แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
นิทานเซ็น :จากมุมสงบ Kitty's Home
ฐิตา:
ขอเว้นสักคน
ชาวนาคนหนึ่ง ภรรยาถึงแก่กรรมลง เขามีความเศร้าโศก คิดถึงภรรยาเขามาก จึงตกลงใจประกอบพิธีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ เขาได้นิมนต์พระภิกษุนิกายเท็นได มาประกอบพิธีที่บ้านหลังจากพระทำพิธีสวดมนต์จบลงแล้ว ชาวนาได้ถามพระว่า
“ท่านคิดว่าภรรยาของผม จะได้รับส่วนบุญจากการทำพิธีสวดครั้งนี้ไหม?”
“ไม่เพียงแต่ภรรยาของท่านเท่านั้น ที่จะได้รับส่วนบุญจากการสวดครั้งนี้ แม้แต่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็ย่อมมีส่วนได้รับผลบุญครั้งนี้ด้วยเช่นกัน” พระภิกษุตอบข้อข้องใจ
“ถ้าเช่นนั้น” ชาวนาแย้งขึ้นด้วยความไม่สบายใจ
“ภรรยาของผม ก็คงได้รับผลบุญไม่เต็มที่ซิครับ”
พระภิกษุพยายามอธิบายให้ชาวนาเข้าใจ ว่าเป็นพุทธประสงค์ที่จะแผ่เมตตา โดยให้ผลบุญเหล่านั้นตกไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่เลือกหน้า เมื่อพระภิกษุอธิบายจบลงแล้ว ชายชาวนาก็กล่าวขึ้นว่า
“กระผมก็คิดว่าเป็นคำสอนที่ดีอยู่หรอก แต่จะกรุณายกเว้นสักคนจะได้ไหมครับ คือกระผมมีเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่ง มันหยาบคายและชอบเอาเปรียบผมมาก ถ้าท่านจะกรุณายกเว้น อย่าเอาเจ้าหมอนั่นเข้าไปไว้ในหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นได้ก็คงจะดี”
ขึ้นชื่อว่า ตัวกู ของกู ยากที่จะปลดเปลื้องออกได้ง่ายๆ เสียจริง เวลากรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลหลังจากทำบุญ ท่านมีข้อแม้บ้างหรือเปล่า!
ฐิตา:
ใครชนะ ?
ในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อน มีประเพณีอย่างหนึ่งของพระภิกษุนิกายเซ็น คือ พระภิกษุอาคันตุกะ ที่เดินทางมาถึงที่วัดใด จะต้องตอบปัญหาธรรมชนะพระภิกษุที่อยู่ก่อน จึงจะมีสิทธิ์เข้าพักได้ ถ้าแพ้ก็ต้องเดินทางหาวัดใหม่ต่อไปวันหนึ่ง มีพระอาคันตุกะองค์หนึ่ง จาริกมาจากที่ไกลถึงที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น มีพระภิกษุพี่น้อง 2 องค์อาศัยอยู่ องค์พี่เป็นผู้คงแก่เรียนรอบรู้แตกฉานมาก องค์น้องนอกจากจะตาบอดข้างหนึ่งแล้ว ยังมีสติปัญญาค่อนข้างทึบอีกด้วย เมื่อทราบระเบียบว่า จะต้องมีการโต้ธรรมะกันก่อนเข้าพักอาศัย พระอาคันตุกะก็ยินดีปฏิบัติตาม แต่เนื่องจากพระองค์พี่เหน็ดเหนื่อยจากการปฏิบัติงานมาทั้งวัน จึงได้มอบให้พระองค์น้องทำหน้าที่โต้ปัญหาธรรมแทน และได้แนะให้พระองค์น้องใช้วิธีโต้ปัญหาแบบ “เงียบ”
พระทั้งสององค์จึงไปยังที่บูชา จุดธูปบูชาพระรัตนตรัย เสร็จแล้วการโต้ปัญหาธรรมะก็เริ่มขึ้น ชั่วครู่เดียวพระอาคันตุกะก็เดินออกไปหาพระองค์พี่ แล้วกล่าวว่า
“น้องชายท่านเก่งเหลือเกิน ผมยอมแพ้แล้ว ”
“ท่านโต้ปัญหากันว่าอย่างไรล่ะ” พระองค์พี่ถาม
พระอาคันตุกะจึงชี้แจงว่า
“ทีแรกผมชูนิ้วขึ้นมาก่อนหนึ่งนิ้ว ซึ่งหมายถึงพระพุทธ น้องชายของท่านชูสองนิ้วตอบ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมด้วย ผมจึงชูสามนิ้วตอบซึ่งหมายถึงว่าถ้าจะให้ครบ ก็ต้องมีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วย คราวนี้น้องชายท่านกลับชูกำปั้นมาที่หน้าผม ซึ่งหมายความว่า จะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ตาม ก็ต้องมารวมเป็นหนึ่งเดียว คือสัจธรรม ผมจึงว่าน้องท่านเป็นผู้ชนะ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่”
พระภิกษุอาคันตุกะกล่าวแล้ว ก็ลาพระภิกษุองค์พี่เดินทางต่อไปสักครู่ พระองค์น้องก็เข้ามาหาพระพี่ชายอย่างเร่งรีบ แล้วถามหาพระอาคันตุกะว่า
“เจ้าหมอนั่นมันไปไหนแล้วล่ะ ?”
“เธอชนะเขาแล้วไม่ใช่หรือ ?” พระผู้พี่ถามด้วยความสงสัย
“ชนะกะผีอะไรล่ะ” พระองค์น้องโกรธ
“เธอโต้ปัญหากับเขาว่าอย่างไรล่ะ?” พระองค์พี่ถามต่อ
“โต้อย่างไรนะหรือ” พระองค์น้องตะโกน
“พอเห็นหน้าผมเท่านั้น มันก็ชูนิ้วเดียวมาที่หน้าผม ซึ่งมันดูหมิ่นว่าผมมีตาข้างเดียว ผมสู้อดทนเพราะเห็นว่าเป็นแขก จึงชูตอบไปสองนิ้ว แสดงความยินดีที่เขามีตาครบบริบูรณ์ แทนที่มันจะรู้ตัว มันกลับชูนิ้วกลับมาอีกสามนิ้ว ซึ่งหมายความว่า ทั้งผมและมันมีตารวมกันอยู่สามตา อย่างนี้ไม่ใช่เยาะเย้ยแล้วจะเรียกว่าอะไร ผมเหลืออดจริงๆ จึงชูกำปั้นขึ้นมาจะต่อยหน้ามันสักหน่อย แต่มันกลับวิ่งออกมาเสียก่อน”
พระที่แท้นั้น ท่านมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะไปทั้งหมด แต่พระที่พบเห็นในปัจจุบัน ส่วนมากจะเป็นแบบพระองค์น้องเสียทั้งนั้น
ฐิตา:
ยิ้มครั้งเดียว
ท่านอาจารย์โมกุเย็น เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายเซ็นองค์หนึ่งและตลอดชีวิตของท่านๆ ไม่เคยยิ้มเลย เมื่อตอนที่ท่านเจ็บหนักและจวนจะสิ้นใจ ท่านได้พูดกับศิษย์ที่มาห้อมล้อมใกล้ชิดรอบตัวท่านว่า
“พวกเจ้าก็ได้เรียน ศึกษาธรรมะกับข้ามาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว เจ้าจงแสดงความหมายอันแท้จริงของคำว่า เซ็น อย่างถูกต้องและชัดเจนที่สุดให้ข้าดูซิ ใครก็ตามที่สามารถแสดงได้ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจความหมายของ เซ็น ได้อย่างถูกต้องชัดเจนที่สุดแล้ว เขาจะเป็นผู้ที่ได้รับมอบบาตร และจีวร สืบจากข้าต่อไป”
บรรดาศิษย์ทั้งหลายที่ห้อมล้อมอาจารย์ ต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าแสดงออกมาได้ทันใดนั้นก็มีศิษย์คนหนึ่งชื่อว่า อันจู เป็นผู้ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์โมกุเย็นมาช้านาน ก็ได้เขยิบตัวเข้าไปใกล้ และใช้มือเลื่อนถ้วยยาเข้าไปใกล้ตัวท่านอาจารย์ 2-3 นิ้ว แสดงการตอบคำถามของท่านอาจารย์
ใบหน้าของท่านอาจารย์ เคร่งเครียดมากขึ้นและถามว่า
“เจ้าเข้าใจเพียงเท่านี้นะหรือ ?”
อันจู จึงกลับยื่นแขนออกไป แล้วลากถ้วยยากลับมาไว้ที่เดิม
คราวนี้ บรรดาศิษย์ต่างพากันประหลาดใจ เพราะเห็นใบหน้าท่านอาจารย์สดใสขึ้น มีรอยยิ้มปรากฏ ท่านได้กล่าวว่า
“มิเสียแรงที่เจ้าอยู่กับข้ามาสิบกว่าปี เจ้าไม่เคยเห็นตัวจริงของข้าเลย จงรับบาตรและจีวรนี้ไป เพราะมันเหมาะกับเจ้า”
พอพูดจบ ท่านอาจารย์โมกุเย็นก็ถึงแก่มรณภาพ
ท่านรู้หรือยังว่าที่ท่านอันจูเลื่อนถ้วยยาเข้าไปหาท่านอาจารย์ และเลื่อนถ้วยยากลับมาไว้ที่เดิมนั้น หมายความว่าอย่างไร ? ท่านอาจารย์โมกุเย็นใกล้จะสิ้นใจอยู่แล้ว ยังจะมาห่วงสังขารอยู่อีกหรือ !
ฐิตา:
หนามบ่งหนาม
ศิษย์ของท่านโซเย็น ซากุ คนหนึ่ง ได้เล่าเรื่องการเรียนในสำนักเก่าที่ตนเคยเล่าเรียน ให้ท่านอาจารย์ฟังว่า
“พวกครูของกระผมที่นั่นชอบนอนกันในตอนบ่ายทุกบ่าย ครั้นพวกกระผมไปถามท่านว่า ทำไมอาจารย์จึงชอบนอน ครูของผมก็มักจะตอบว่า ฉันไม่ได้นอน แต่ฉันกำลังเดินทางไปสู่เมืองในความฝันเพื่อพบปะกับบรรดานักปราชญ์ต่างๆ ในอดีต เหมือนที่ท่านขงจื้อได้เคยกระทำมา และท่านขงจื้อก็จะจดจำเอาคำสอนของนักปราชญ์เหล่านั้นมาสอนลูกศิษย์อีกที”
ศิษย์คนนั้นเล่าต่ออีกว่า
“บังเอิญบ่ายวันหนึ่งอากาศร้อนจัด พวกเราบางคนเกิดง่วงและหลับไป พอดีครูของพวกกระผมมาพบเข้า ก็ดุและบริภาษด้วยถ้อยคำต่างๆ นานา พวกนักเรียนเหล่านั้นจึงได้ตอบครูว่า
‘พวกเราก็ได้ไปในเมืองแห่งความฝัน เพื่อพบกับนักปราชญ์สมัยก่อนเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ขงจื้อเหมือนกัน’ ”
ครูของพวกเราก็ถามว่า
“แล้วได้ความจากนักปราชญ์เหล่านั้นว่าอย่างไร ?”
พวกเราคนหนึ่งจึงได้ตอบว่า
“เราได้ถามท่านนักปราชญ์โบราณเหล่านั้นแล้ว ว่าครูของพวกเราได้มาพบท่านทุกบ่ายหรือเปล่า ท่านนักปราชญ์เหล่านั้นกลับตอบว่า ไม่เคยเห็นหน้าครูคนใดมาหาเลย”
ในตอนบ่ายๆ ท่านชอบเดินทางไปหาท่านนักปราชญ์โบราณอยู่เสมอฯ อีกหรือเปล่า ระวังจะพบกับเจ้านายที่นั่นนะครับ จะหาว่าไม่เตือน
ฐิตา:
นิทานเซ็น :เสียงของมือข้างเดียว
โพสท์ในเวปกองทัพพลังจิต โดยคุณ Kamen rider เมื่อ 10-01-2005
ท่านมามิยา ได้เข้าไปหาอาจารย์ เพื่อขอคำแนะนำสั่งสอนเกี่ยวกับเซ็น ท่านอาจารย์ก็ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแต่ตั้งปริศนาธรรมให้ไปขบคิดว่า
"เสียงของมือข้างเดียว เป็นอย่างไร?"
ท่านมามิยา ได้พยายามขบคิดเป็นเวลานาน ก็ยังไม่อาจหาคำตอบได้ ท่านอาจารย์รำคาญมาก จึงบอกเขาว่า
"เจ้ายังใช้ความเพียรไม่เต็มที่ เพราะยังมัวพะวงอยู่กับเรื่องอาหาร ทรัพย์สมบัติ และชื่อเสียงต่างๆ อยู่อย่างนี้ เจ้าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร เจ้าควรไปตายดีกว่า"
ท่านมามิยา จึงกลับไปพยายามใช้สมาธิขบคิดปัญหานี้ใหม่ ต่อมาเมื่อพบท่านอาจารย์อีก ท่านอาจารย์ก็ถามอีกว่า
"เจ้าแก้ปัญหาไปได้เพียงใดแล้ว?"
ทันใดนั้นท่านมามิยา ก็ล้มตัวลงนอนทำเป็นตายทันที เมื่อท่านอาจารย์เห็นเช่นนั้น ก็กล่าวขึ้นว่า
"โอ! เจ้าตายสนิทเลยนะ แต่ว่าเสียงของมือข้างเดียวน่ะเป็นอย่างไร?"
ท่านมามิยา ลืมตาขึ้นมองท่านอาจารย์ แล้วตอบว่า
"กระผมยังแก้ปัญหาข้อนั้นไม่ได้เลยขอรับ
"เฮ้!" ท่านอาจารย์เอ็ดตะโรทันที"คนตายน่ะ พูดไม่ได้ดอก ออกไปให้พ้น"
ท่านอาจจะคิดว่าเสียงของมือข้างเดียว ก็เหมือนกับการตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง แต่ยังไม่ใช่ เพราะนั่นยังง่ายเกินไป ถ้าเช่นนั้นเสียงของมือข้างเดียวเป็นอย่างไร?
:http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-zen-55.htm
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version