ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ (ในเมื่อไม่จำเป็น) ท่านพุทธทาสภิกขุ  (อ่าน 2207 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

                             

ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ (ในเมื่อไม่จำเป็น) .
"ชุมนุมข้อคิดอิสระ" โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

เพราะว่า เป็นการทำเพื่อยึดเอาประโยชน์ ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม เป็นการก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอันหนึ่ง ซึ่งได้ผลมากแต่ลงทุน ทางฝ่ายวัตถุน้อยที่สุด ไปมากอยู่ทางฝ่ายใจ ซึ่งจะแยกอธิบายดังนี้

ฝ่ายธรรมเช่น :
ข้อที่ 1. เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น
เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวาย เพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบ ๆ เคียง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อย ๆ ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวาย ศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลางเคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย  หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมาก ๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผัก แต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรา มีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อทดลองทำไปได้ ๒ - ๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อ มีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลัง เฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า "คนกินเนื้อสัตว์  เพราะแพ้รสตัณหา  กินเพราะตัณหา  ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย"

ข้อที่ 2. เป็นการฝึกในส่วน " สัจธรรม " คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตนเอง สัจจะในการกินผักนั้น เป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง "ดวงธรรมแห่งสัจจะ" ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้น การฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยม กว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่น ๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึก ทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุก ๆ วัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรม ต้องฝึกทุกวัน จึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้ การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืม พระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า " สัจจะเป็นคู่กับกาสาวพัสตร์ "

ข้อที่ 3 . เป็นการฝึกในส่่วน "ทมะ" ธรรม "ทมะ" คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อ ง่าย ๆ เช่น ข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูง ๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้ง ๆ จากชาวบ้านริมทะเลขึ้นไปกินทั้ง ๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวัน ๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าว ฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้ง ๆ  และขึ้นรา ที่พวกเขาอุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหน ๆ  ดังนั้น... ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวัน การข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน  โปรดทราบ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมา จงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิด การเลี้ยงพระในงานต่าง ๆ ข้าพเจ้าเคยเห็น เคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อ ส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แม้กระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อ คงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ควรรู้ไว้ด้วยว่า บรรดาพ่อครัวแม่ครัว และเจ้าภาพ เขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อ ชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิต ทั้งหลายร่วมมือกัน "เบ่งอิทธิพล"

ข้อที่ 4 . เป็นการฝึกในส่วน สันโดษ  สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวช ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลยเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และ ถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษและถ่อมตน  ดังนั้น... การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่าย ๆ จะแก้ได้หมด "สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต"

ข้อที่ 5 . เป็นการฝึกในส่วน จาคะ จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไป กว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย  ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่น ๆ

ข้อที่ 6 . เป็นที่ฝึกในส่วน " ปัญญา " ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษ ของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้  ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อ เพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาต่อเติม ปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่ไปนิพพานได้เพราะกินผัก แต่เป็นการกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุก ๆ วัน   แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่า ฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผัก ความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลว หรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผักเพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉยๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี ! เพราะฉะนั้น ฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้ และมีความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ  ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่ ?   เรื่องนี้ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่า อาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรง โรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

ฝ่ายโลก เช่น :
1. ผักมีคุณแก่ร่างกายยิ่งกว่าเนื้อหรือไม่วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็พอที่จะรับว่าจะทำให้มีโรคภัยน้อย มีกำลังแข็งแรง มีดวงจิตสงบกว่าเนื้อสัตว์ (ชาวอินเดียด้วยกัน ที่เป็นพวกกินเนื้อดุร้ายกว่าพวกที่เป็นพราหมณ์ ไม่กินเนื้อโดยกำเนิด) มีความหื่นในความอยาก-ความโกรธ- ความมัวเมาน้อยลงเป็นอันมาก

2. ทางเศรษฐกิจ ราคาผักกับเนื้อ ทราบกันอยู่แล้วว่าผิดกันเพียงไร ของดีไม่ใช่มีหลักว่าต้องแพงเสมอไป แต่ของแพงคือของสำหรับคนโง่ คนทะเยอทะยาน ของที่มีคุณภาพสมค่าหรือเกินค่า ไม่ใช่ของแพงแม้จะมีราคาเท่าไรก็ตาม และเป็นของสำหรับคนฉลาด อาหารเลวๆ ไม่ได้ทำให้คนโง่ลงเลย ยิ่งเนื้อและผักแล้ว เนื้อเสียอีกกลับจะทำไห้โง่ คือหลงรสของมันจนเคยชิน คนๆ เดียวกันนั่นเอง ถ้าเขาเป็นนักเสพผักจะเป็นคนเข้มแข็ง มีใจมั่นคง ไม่โยกเยกรวนเร ยิ่งกว่านักเสพเนื้อ (กินผักมากที่สุดกินเนื้อแต่เล็กน้อยเท่าที่จำเป็นจริงๆ ก็เรียกว่านักเสพผัก ผักหมายถึงผลไม้ น้ำตาลสด ขนม ฯลฯ แม้จะหมายถึงนมด้วยก็ได้)

3. ธรรมชาติแท้ๆ ต้องการให้เรากินผัก ขอจงคิดให้ลึกหน่อยว่า ธรรมชาติสร้างสรรค์พวกเรา ให้มีความรักชีวิตของตนทุกๆ คน เราควรเห็นอกของสัตว์ที่มีความรู้สึกด้วยกัน มิฉะนั้นก็ไม่มีธรรมเสียเลย ลองส่งดวงใจที่เป็นกลางๆ ไปทั่วใจสัตว์ทุกตัว ที่ต้องพรากผัว-เมีย-ลูก-แม่-พ่อ ฯลฯ โดยถูกฆ่าเป็นอาหารแล้วลองเทียบถึงใจเราบ้าง ถ้ามีพวกยักษ์ใหญ่มาทำแก่เราเช่นนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร? เราจะถึงกับร้องให้พระเจ้าช่วยหรือไม่ ถ้ามีพระเจ้าที่จะช่วยได้? และคิดสืบไปว่า เมื่อเราอาจช่วย หรืออาจเสียสละรสที่ปลายลิ้นเพื่อช่วยชีวิตสัตว์อื่น หรือผู้อื่นได้แล้ว ธรรมของมนุษย์ (สัตว์มีใจสูง) จะไม่ช่วยให้เราทำเพื่อเห็นแก่อกเขาและอกเราบ้างเทียงหรือ แม้พระพุทธองค์ก็ทรงบำเพ็ญพระเมตตาบารมีอย่างกว้างขวาง ทำไมเราจึงไม่ช่วยไรเมื่อเรารู้ว่าเราอยู่ในฐานะที่ช่วยได้ แม้ว่าไม่ช่วยก็ไม่บาปก็ตาม?

ธรรมชาติจะมีผักหญ้าและผลไม้ พอให้เราบริโภคพอเพียงเสมอ มนุษย์มากขึ้นๆ ทุกปี ส่วนสัตว์มีน้อยลงๆ ทุกปี โลกมนุษย์ขยายตัวออก โลกสัตว์เดรัจฉานหดสั้นเข้า ในที่สุดเนื้อจะไม่พอกันกิน ต้องเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ก็ที่ดินขนาดเท่ากัน สามารถเลี้ยงสัตว์พอเพื่อมนุษย์น้อยกว่าปลูกผักเพื่อมนุษย์ คิดดู แต่ไม่พอเพื่อเลี้ยงวัว 1 ตัว สำหรับกินเนื้อ และต้องหลายปี ปัญหาจึงไปตกหนักอยู่ที่เนื้อสัตว์จะไม่พอ หาใช่ที่ผักจะไม่พอไม่ แม้ปลาในมหาสมุทร ก็บอกสถิติตัวเองอยู่เรื่อยๆ มาแล้วว่าจะต้องขาดมือลง แต่ข้อสำคัญที่สุดนั้นคือมันไม่ให้คุณไปกว่าผักเลย มีนักปราชญ์ทางวิทยาศาสตร์คำนวณว่า เนื่องจากเกิดใหม่มากกว่าการตายในเวลานี้ได้มีจำนวนพลโลกเพิ่มขึ้นถึงปีละ 21 ล้านคน แต่ต่อไปจะเพิ่มมากทวีขึ้นอีก

ถ้าไม่มีเหตุใดมาทำให้จำนวนน้อยลง เป็นต้นว่า การสงครามหรือโรคภัยที่ร้ายแรงมาลดจำนวนลงเสียมากๆ เป็นพิเศษ ในอีกร้อยปีจะมีจำนวนคนถึง 5,000 ล้าน (ห้าพันล้าน) คน ในเวลานั้นพื้นดินทุกๆ แห่งจะต้องใช้เป็นที่ทำการเพาะปลูก เพื่อได้อาหารมาเลี้ยงมนุษย์ ไม่มีที่ดินและอาหารผักพอที่จะเลี้ยงสัตว์ มนุษย์จะต้องกินอาหารผักและข้าวโดยตรง แทนการกินเนื้อซึ่งเป็นการกินผักโดยทางอ้อม มหาเศรษฐีจึงจะมีนมและเนื้อกิน โดยเลี้ยงวัวไว้บนตึกชั้นสุดยอดหรือในสวนข้างๆ บ้าน

เวลานี้มีคนเพียงประมาณ 2,000 ล้านคน เรามีจำนวนคนที่อดอยากอยู่มากมายเพียงไร? อีกร้อยปีข้างหน้าเมื่อมีคนถึง 5,000 ล้านคน ภาวะของความจนจะเป็นอย่างไร ความจำเป็นจะบังคับให้คนต้องกินอาหารผักและเมล็ดข้าวเท่านั้น สำหรับภิกษุ ไม่จำเป็นจะต้องรับรู้มาถึงเหตุผลของฝ่ายโลกดังกล่าวมานี้ก็จริง แต่เพราะเป็นเพศนำของเพศอื่น จึงควรดำรงอยู่ในอาการที่เป็นฝ่ายข้างพ้นทุกข์สงบเยือกเย็นอยู่เสมอ ไม่เป็นคนดื้อต่อเหตุผล ไม่เป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นคนละเลยต่อการขูดเกลาความรู้สึกของธรรมดาฝ่ายต่ำ มีการเห็นแก่ตัวหรือความอร่อยของตัวเป็นต้น ไม่เป็นผู้หาข้อแก้ตัวด้วยการตีโวหารฝีปาก แต่จะเป็นคนรักความยุติธรรม รักความสงบ แผ่เมตตาไม่จำกัดวง ไม่จำกัดความรับผิดชอบ พร้อมด้วยเหตุผลอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น ภิกษุจึงไม่ควรนิ่งเฉยต่ออารมณ์ที่เกื้อกูลแก่ความก้าวหน้าในส่วนใจของตนแม้แต่น้อย การเว้นบริโภคเนื้อ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทรงห้ามหรือฝ่าฝืนพระบัญญัติ

-สำหรับ -ดวงใจที่ประสงค์เพื่อขูดเกลากิเลสของตน- ดวงใจที่ไม่เอาคนนอกส่วนมากเป็นประมาณ -ดวงใจที่ไม่แพ้ลิ้น -ดวงใจที่ไม่ประสงค์การตีโวหาร การไม่บริโภคเนื้อก็เป็นธุดงค์อย่างเดียวกับธุดงค์อื่นๆ ซึ่งทรงตรัสไว้ว่าเป็นการขูดเกลากิเลส แต่ก็ไม่ทรงบังคับกะเกณฑ์ให้ใครถือ แต่เมื่อใครถือก็ทรงสรรเสริญเป็นอย่างมาก เช่น ทรงสรรเสริญพระมหากัสสป ธุดงค์ 13 อย่าง บางอย่างเช่น เนสัชชิกังคะ ก็ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นพุทธภาษิตนัก แม้จำนวนสิบสามก็ไม่ใช่จำนวนที่ทรงแต่งตั้ง เมื่อเช่นนั้น การขูดเกลาด้วยการเว้นเนื้อก็เป็นสิ่งที่รวมลงได้ในธุดงค์ หรือมัชฌิมาปฏิปทานั้นเอง เพราะเข้ากันได้กับสิ่งที่ทรงอนุญาตในฝ่ายธรรม มิใช่ฝ่ายศีลซึ่งเป็นการบังคับ ท่านคงประหลาดใจหรือสงสัยว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่สนับสนุนมติของตนเอง จึงส่งเสริมให้ฝึกใจด้วยอาหารผัก ข้อนี้ขอตอบว่า เพราะเป็นโอกาสที่จะฝึกฝนทดลอง ขูดเกลา ได้ทุกวันนั่นเอง วิธีอย่างอื่นโดยมากเราต้องคอยระลึกขึ้นมา

ไม่ได้ผ่านมาเฉพาะหน้าเราทุกวันๆ เช่นอาหาร และอีกอย่างหนึ่งคนธรรมดาเราก็ติดรสอาหารกันทั้งนั้นมันเป็นเครื่องทดลอง หรือวัดน้ำใจเรา เปรียบเหมือนออกสงครามต่อสู้ข้าศึกอยู่เสมอ ถ้าไม่กลัวว่ามันเป็นเครื่องทดลองวัดน้ำใจของท่านเกินไปแล้ว ท่านคงเห็นพัองกับข้าพเจ้าทีเดียวว่าเราควรยึดเอาบทเรียนประจำวันบทนี้เป็นแน่ เพราะมันจะเป็นผู้เตือนให้เราฝึกมันทุกวันทีเดียว เป็นบทเรียนที่ยาก แต่เปิดโอกาสให้เราฝึกได้ทุกๆ วัน ท่านอาจถามข้าพเจ้าว่า เราจะไปนิพพานด้วยการกินผักกันหรือ?
          ข้าพเจ้าก็อาจตอบได้โดยย้อนให้ท่านตอบในตัวเองว่า เราจะไปนิพพานได้โดยต้องออกบวชเป็นบรรพชิต
          เท่านั้นแลหรือ? ถ้าท่านตอบว่าการบวชเป็นเพียงการช่วยให้เร็วเข้าเท่านั้น เพราะฆราวาสก็บรรลุมรรคผล
          นิพพานได้แล้ว ข้าพเจ้าก็พิสูจน์ให้ท่านได้ในทันทีว่าการกินผักก็อย่างเดียวกัน เพราะเป็นการฝึกใจช่วย

          ให้ไปถึงการชำนะตัณหาเร็วเข้า ดังกล่าวงแล้ว ถ้าใครจะพยายามพิสูจน์ว่า กินผักเพราะพระพุทธองค์ไม่ฉันเนื้อ
          หรือกินเนื้อเป็นบาปแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพออย่างเดียวกับท่าน เพราะเนื้อที่บริสุทธิ์ไม่บาป
          และพระองค์ก็ฉันเนื้อ ถ้าท่านยังแย้งว่า การกินผักไม่ได้เป็นการก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรม
          ข้าพเจ้ามีคำตอบแต่เพียงว่า ท่านยังไม่รู้จักตัวปฏิบัติธรรมเสียเลย ท่านจะรู้จักการกินผักซึ่งเป็นอุปกรณ์

          ของการปฏิบัติธรรม
อย่างไรได้ ขอให้ทราบว่า "การกินผักไม่ได้ถือเป็นลัทธิหรือบัญญัติ" เราฝึกบทเรียนนี้
          โดยไม่ได้สมาทาน หรือปฏิญาณ อย่างสมาทานลัทธิ หรือศีล มันเป็นข้อปฏิบัติฝ่ายธรรมทางใจ
          ซึ่งเราอาศัยหลักกาลามสูตร หรือโคตมีสูตร เป็นเครื่องมือตัดสินแล้ว ก็พบว่าเป็นแต่ฝ่ายถูก
          ฝ่ายให้คุณโดยส่วนเดียว เป็นการขูดเกลากิเลสซึ่งพระพุทธองค์สรรเสริญ แต่ถ้าใครทำเพราะยึดมั่น

ก็กลายเป็นสีลัพพตปรามาสยิ่งขึ้น และถ้าบังคับกันก็กลายเป็นลัทธิของพระเทวทัต ที่จริงหลักมัชฌิมาปฏิปทา สอนให้เราทำตามสิ่งที่เรามองเห็นด้วยปัญญาว่าเป็นไปเพื่อความขูดเกลากิเลสเสมอ แต่เรามองเห็นแล้วไม่ทำ ก็กลายเป็นเราไม่ปรารถนาดีไปเอง
ส่วนผู้ที่ยังมองไม่เห็นนั้นไม่อยู่ในวงนี้ มัชฌิมาปฏิปทาคือการทำดีโดยวงกว้าง!


วันนี้ข้าพเจ้าเขียนมาก จนคาดว่าบรรณาธิการจะรังเกียจเพราะจะแย่งเนื้อที่ของเรื่องแผนกอื่นไป จึงขอไว้อธิบายเพิ่มเติมในโอกาสหลังบ้าง แต่ขออย่างลืมหลักสั้นๆ ว่า เราไม่ได้เสพผักเพื่อเอาชื่อเสียงว่าเป็นนักเสพผัก (Vegetarian) เลย เราก้าวหน้าในการขูดเกลาใจเพื่อยึดเอาประโยชน์อันเกิดแต่การมีกิเลสเบาบางอีกส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อท่านผู้ใดจะวิเคราะห์เหตุผลทั้งหลายของข้าพเจ้า โปรดใช้กฎประจำใจอันนี้เข้าผสมด้วยเสมอ และอย่าลืมว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนฝ่ายโลกนาถภิกษุ หรือฝ่ายใคร นอกจากฝ่ายที่มีเหตุผล แล้วและตั้งหน้าปฏิบัติด้วย ความเชื่อความนับถือตนเองเท่านั้น และข้อสำคัญที่สุดก็คือ ข้าพเจ้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านเป็นนักผัก เป็นแต่แสดงความคิดเห็นของข้าพเจ้าในเรื่องนี้ ขอร้องเพียงให้ท่านนำไปคิดดู เมื่อท่านคิดแล้วในกาลต่อไป

ท่านจะเป็นนักผักหรือนักเนื้อ ก็แล้วแต่เหตุผลของท่าน พุทธบุตรที่แท้จริงคือ "คนมีเหตุผล" ที่จริงนักเนื้อก็ไม่ใช่ผู้อันใครจะพึงรังเกียจ เช่นเดียวกับผู้ไม่สามารถทานธุดงค์อย่างอื่น เช่น ทรงไตรจีวร หรืออยู่โคนไม้เหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องที่ไม่บังคับ.



sams http://www.samathi.com/content/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B8-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
อนุโมทนาครับพี่แป๋ม  :13:
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~