนี้ดี เราไม่ต้องออกไปขอทานก็ได้ อาหารของขอทานที่ตายที่เขาขอมาเมื่อวานนี้ยังเหลืออยู่นั่นไง เอามากินกันเถอะ”

ว่าแล้วท่านอาจารย์ก็เขี่ยแบ่งอาหารให้ศิษย์ แล้วตัวท่านก็กินเอากินเอา ส่วนศิษย์ได้แต่นั่งดูกระอักกระอ่วน ไม่อาจกลืนได้แม้สักคำ ท่านอาจารย์จึงว่า
“ฉันว่าแล้ว เธออยู่อย่างฉันไม่ได้หรอก เธอไปเถอะ อย่าพยายามติดตามฉันอีกเลย”

ท่านอาจจะนึกว่า จำเป็นถึงขนาดที่จะต้องลดตัวลงขนาดนั้นหรือ แต่ถ้าคิดให้ลึกแล้ว ลาภสักการะ ชื่อเสียง พัดยศ กระทั่งสิ่งที่คนวัดเขาเทิดทูนบูชาคือความเป็นพระอรหันต์ มันจะอะไรกันนักหนา ใช้ทำประโยชน์อะไรได้ เมื่อสิ่งที่กล่าวถึงนั้น เป็นเพียงการปิดฉลากว่าเป็นนั่นเป็นนี่เท่านั้น แต่สิ่งที่แท้จริงที่ฉลากปิดอยู่นั้นล่ะจะเป็นอย่างไร ท่านพร้อมจะไปอยู่กับท่านอาจารย์โตซุยหรือยัง ?


ฐิตา:
                     

พระใจสิงห์

ซินก่าย เป็นเด็กบ้านนอก พอแตกวัยหนุ่ม พ่อแม่ก็ส่งตัวไปอยู่กับขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งในเมืองเอโดะ เนื่องจากเป็นคนฉลาดและหน้าตาดี ท่านขุนนางจึงเอาตัวมารับใช้ใกล้ชิด อยู่มาไม่นานภรรยาท่านขุนนางจิตใจตกต่ำ จึงใช้หนุ่มซินก่ายมาบำบัดความใคร่ตนเอง หนุ่มซินก่ายไม่มีทางเลี่ยง จึงเป็นชู้ตลอดมา คืนหนึ่ง ท่านขุนนางก็จับได้ จึงกระชากซามูไรออกฟัน ภรรยาท่านขุนนางเห็นความแตก จึงคิดช่วยชู้ รีบไปชักดาบที่แขวนอยู่ข้างฝาแทงขุนนางสามีตาย แล้วหนีออกจากบ้านพร้อมหนุ่มซินก่ายในคืนนั้นทั้งคู่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนไปตามแหล่งต่างๆ ในที่สุดเงินทองที่ติดตัวมาก็หมดลง จึงต้องเลือกการลักขโมยตัดช่องย่องเบา หนุ่มซินก่ายเห็นความไม่เที่ยงเช่นนี้ จึงคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมาอย่างหนัก ถ้าปล่อยให้ รูป รส กลิ่น เสียง มาพัวพันอยู่เช่นนี้ ก็ไม่มีวันจะดำเนินชีวิตให้ถูกต้องได้ ซินก่าย จึงตกลงใจทิ้งภรรยา เดินทางออกสู่บ้านนอกสุดหล้าฟ้าเขียว เข้าอาศัยอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองบูเส็น

ต่อมาก็ขอบวชและก็ได้พบว่า คำสอนของพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องที่เขากำลังสงสัยอยู่ทีเดียว ว่าทำอย่างไรจึงจะอยู่ได้อย่างชนะภัยอันเกิดจาก รูป รส กลิ่น เสียง และควบคุมจิตใจไม่ให้เป็นไปตามความต้องการฝ่ายต่ำได้ เมืองที่ท่านบวชเป็นตำบลเล็กๆ การติดต่อกับตัวเมืองเป็นไปด้วยความยากลำบาก มีเพียงทางเดินเท้าเล็กๆ ลัดเลาะไปตามหน้าผาสูงชัน วันไหนฝนตกลมแรงก็ไปไม่ได้ แต่ละปีจะมีผู้พลัดตกหน้าผาลงไปตายเสียมาก ท่านซินก่ายคิดดูแล้ว มีทางเดียวที่จะแก้ไขได้ก็โดยการเจาะอุโมงค์ลอดภูเขา เมื่อพูดเรื่องนี้กับใครก็มีแต่คนไม่เห็นด้วยคงคิดว่าบ้าไปแล้ว ท่านจึงตกลงใจเริ่มงานเจาะอุโมงค์แต่ผู้เดียวในตอนเช้าท่านออกบิณฑบาต เวลานอกจากนั้นท่านอุทิศให้กับการสกัดหินเจาะอุโมงค์ทั้งหมด โดยไม่คำนึงว่าภูเขาจะสูงตระหง่านสักเพียงใด เมื่อเมื่อยท่านก็พัก เมื่อมีเรี่ยวแรงก็ทำงานต่อไปไม่คำนึงว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน คนเดินผ่านไปมาก็คิดว่าท่านคงเสียสติไปแล้ว แต่ท่านไม่สนใจ คงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของท่านต่อไป เวลาผ่านไป 30 ปี พระซินก่ายก็ยังคงนั่งสกัดหินเจาะอุโมงค์อย่างไม่ท้อถอย แม้จะมีอายุตั้ง 50 ปีแล้วก็ตาม

ก่อนที่อุโมงค์จะสำเร็จประมาณ 2 ปี ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งซอกซอนมาจากเมืองเอโดะ ปรากฏว่าเป็นบุตรขุนนางเจ้านายเก่าที่ตายไป เมื่อโตขึ้นตั้งใจจะล้างแค้นจึงสืบเสาะจนมาพบ เพื่อที่จะได้ไม่ฆ่าผิดตัวจึงถามตรงๆ ท่านซินก่ายก็ยอมรับ โดยท่านไม่ได้มีอาการวิตกแต่อย่างไร แต่ขอผลัดให้ท่านทำงานเสร็จเสียก่อน งานเสร็จวันใด ท่านจะยอมชดใช้กรรมให้ตัดศีรษะทันที ชายหนุ่มตกลงตอนแรกๆ ชายหนุ่มยังไม่ไว้วางใจ ต้องเหน็บดาบและคอยระวังตัวกลัวท่านซินก่ายจะลอบทำร้าย และเวียนไปดูที่เจาะอุโมงค์เสมอกลัวท่านจะหนี เมื่อไปบ่อยเข้า เห็นท่านทำงานโดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยากทั้งกลางวันกลางคืนก็แปลกใจ นานเข้าก็ชวนท่านคุย เป็นอย่างนี้หลายเดือน การสนทนาทำให้ทราบว่า ท่านมีความนึกคิดต่อสิ่งต่างๆ อย่างไร นานวันเข้าไม่รู้จะทำอะไร ชายหนุ่มก็ลงมือช่วยท่านซินก่ายสกัดหินไปพลาง เวลาผ่านไปอีกปีเศษ ชายหนุ่มก็ได้เลียนแบบคุณธรรมที่ตนได้พบเห็นอย่างไม่รู้ตัว และพบว่าท่านซินก่ายเป็นพระใจสิงห์จริง ในที่สุดอุโมงค์ลอดภูเขาก็สำเร็จ ผู้คนได้ใช้เป็นทางติดต่อกับตัวเมืองไม่ต้องลำบากอีกต่อไป ท่านซินก่ายเหลียวมามองชายหนุ่ม แล้วพูดว่า

“เราสกัดเจาะอุโมงค์สำเร็จแล้ว ขณะนี้ก็ถึงเวลาที่คอของฉันจะต้องหลุดจากบ่าตามสัญญาแล้ว”
“หลวงพ่อจะให้ผมตัดศีรษะของผู้ที่เป็นอาจารย์ของผมได้อย่างไรครับ ?” ชายหนุ่มก้มลงกราบน้ำตานองหน้า

ปัจจุบัน ถ้าใครได้ไปเมืองบูเส็นที่ญี่ปุ่น ก็จะพบอุโมงค์ที่มีประวัติการเจาะด้วยแรงคน ในสมัยแรกคดเคี้ยวไม่เกลี้ยงเกลา ปัจจุบันเป็นอุโมงค์กว้าง 30 ฟุต สูง 20 ฟุต เจาะทะลุภูเขายาว 2,280 ฟุต

ท่านซินก่ายเจาะอุโมงค์ทะลุแล้ว ท่านล่ะครับ เจาะตัวเองทะลุแล้วหรือยัง ?

ฐิตา:

                 

ผู้เดินตาม

มีสามเณรรูปหนึ่ง เดินทางไปกับอาจารย์ของตนที่เป็นพระอรหันต์ สามเณรแบกถุงย่ามเดินตามหลังอาจารย์ ระหว่างทางได้คิดตั้งความปรารถนาพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในขณะที่คิด พระอรหันต์ผู้เป็นอาจารย์ก็เรียกถุงย่ามมาถือไว้เอง แล้วให้สามเณรเดินนำหน้า ตัวท่านเองเดินตามหลังเดินไปได้สักพัก สามเณรกลับคิดว่า พุทธภูมินั้นไม่ใช่ภูมิที่จะบรรลุได้ง่ายๆ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีหลายอสงไขยกัลป์ กว่าจะได้ตรัสรู้ คิดท้อถอย จึงคิดปรารถนาแต่เพียงอรหัตภูมิเท่านั้น ฝ่ายพระอรหันต์ผู้อาจารย์ ก็เรียกสามเณรให้กลับมาถือย่ามเดินตามหลังท่านตามเดิม เดินไปได้อีกหน่อย สามเณรองค์นั้นก็กลับคิดว่า จะท้อถอยไปทำไม เมื่อตั้งใจมุ่งต่อพระโพธิญาณแล้วก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคบรรลุให้ได้ พอคิดเช่นนั้น อาจารย์ก็กลับเรียกย่ามไปถือ และให้สามเณรเดินนำหน้าอีก สามเณรผู้เป็นศิษย์ นึกแปลกใจในการกระทำของอาจารย์ จึงถามขึ้นว่า

“ท่านอาจารย์ทำเช่นนี้ประสงค์อะไร กระผมไม่เข้าใจเลย”
“เจ้าไม่รู้หรือว่า เมื่อเจ้าปรารถนาพระโพธิญาณ จิตเจ้าสูงและยิ่งใหญ่กว่าเรา เราได้เพียงอรหัตภูมิ แม้จะหมดอาสวะแล้วก็ตาม ในฐานะที่เราเป็นอรหันต์ จึงต้องเคารพผู้ที่มีปณิธานต่อพุทธภูมิเดินนำหน้า” อาจารย์อธิบาย

“กระผมเป็นเพียงปุถุชน และนี่ก็เป็นเพียงความตั้งใจเท่านั้น ยังไม่ได้บรรลุสักนิด ไฉนท่านอาจารย์จึงคิดเช่นนั้น” สามเณรแย้ง
“เจ้าอย่าดูแคลนในสิ่งที่เป็นเพียงความปรารถนา เมื่อใจเกิดธรรมย่อมเกิด เมื่อใจดับธรรมย่อมดับ อำนาจใจที่มุ่งต่อพุทธภูมิแม้เพียงชั่วขณะจิต ก็จัดว่ายิ่งใหญ่แล้ว เราจึงต้องเคารพ” ท่านอาจารย์ตอบ

ท่านที่ชอบสาบานโปรดจำไว้ อย่าได้ดูแคลนจิตในขณะที่ท่านสาบาน พลังจิตสามารถส่งผลอย่างที่คาดไม่ถึงจริงๆ


ฐิตา:

               

ยังมีแสง

มีพระอาจารย์รูปหนึ่งแตกฉานในพระไตรปิฎกมาก คราวหนึ่ง ศิษย์ของท่านรูปหนึ่งได้ไปศึกษาเซ็น เมื่อสำเร็จผลแล้วก็กลับมาปฏิบัติรับใช้อาจารย์เดิมของตน วันหนึ่งท่านอาจารย์องค์นั้นกำลังค้นคว้าพระไตรปิฏกอยู่ในห้อง ก็มีผึ้งตัวหนึ่งกำลังบินวนเวียน เพื่อจะหาทางออกให้พ้นจากห้อง ผึ้งบินไปบินมาชนกับกระดาษแก้วที่หน้าต่าง วนเวียนไปมาหาทางออกไม่ได้ ศิษย์ผู้นั้นจึงกล่าวว่า

“ผึ้งตัวนี้โง่จริง มาบินหาทางออกในที่ๆ ไม่ใช่ทาง เพราะติดอยู่เพียงกระดาษแก้ว จะมามัวชอนไชหาประโยชน์อะไร?”
ศิษย์หมายเตือนอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์ก็ยังไม่เข้าใจ

วันหนึ่งท่านอาจารย์อาบน้ำอยู่ ก็เรียกศิษย์ผู้นั้นมาขัดถูตัวให้ ศิษย์ขัดถูไปก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า
“น่าเสียดาย วิหารสวยๆ ใหญ่ๆ เช่นนี้แต่ไม่มีพระพุทธรูปไว้บูชา”
อาจารย์ได้ยินก็หันมามองดูศิษย์ แต่ศิษย์กลับพูดต่อไปอีกว่า
“ถึงแม้ว่าไม่มีพระพุทธรูป แต่ก็ยังมีแสงสว่าง”

อาจารย์อดไม่ได้ จึงพูดขึ้นว่า
“เจ้าพูดอะไรกัน ตั้งแต่เจ้าไปเรียนเซ็นมานี่ ดูเจ้าแปลกไป ที่เจ้าพูดตะกี้นี้เจ้าหมายความว่าอะไร ?”
“ท่านอาจารย์ ท่านมีอุปการะคุณมาก ผมจะบอกความจริงให้ ที่ท่านอาจารย์ใช้เวลามากมายศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะท่านอาจารย์จะได้เพียงปัญญาที่เกิดจากการฟังและการนึกเท่านั้น แต่ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัตินั้นท่านอาจารย์ไม่มีเลย ผมจึงว่าเสียดายวิหารใหญ่ไม่มีพระพุทธรูป คือขาดความรู้แจ้งเห็นจริงในใจท่านเอง แต่ท่านอาจารย์ยังรู้สึกเอะใจ แสดงว่าท่านยังมีเชาว์รู้เท่าอยู่บ้าง ผมจึงว่าแม้จะขาดพระพุทธรูปแต่ก็ยังมีแสงสว่าง”

นิกายเซ็นถือว่าการเขย่าธาตุรู้ในตัวเอง ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ให้ผุดขึ้นมา เป็นจุดสำคัญที่สุด แล้วท่านล่ะคิดจะเขย่าบ้างหรือยัง ?

ฐิตา:

                 

สอนวิชาแบบเซ็น

มีขโมยที่เพิ่งจะหัดกระทำโจรกรรม ลอบเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีเพียงตาและหลาน เมื่อเข้าไปแล้วก็ลงไปแอบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงนอนของชายชรา บังเอิญชายชราได้อุ้มหลานมานั่งเล่นบนเตียงนอนนั้น หลานชายซึ่งยังเล็กกำลังเล่นผลส้ม ปรากฏว่าได้ทำผลส้มหลุดจากมือกลิ้งหายไปใต้เตียง ขโมยหน้าใหม่ตกใจคิดว่าถ้าปล่อยไว้ประเดี๋ยวชายชราก้มลงมาเก็บก็คงเห็นตนแน่ ก็เกิดปัญญาขึ้น จึงหยิบผลส้มออกไปวางข้างๆ รองเท้าของชายชรา ชายชราก้มลงไปเก็บ ขณะที่ก้มลงนั้น เท้าของแกก็ไปเหยียบถูกส้มที่วางอยู่ข้างรองเท้า แกรู้ทันที จึงพูดขึ้นว่า

“พี่ชายที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง ออกมาเสียดีๆ จะดีกว่า”
ขโมยตกใจ รู้ว่าเจ้าของรู้แล้วก็คลานออกมาแต่โดยดี กราบไหว้อ้อนวอนขอให้ยกโทษ ชายชราจึงว่า

“แกเป็นคนมีปัญญาเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงที่สุด แกเริ่มงานโจรกรรมมานานเท่าไรแล้ว ?”
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกครับ” ขโมยตอบ

“แกมีครูสอนบ้างไหม ?” ชายชราถาม
“ไม่มีเลย” หัวขโมยตอบ

“ไม่มีครูสอนก็มักพลาดอย่างนี้ ฉันประกอบโจรกรรมมาสิบกว่าปีแล้วไม่เคยถูกจับเลย วันนี้แกมาเข้าบ้านโจรอย่างฉัน แต่ฉันไม่เอาโทษแกหรอก” ชายชราเปิดเผยความจริง

หัวขโมยพอรู้เรื่องก็อ้อนวอนขอเรียนวิชาโจรกรรม ชายชราตกลง แต่มีข้อแม้ว่า แกสอนอะไรหัวขโมยจะต้องปฏิบัติตามทุกอย่าง แล้วก็กำหนดจะพาไปขโมยของที่บ้านเศรษฐีในคืนวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงเวลาทั้งสองก็ลอบเข้าไปในบ้านเศรษฐี ผู้คนกำลังนอนหลับสนิท ชายชราได้เปิดหีบสมบัติ ซึ่งเป็นหีบโบราณขนาดใหญ่ สามารถบรรจุคนได้สบาย แกขนเอาสมบัติออกจากหีบจนหมด แล้วสั่งให้หัวขโมยเข้าไปอยู่ในหีบ ชายชราปิดหีบสมบัติและลั่นกุญแจปล่อยทิ้งไว้ ตนเองรีบหลบหนีออกไป ฝ่ายขโมยพอถูกวิธีนี้เข้าก็ตกใจเป็นที่สุด คิดว่าเสียรู้ขโมยแก่เสียแล้ว จึงครุ่นคิดหาอุบายหาทางออกอยู่ครู่ใหญ่ก็คิดออก ด้วยสมัยโบราณ คนจีนไม่ว่าหนุ่มหรือแก่จะไว้ผมยาวกันทั้งนั้นและรัดเกล้าเป็นมวยไว้บนศีรษะ หัวขโมยหนุ่มจึงแก้รัดเกล้า แล้วปล่อยให้ผมสยายยาวรุงรัง ฉีกเสื้อผ้าขาดวิ่นให้ดูคล้ายภูตผี แล้วทำเสียงตึงตังอยู่ในหีบ ข้างเศรษฐีได้ยินเสียงก็ตกใจ งัวเงียลุกขี้นมาเปิดหีบดูพอหีบเปิดเจ้าขโมยก็ทำเสียงกรีดร้องหลอกหลอน จนเศรษฐีขวัญหนีดีฝ่อคิดว่าเป็นปีศาจ เลยล้มสลบลง ขโมยหนุ่มได้โอกาสก็รีบหลบหนีออกไป และไปต่อว่าชายชราต่างๆ นานา ชายชราจึงอธิบายว่า

“ถ้าฉันไม่ทำกับแกเช่นนั้น ปัญญาของแกจะเกิดหรือ แกจงรู้เถิดว่าความสามารถนั้นถ่ายทอดกันไม่ได้ เพราะเป็นของแต่ละคน ฉันทำเช่นนี้ก็เพื่อปลุกปัญญาแกให้เกิด เมื่อถึงคราวอับจนจะได้นำออกมาใช้แก้ไขได้เอง แกจะมัวแต่พึ่งคนอื่นตลอดเวลาจะมีประโยชน์อะไร ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนแนะนำแกจะมิตายหรือ เมื่อถึงคราวอับจนแกสามารถหลุดออกมาได้เช่นนี้จึงใช้ได้”
ขโมยหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจตลอด

การสอนแบบเซ็น จะไม่ใช้วิธีแบบป้อนข้าวป้อนน้ำเด็ดขาด แต่จะใช้วิธีตั้งโจทย์ให้ศิษย์ขบคิดเอาเอง โดยไม่แนะอะไรให้ทั้งสิ้นขบปัญหาแตกเมื่อไรก็สำเร็จเมื่อนั้น เซ็นจึงมีปริศนาธรรมมากมาย
ท่านพร้อมที่จะไปกระทำโจรกรรมกับขโมยเฒ่าหรือยัง ?

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version