อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > มาลาบูชาครู
ความสุขที่ไม่ควรสูญเสีย (พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส)
ฐิตา:
ความสุขที่ไม่ควรสูญเสีย
(พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส)
มงคลส่งผลสู่ความสุข
**ทันทีที่ความเอาใจใส่รวมตัวลงสู่จิตใจ
เจียระไนแต่ละขณะด้วยสติสัมปชัญญะอันสว่างเรืองรอง
มงคลทั้งผองล้วนถักร้อยต่อเนื่องอย่างมีระเบียบ
ไม่ใช่สิ่งบังเอิญ
โชคและโอกาส เป็นเพียงทาสที่ซื่อสัตย์ ซึ่งงอกงาม
ตามอุดมมงคล**
ชีวิตนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ หรือว่าบังเอิญเดินไปซื้อมีด หรือบังเอิญเดินไปซื้อมาลัยดอกไม้ การรู้จักเลือกคบคนที่เป็นมงคลและอัปมงคลก็เช่นเดียวกัน การคบคนพาลหรืออยู่ใกล้ชิดคนพาลนั้นนับว่าเป็นอัปมงคลอย่างยิ่ง เพราะจะนำสิ่งอัปมงคลมาสู่ตัว นับตั้งแต่การหลอกลวง ยาเสพติด ถ้อยคำเท็จ การใส่ร้ายลับหลัง หรือสนทนาแต่ความชั่วที่ไม่มีประโยชน์ ยั่วเย้าหรือยั่วยุให้เกิดโทษแก่จิตใจ
ดังนั้น การอยู่ในถิ่นที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้ได้พบคนดี และได้ฟังในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เพราะทุกคนล้วนมีทุนแห่งความบริสุทธิ์อยู่ในใจก่อนแล้ว การตั้งปณิธานเอาไว้ในความดี หรือรักษาความดีความสะอาดสดใสในใจที่มีอยู่ก่อนนั้น เป็นการตั้งสติที่จะดูแลจิตใจอันปกติสุข
**ไม่คลุกคลีกับคนพาลหรือเรื่องไร้สาระ มีสติสัมปชัญญะตั้งเป้าหมายที่จะเกื้อกูลปัญญาให้กว้างขวางขึ้น**
ในเมื่อทุกวันชีวิตจำเป็นจะต้องรับรู้ รู้สึก จดจำ หรือนำมาคิด ก็ควรจัดทิศทางชีวิตให้รับรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อำนวยต่อความรู้สึกที่เป็นสุขไม่เป็นโทษ ด้วยการจัดระเบียบวินัยในชีวิตประจำวัน ที่จะมีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของสติสัมปชัญญะในปัจจุบันขณะอยู่ เสมอๆ
องค์ประกอบของสิ่งที่เป็นมงคลนั้น ทำให้ความชั่วไม่สามารถเข้ามาครอบงำใจได้ หรือไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอัปมงคล
**แต่สมควรได้รับความสุขจากมงคลอันควรจะได้รับ หรือฉลาดที่จะนำความเป็นมงคลมาสู่ชีวิต รู้จักใช้เหตุปัจจัยอย่างมีเหตุผล **
หากจัดระเบียบชีวิตให้อุดมมงคล ย่อมส่งผลไปสู่ความสุขอันสมควรจะได้รับจากเหตุอันเป็นมงคลเหล่านั้น
หลวงพ่ออำนาจ โอภาโส
หนังสือ “ความสุขที่ไม่ควรสูญเสีย”
ฐิตา:
ดุจวิถี.. นายช่างร้อยดอกไม้
โดย พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส
ขอเจริญพรกับทุกท่านและขออนุโมทนากับทุกคนที่ได้มาฟังธรรมร่วมกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่มาใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ หากเราใช้เวลาโดยสูญเปล่า เราจะขาดทุนมาก เพราะว่าเราได้พลังงานมาฟรีๆ อยู่ตลอดเวลา จากลมหายใจของเพื่อนๆ รอบข้างเรา ที่หายใจออกมาแล้วเราหายใจเข้าไป จากใบไม้หลายๆ ล้านใบ จากเมฆฝนกลายเป็นสายน้ำ มีแต่ของที่เราได้มาจากธรรมชาติฟรีๆ ทั้งนั้น จากแสงอาทิตย์ที่มีเตาปฏิกรณ์ปรมาณูอยู่ใจกลางจักรวาลไกลโพ้นมาสัมผัสกับผนังโซล่าเซลล์ที่มีอยู่ในร่างกายเรา ไม่มีใครจ่ายค่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไม่มีใครจ่ายค่าลมหายใจ แต่ถ้าเราได้พลังงานนี้มาแล้ว ไม่ใช้ชีวิตให้สมประโยชน์ เราจะขาดทุนมากเลย
เคยมีคนคิดว่าเกิดมาแล้วจะไม่ทำอะไร ไม่ทำงาน เพราะเขาเกิดมาเป็นลูกเศรษฐีในตระกูลใหญ่โต แล้วเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ คือพยายามไม่ทำงานอะไรเลยทั้งชาติ ขนาดตัวเองก็ยังไม่อยากจะดูแลให้สะอาดเรียบร้อย ชีวิตจะค่อยๆ ตกต่ำ จิตมันตกลง เพราะไม่คิดจะทำอะไร สิ่งนี้น่าเสียดายกับเวลาในหนึ่งชาติของเขา ใครที่คิดว่าเกิดมาแล้วจะได้อะไรนี่ก็น่าหวาดเสียวมาก เมื่อสองวันก่อนมีคนโทรศัพท์มาจากต่างประเทศ คือเขาคิดว่าเขาทำงานล้มเหลวในชาตินี้ เพราะเขาไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไรเลย ซึ่งเขาคิดผิดนะ ถ้าเขาคิดว่าเขาจะได้เขาล้มเหลวตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ แต่ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองใหม่แค่นิดเดียว คือถ้าเขาคิดว่าเขาจะให้และเสียสละ เขาจะไม่ล้มเหลวเลย เขาจะชนะแล้วในชาตินี้ ความสำเร็จไม่ได้หมายถึงการมีเงินมาก หรือมีหน้าที่การงานที่ดี หรือมีคู่ครองที่ดี ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด
หลวงพ่อรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เขารักกับผู้ชายที่เป็นโรคมะเร็งซึ่งจะต้องตายแน่นอน แต่ผู้หญิงตัดสินใจที่จะแต่งงานด้วยเป็นคนไทยนะ เขาไม่ได้คิดแค่ว่า การมีคู่ครองที่ดีคือการที่คู่ต้องอำนวยให้เขาพบความสำเร็จร่ำรวยและคู่ครองจะต้องดูแลเขา แต่เขาแต่งงานเพื่อต้องการที่จะดูแลคนรักของเขา ชีวิตที่คิดว่าจะเสียสละเป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ถ้าเขาตายลงในชาตินี้ เขาได้ทำหน้าที่ของการเสียสละ เขาได้มีจิตใจที่เบิกบาน ถ้าชีวิตเขายังต้องเดินทางต่อไป จิตใจเขาจะคะแนนสูงลิบเลย การที่เขาจะมีชีวิตอยู่จากการได้รับพลังงานมาฟรีๆ สำคัญมาก เราได้ของฟรีมาทุกวัน เราต้องจ่ายออกไปโดยการเสียสละ มันเป็นมุมมองที่ง่ายมาก ถ้าเรามัวแต่ไปคิดว่าชาตินี้เราต้องได้อะไร เราจะล้มเหลว ถึงแม้ว่าเราจะร่ำรวย แต่เราไม่ได้เคยเสียสละอะไร เราจะรู้สึกตกใจในวันตายของเรา
เราควรตั้งเป้าหมายให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นว่า เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น เพราะว่าเราได้ของฟรีมา ของฟรีนี้ถ้าเรานำมาเปลี่ยนเป็นการทำประโยชน์ เราจะได้ความสุขกลับมาเป็นอริยทรัพย์ ได้ความภาคภูมิใจ ได้ศรัทธาต่อตัวเอง การศรัทธาต่อตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ บางทีการอยู่ด้วยกันเราอาจจะคิดว่าเราจะได้อะไรจากเขา คิดอย่างนั้นมันแพ้ตลอด แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพลิกกลับมามองว่า เราจะเสียสละ มันจะปลุกเร้าศรัทธาที่มีต่อตัวเราให้เข้มแข็งขึ้นมาทันทีเลย แล้วศรัทธาที่คนอื่นมองเราก็จะได้รับกลับมาทั้งหมด ผู้ให้จะรู้สึกเบิกบาน อย่านึกว่าคนที่ทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นคนแห้งแล้งห่อเหี่ยวหรือว่าเหงาๆ มันไม่ใช่เลยนะ เขากลับเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเบิกบานเปรียบเหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ของแต่ละนาที
บางทีปัญหามันเกิดมาจากการคิดปรุงแต่งของเราเองที่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจ ความคิดอย่างนั้นจะทำให้รู้สึกแห้งแล้งแต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า ปัญหาทำให้เราได้พัฒนาตัวเรา ชีวิตมันจะสุกสกาวสดใส มันจะมองสิ่งรอบด้านอย่างท้าทาย มองว่าเราโชคดี ไม่ควรจะหนีจากปัญหา เพราะปัญหามันท้าทายเรามาก ถ้าเราหนีมันจะหมดรสชาติของชีวิต จะแห้งแล้งจริงๆ เลยนะ แต่ถ้าสามารถอยู่กับปัญหาอย่างเบิกบานได้ จะเห็นว่าปัญหามันจะพัฒนาตัวเรา เราจะคลี่ม้วนแนวทางแก้ปัญหาที่จะทำให้เกิดความสุขกับเราได้ ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่มีใครที่จะกล้าพูดคำว่าความสำเร็จได้จริงไหม มันจะพูดคำว่าความสำเร็จได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่เคยผ่านอะไรมาเลย ต่อเมื่อเราได้ผ่านปัญหามาเราถึงจะกล้าพูดได้ว่าเราสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นความสำเร็จมันจะต้องผ่านกระบวนการที่เราได้พบปัญหา อย่าหนีปัญหานะ จงภูมิใจกับมันเหมือนกับนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ เราต้องทำใจให้เบิกบานทุกสถานการณ์ ทุกปัจจุบันขณะ
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “สติ” หรือคำว่า “ปัจจุบันขณะ” หรือคำว่า “ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด” และอาจสงสัยว่าต้องทำอย่างไร ปัจจุบันมันคืออะไร แล้วเราไม่ต้องมีอนาคตหรือ ไม่ต้องตั้งเป้าหมายหรือทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วเป้าหมายมันอยู่ที่ไหนกัน บางทีเราไม่เข้าใจคำว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนั้นทำอย่างไร อันดับแรก เราต้องมีเป้าหมายอยู่ในตัว ถ้าไม่มีเป้าหมายหรือมีเป้าหมายไม่ชัดเจนก็ถือว่าล้มเหลวเหมือนกัน เพราะหากเราตั้งเป้าหมายในชีวิตของเราไม่ชัดเจน นั่นเป็นข้อแรกของบาปแห่งความล้มเหลวเลย เพราะไม่รู้ว่าเราจะทำอะไร เพื่ออะไร เราจะล้มเหลวเพราะเราไม่มีจุดเริ่มต้น แต่ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้เป็นเหตุเพื่อผลลัพธ์จะเป็นอย่างนี้ บางคนตั้งเป้าหมายอย่างคนขาดปัญญา
คือมองแต่วัตถุอย่างเดียว ลืมไปว่าร่างกายมีทั้งสองส่วน คือ ทั้งร่างกายและจิตใจ เราจะตั้งเป้าหมายเพื่อไปปรนเปรอร่างกายอย่างเดียวไม่ได้ ถือว่าเป้าหมายผิดแล้วนะ เพราะว่ามันใช้ได้แค่ช่วงขณะสั้นๆ ของชีวิตเท่านั้นเอง แล้วพอถึงนาทีแห่งความตายเราจะล่มสลาย เพราะเราลืมตั้งเป้าหมายในส่วนที่เป็นนามธรรมเอาไว้ด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งเป้าหมายให้ดีมีคุณค่า เรื่องนี้สำคัญมากและอย่าลืมว่าไม่มีใครที่ทำอะไรสำเร็จด้วยตัวคนเดียวได้ มันต้องอาศัยเหตุโครงสร้างหลายอย่างที่เป็นปัจจัยของความสำเร็จ อย่างเช่น ความรัก การทำงานต้องมีความรัก ถ้าเราไม่มีคนที่รักเราก็ยากมากที่จะสำเร็จ ความรักมันเป็นเรื่องของนามธรรมแล้วเห็นไหม เราอย่าไปมองว่ามันเป็นเรื่องของเหตุผลเท่านั้นแล้วทิ้งส่วนที่เป็นนามธรรมไป อันนี้ถือว่าเราตั้งเป้าหมายไม่เป็น เพราะฉะนั้นเป้าหมายที่เราตั้งอยู่กับเพื่อนร่วมโลก อยู่กับเพื่อนร่วมงาน มันต้องมีความรัก
ฐิตา:
หลวงพ่อขอเล่าเรื่องส่วนตัว สมัยเป็นฆราวาสได้มีโอกาสไปบรรยายธรรมที่เสถียรธรรมสถานกับพระอาจารย์ดุษฎี เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านบวชมา 20 พรรษาแล้ว ท่านนั่งฉันกาแฟด้วยกันตอนเช้า หลวงพ่อเป็นฆราวาส ส่วนท่านเป็นพระผู้ใหญ่ เรารับกาแฟกันเสร็จ ท่านก็เก็บแก้วหลวงพ่อ (ซึ่งตอนนั้นเป็นฆราวาส) ไปล้างเลย หลวงพ่อรีบบอกพระอาจารย์ว่า เดี๋ยวผมล้างเอง ท่านบอกไม่เป็นไร ใครล้างก็เหมือนกัน นี่เป็นครั้งที่หนึ่งนะ โยมดูให้ดีนะ หลวงพ่อกำลังชี้ให้เห็นว่า การกระทำมันไม่ใช่แค่ด้านวัตถุอย่างเดียว ความรู้สึกด้านจิตใจนั้นสำคัญมาก เราอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หลวงพ่อสร้างงานศิลปะเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ขึ้นมานี้ ให้มีความสวยงาม แต่พอเป็นความงามมันไม่เล็กน้อยแล้วใช่ไหม เราก็รู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับความงามว่ามันมีค่าขนาดไหน ซึ่งมันเกิดจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นะ เมื่อกี้เล่าถึงท่าน พระอาจารย์ดุษฎีล้างแก้วหนึ่งใบ ถามว่าได้อะไรจากการล้างแก้วกาแฟหนึ่งใบ โยมว่าได้อะไร พอจะมองออกไหม ได้ความรักไปเต็มเปี่ยมไงล่ะ
ศาสนาพุทธสอนไว้ละเอียดมากเกี่ยวกับการอ่อนน้อม ถ่อมตน การขวนขวาย รับใช้นี้ก็ถือเป็นบุญนะ เพราะใจมันเบาและงาม เวลาเขาได้ความรักเขาได้อะไรโยม เขาได้ทั้งหมด ทั้งชีวิตทั้งจิตใจของเราไป ล้างแก้วกาแฟใบเดียว ถือว่าลงทุนน้อยมากเลย เราอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้
ดังนั้น เวลาเราตั้งเป้าหมาย เราอย่ามองแต่การกระทำด้านวัตถุ หรือมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไป หลวงพ่อมีโอกาสเจอท่านอาจารย์ดุษฎีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้หลวงพ่อบวชแล้ว ไปบรรยายที่พุทธมณฑลด้วยกัน ทางผู้จัดได้เตรียมที่จำวัดเป็นแอร์อย่างดีเลย และมีห้องแอร์ห้องเดียวเพราะอีกห้องมันเสีย พอท่านอาจารย์เห็นหน้าหลวงพ่อ ท่านอาจารย์บอกผมไม่ชอบนอนห้องแอร์ ผมชอบอยู่กับเด็กๆ และจะอยู่จนถึงตี 4 เลย พอเช้าขึ้นมาหลวงพ่อก็ได้ข่าวว่า ท่านถูกยุงกัด อากาศก็ร้อนมากเลย ท่านต้องไปเคาะห้องลูกศิษย์ขอเข้าไปหลบนอน นี่คือความเสียสละ ทำให้ดูน่ารัก ทำให้งดงาม ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่จะเสียสละให้ผู้น้อยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพระจะเสียสละให้ญาติโยมไม่ได้ ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นฆราวาส ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ท่านยังเสียสละ แค่ท่านล้างแก้วกาแฟหนึ่งครั้ง สละห้องให้หนึ่งครั้ง ท่านได้อะไรไป ท่านได้ความรักไปทั้งหมดเลยทีเดียว ต่อมาไม่นาน ท่านอาจารย์ดุษฎีปรารภจะพาทั้งพระทั้งโยมรวม 50 กว่าคน ไปที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อปฏิบัติธรรม ท่านเตรียมปัจจัยจะมาถวายค่าอาหาร แต่หลวงพ่อบอกไม่ต้อง เพียงขอให้ท่านมาที่นี่ จะเตรียมทุกอย่างให้ เรื่องที่พัก อาหาร และอุปกรณ์ในการสอนศิลปะ นี่คือการที่ว่า เวลาได้ความรักเราจะได้ทั้งหมดของชีวิต ได้ทั้งหมดของหัวใจ ได้ความรู้สึกที่ดีงาม นี่คือเล็กๆ น้อยๆ ในการที่เราตั้งเป้าหมายให้ถูกต้อง
เมื่อเช้าก็มีคนมาถามเหมือนกันว่า สิ่งเหล่านี้มันต้องฝึกหัดหรือเปล่า หลวงพ่อตอบว่าสิ่งเหล่านี้ มันฝึกหัดไม่ได้นะ ถ้าฝึกขึ้นมาก็จะเป็นของเก๊ แล้วมันทำจากอะไร ถ้าไม่ฝึกหัด คือมันทำจากความจริงต่างหาก ทำจากความเข้าใจเรื่องความจริง เราต้องเข้าใจว่าจิตเราทุกดวงมันสวยงามเหมือนกัน มันประภัสสรเหมือนกัน สิ่งนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่เพราะความไม่รู้ทำให้เราแสวงหาสิ่งต่างๆ เพื่อความสุข แล้วบางทีเราก็ทำผิดพลาด แต่เมื่อเราเข้าใจสิ่งที่เป็นความจริง เราจะเกิดความเมตตาและให้อภัยกัน จนเกิดเป็นความรักขึ้นมา เราจะเกิดความเข้าใจที่ว่า เราทุกคนเคยเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เพราะว่าเราหลงทาง เราจึงทำอะไรที่มันไม่สมบูรณ์ในรูปแบบของแต่ละคน เมื่อเราเข้าใจเราจะเกิดความรักและให้อภัยได้ เราไม่มองที่จะไปเพ่งโทษ ไม่มองที่จุดบอดของเขา แต่เราจะมองด้วยความเมตตาแทน เราจะเข้าใจว่าชีวิตทุกคนมันไม่สมบูรณ์ เมตตาจึงเกิดจากความเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่เกิดจากการสร้างและเสแสร้งขึ้นมา
ทุกคนต้องทำงาน คนที่ไม่ได้ทำงานเขาจะอยู่ไม่ได้นะ มันจะอ่อนแรง ชีวิตไม่มีพลัง แล้วจะขาดทุนไปเลยในหนึ่งชาติ ถือว่าเป็นโมฆบุรุษ คือ เกิดมาแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้นการทำงานมันสำคัญ เราทำงานเพื่อเปลี่ยนพลังงานที่เราได้มาฟรีๆ เป็นทรัพย์ ทรัพย์นี่สำคัญเหมือนกัน ถ้าเราไม่มีทรัพย์เราจะดูแลตัวเองไม่ได้ เราจะเป็นภาระให้กับคนอื่น อันนี้ไม่เอาไม่ดี คนบางคนเป็นภาระให้กับคนอื่นดูแลตัวเองไม่ได้ อันนี้ก็ขาดทุนเหมือนกันนะ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนพลังงานของเรามาเป็นทรัพย์และดูแลตัวเองได้ มีศักยภาพหรือมีส่วนเหลือที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
เราควรอยู่อย่างนายช่างผู้ร้อยดอกไม้
ให้จิตแต่ละดวงที่เกิดในทุกขณะ คือ ดอกไม้ที่งดงาม
เพราะจิตที่มีสติ รู้สึกตัวในปัจจุบันนั้นเป็นกุศล มีสันติสุข
ขอให้ใช้แต่ละนาทีของปัจจุบันในชีวิตให้ผลิแย้ม
งอกงามเป็นคุณแก่ตน และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
ฐิตา:
มีเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง คือ มีผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตัวผอมๆ ไม่สวยเลย หน้าตาตกกระ เดินเสียงดัง ดูหยิ่งทะนงมาก หลวงพ่อมองแล้วคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้ใช้ไม่ได้ วันหนึ่งเห็นนักการเขาแบกโต๊ะลงมาจากชั้นสองอยู่คนเดียว ผู้หญิงหน้าตกกระคนนั้นเขาวิ่งขึ้นไปช่วย หลวงพ่อมองเห็นพอดี ความรู้สึกเปลี่ยนไปเลย จากที่เคยคิดว่า ผู้หญิงคนนี้ใช้ไม่ได้ มันงามขึ้นมาเลย มันงามภายในใจ ฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนพลังงาน มันไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว มันไม่ใช่นะ เมื่อกี้ที่หลวงพ่อบอกว่าเคล็ดลับ คือ เราควรอยู่อย่างนายช่าง ผู้ร้อยดอกไม้ ทุกขณะของเราคือดอกไม้ที่งดงามในแต่ละนาที แต่ละวินาที
เราสามารถที่จะปรับเปลี่ยน แต่ต้องมีปฏิภาณไหวพริบนะ หลายคนพอพูดเรื่องนี้แล้วไม่ค่อยมีไหวพริบว่าจะใช้ชีวิตให้งดงามได้อย่างไร จะอยู่ดูแลคนอื่นให้งดงามได้อย่างไร การที่อยู่ในปัจจุบันมันต้องมีปฏิภาณไหวพริบที่ไวมาก และเมื่อเราตั้งเป้าหมายจะทำให้เราอยู่ในปัจจุบันได้อย่างมีจุดเริ่มต้น พอปัจจุบันเรามีจุดเริ่มต้นเราก็จะสามารถใช้แต่ละนาทีของเราให้มันเกิดความงอกงาม เหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ที่ใช้ แต่ละนาทีของปัจจุบันให้เป็นความงาม
เมื่อเราตั้งเป้าหมายแล้ว ต้องคำนึงถึงนามธรรมด้วย อย่าเอาแค่รูปธรรมอย่างเดียว มันต้องมีความสุขทางจิตใจลงไปด้วย อย่างนามธรรมที่พูดไปเมื่อกี้ คือ เรื่องความรัก หลายคนบอกว่ามันสร้างยากมาก การทำให้คนอื่นอยู่อย่างมีความรักจริงๆ หลวงพ่อว่ามันง่ายนะ มันง่ายมากตรงที่ว่าเราแค่เริ่มต้นรักก่อน รักคนอื่นเป็นก่อน เป็นความรักที่บริสุทธิ์เพราะเราคิดว่าเรามีจิตใจที่ประภัสสรเหมือนกัน มันทำให้เกิดความรัก ความรักที่เป็นความเข้าใจ ตรงนี้เป็นเป้าหมายด้านนามธรรม เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่แห้งแล้ง ไม่ใช่อยู่อย่างรอคอยความรัก หรือคิดว่า ถ้าเราไม่มีคนรักเราจะไม่มีความสุข หรือต้องการให้คนมารักเราอย่างนั้นไม่ใช่นะ เรามีชีวิตอยู่ด้วยความรัก ด้วยเราเข้าใจว่าจิตทุกดวงมีธรรมชาติเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา แต่มันเป็นความรักที่เกิดจากปัญญาที่เห็นจริงๆ
สำหรับโยมบางคนที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องพุทธศาสนาอาจจะไม่เข้าใจเรื่องตรงนี้ เรื่องของจิตเดิมที่มันประภัสสร ที่เท่าเทียมกันทุกดวงเหมือนสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เท่าเทียมกับเรา นี่ถึงทำให้เกิดความเข้าใจในเวลาที่เราแผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์เหล่านี้ เพราะเราเข้าใจว่าจิตทุกดวงมันเหมือนกัน มีธรรมชาติที่บริสุทธิ์เหมือนกัน เมื่อตอนหลวงพ่อสิบกว่าขวบเคยอ่านหนังสือท่านอาจารย์พุทธทาสแปลของอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านแปลไว้ว่า ธรรมชาติของจิตเดิมไม่มีความแตกต่างระหว่างสัตว์ที่ต่ำต้อยกับพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว โยมที่ไม่เคยฟังจะตกใจ โยมจะคิดว่าจิตของพระพุทธเจ้า คือ จิตที่สูงส่งจะมาเทียบกับสัตว์ได้อย่างไร แต่เราหมายถึงจิตเดิมต่างหากธรรมชาติของจิตมันมันไม่ต่างกัน มีความบริสุทธิ์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าสรรพสัตว์หรือพวกเราไม่สามารถเข้าไปเห็นถึงตรงนี้ได้ เราแตกต่างกัน แค่ความคิด แต่เนื้อแท้ข้างในมันเหมือนกัน
หลวงพ่อขยายความนิดหนึ่ง เวลาที่เราเห็นจริงว่าจิตเดิมทุกคนเหมือนกันก็จะเกิดความรักหรือความเมตตา ทำให้การมีชีวิตของเราไม่แห้งแล้งและทำให้เราเกิดความรักได้ทุกขณะกับทุกชีวิตกับทุกสรรพสัตว์ นี่คือการตั้งเป้าหมายของเรา เราต้องตั้งให้ชัดเจนก่อน เราถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอย่างเบิกบาน ต่อจากนั้นเราจะใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างมีความสุข เพราะในช่วงที่เรารู้สึกตัวในปัจจุบันขณะ นี่คือสติ คือขณะที่เรารู้สึกตัว รู้ว่ามือเราอยู่ที่ไหน รู้ว่าพยักหน้าอยู่ นี่คือปัจจุบันขณะ ปัจจุบันขณะที่เรารู้สึกตัวนี้คือสติ สตินี่เป็นสิ่งที่เป็นจิตกุศล จิตที่เป็นกุศลเป็นจิตที่มีความสุข คือ มีโสมนัสเวทนา พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้สึกตัว รู้ทุกขณะไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่ขยับตลอดเวลา ขยับมือรู้ ขยับเท้ารู้ รู้ทีละขณะ การรู้สึกตัว และจิตเป็นกุศล มีความสุขเหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ไหม เพราะทุกขณะมันคือความสุข มีสันติสุขแล้วทุกขณะมันก็ผลิแย้มไปเรื่อยๆ เป็นดอกไม้ดวงใหม่เราก็ถักทอไปเรื่อยๆ เป็นดอกไม้ดวงใหม่เหมือนนายช่างผู้ร้อยดอกไม้ เพราะฉะนั้นแต่ละขณะมันจะไม่เท่ากัน
ช่วงไหนมีสติเราเห็นความงามผุดพรายขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นบนท้องถนน บางทีมองเห็นคนตัดต้นไม้บนถนน มันจะมีความงามที่เกิดขึ้น ให้โยมลองนึกว่าเหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่งก็ได้ มองให้เป็นเหมือนหนังที่เรื่องนี้พิเศษตรงที่ว่าเราเข้าไปอยู่ในฉากหนังนั้นจริงๆ เหมือนเราเป็นแขกรับเชิญของโลกนี้ก็ได้ แต่ถ้าเราไปใช้อารมณ์แบบจำเจ จมอยู่กับความไม่สมหวัง ชีวิตมันจะแห้งแล้งมาก ก่อนหลวงพ่อจะต้องผ่าตัดหัวใจ หมอให้อดอาหารเที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน ปากแห้งมากพูดก็ไม่ถนัด อยู่ๆ ก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาร้องไห้ บอกอาจารย์ช่วยพูดให้หนูสบายใจหน่อย หนูอยู่ในเมืองผู้คนหนาแน่น แต่เหมือนไม่มีตัวตน ไม่มีคนเห็นหนูเลย ช่วยพูดให้กำลังใจหน่อย เราก็เลยแนะนำไปว่า รู้จักให้สิ่งอื่นไปก่อน แทนการรอคอยให้เขาเอามาให้ ให้เรามองเห็นความงามของคนอื่น หากเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ เป็นการให้คนอื่นได้ประโยชน์ เราจะเป็นผู้เสียสละอย่างแท้จริง คือเราจะมีคุณค่าขึ้น พอพูดให้เขาฟัง เขาก็หาย แล้วหลวงพ่อเลยบอกเขาไปว่าจะไปผ่าตัด อาการหนักกว่าเขาอีก เขาแค่รู้สึกเหมือนไม่มีคนอื่นมองเห็น แต่หลวงพ่ออาจจะไม่มีคนเห็นต่อไปอีกเลย เพราะอาจจะตายก็ได้
การมองเห็นความงามในคนอื่น ในสิ่งรอบตัว จะทำให้จิตใจเบิกบาน ที่กุฏิมีนกกางเขนคู่หนึ่งพยายามมาทำรังในกุฏิ ส่วนใหญ่นกตัวผู้มันจะต้องหาญกล้าเป็นด่านหน้าเข้ามาเพราะมีคนอยู่ในกุฏิ มันจะเข้ามาลองร้องดังๆ ให้เรามอง เราก็มอง พอรู้ว่าเราไม่ทำอะไรมันก็ไปชวนภรรยามาบอกว่าเข้ามาเลย ไม่มีอันตราย และไปคาบหญ้าคาบฟางมาทำรัง เห็นไหมว่าชีวิตที่เราอยู่ด้วยกันอย่างเอื้อเฟื้อมันงดงาม แม้แต่กับ สรรพสัตว์ กับผู้คนที่ทำงานรอบตัวเหมือนกัน ที่เขาค้อมีคนทำงานเยอะเหมือนกันถึง 30-40 คน เวลาหลวงพ่อมองไปก็เห็นแต่ความงามไม่เคยเห็นคนงานเลย เห็นแต่นางฟ้า อันนี้ไม่ได้เสแสร้งนะ
คือเวลาเห็นคนทำงานด้วยหัวใจ มันมีความสุข ค่าแรงอาจจะแค่วันละร้อยกว่าบาทแต่เขามีความสุข ความสุขที่เกิดขึ้นมาในหัวใจเขา ช่วงที่ผ่านมานี้เขาทำงานหนักมากเลย หลวงพ่อกับหลวงพ่อยงยุทธก็เลยตกลงกันให้ปัจจัยหนึ่งพันบาท รุ่งขึ้นเขาเอามาคืน เขาบอกว่าเขาทำด้วยหัวใจ เขาอยากทำบุญทั้งๆ ที่เขาก็ไม่มีเงินนะ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร จึงบอกว่าบางทีไม่ได้เห็นคนงานแต่เห็นนางฟ้า เห็นจิตใจที่สุกสกาว เห็นจิตใจที่มีความสุขอยู่เบื้องหลัง
ฐิตา:
พวกเราก็เป็นนางฟ้าได้เหมือนกันนะ พวกเราอย่าไปคิดว่าการที่เราจะเป็นนางฟ้าหรือการทำบุญต้องไปทำที่วัดมันไม่ใช่เลยนะ รู้จักอาหมวย ลูกเถ้าแก่คนหนึ่ง ชอบไปเดินจงกรมที่วัด ตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์พ่อแม่ชวนให้กินข้าวด้วยกันก่อน ก็บอกพ่อแม่ว่าไม่ได้ๆ จะรีบไปเดินจงกรมที่วัด และรีบออกจากบ้านแต่เช้ามืดเลย ในขณะขับรถก็ทั้งแซงทั้งปาด ใครจะแซงหน้าก็จะโกรธเพราะจะรีบไป เมื่อถึงวัดแล้วรีบแย่งที่จอดรถเพื่อเดินจงกรม พอนึกภาพออกไหมโยม วันก่อนหลวงพ่อไปบรรยายธรรมก็ถามว่ามีใครเดินจงกรมเป็นบ้าง ขออาสาสมัครมาเดิน เขาก็ลุกออกมาก้าวพรวดๆ ออกมาถึงก็มายืนตรงนี้ ตั้งท่าเตรียม หลวงพ่อบอกไม่ต้องเดินแล้ว เขาก็เดินกลับไปพรวดๆ อย่างหัวเสีย ก่อนจะนั่งหลวงพ่อบอกว่าทำไมไม่เดินจงกรมมา แล้วเวลาเดินกลับ ทำไมไม่เดินจงกลมกลับด้วย การเดินจงกรมคือการเดินอย่างมีสติ คนเราชอบลืมสติ ทำไมเวลาเดินที่บ้าน เดินจากเตียงนอนไม่เดินอย่างมีสติล่ะ มันต้องไปรอเดินจงกรมที่วัด ถึงจะได้บุญหรือ เราเดินที่ไหนก็ได้ใช่ไหม ตื่นเช้ามาเดินไปห้องน้ำ เดินอย่างมีสติคือรู้สึกตัวนั่นเอง
เราต้องร้อยดอกไม้ทุกขณะ ไม่ใช่ว่าต้องไปร้อยที่วัดนะ ตื่นเช้ามาก็ร้อยดอกไม้เลย ต้องร้อยทุกขณะ ตื่นขึ้นมามันงัวเงียรู้สึกว่ามันขี้เกียจไม่อยากจะลุกก็ขยับขึ้นมานั่ง อารมณ์ก็จะเปลี่ยน พออารมณ์เปลี่ยนดอกไม้ดอกใหม่บานขึ้นแล้วนะ มันเปลี่ยนทุกขณะ พอเข้าห้องน้ำแปรงฟันออกจากบ้านเสร็จเจอคนเยอะแยะ เหมือนเปิดซาวด์แทร็คเลย ภาพยนตร์เรื่องใหม่กำลังเล่นแล้ว ตัวเอกกำลังเดินออกจากประตูบ้าน และให้มีความรู้สึกของความใหม่สดขึ้นมาเลย อย่าใช้ชีวิตอย่างจำเจทุกวันให้รู้ตัว ให้ตื่นตัว และเบิกบานใจ
หลวงพ่อเดินบิณฑบาตทุกวันยังไม่เคยรู้สึกเก่าเลย บรรยากาศมันแตกต่างแปรเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่เคยเบื่อพระอาทิตย์ขึ้นเพราะมันจะเปลี่ยนฉากไปเรื่อยๆ บางวันมันตามก้อนเมฆเป็นชั้นๆ บางวันเป็นเส้นสีทอง บางวันเป็นหมอกบางๆ ทุกวันมันจะมีความตื่นของฉากใหม่ๆ ในชีวิต ทุกวันมันจะมีความงามไม่ซ้ำกันนี่คือปัจจุบันขณะ
บางคนไม่เข้าใจว่าปัจจุบันขณะคืออะไร มันคือทีละขณะ อย่างหลวงพ่อขยับมือมันเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ซ้ำที่เก่า มันเปลี่ยนไปทีละขณะที่เรามีสตินั่นคือความงามคือความสุข เราสามารถนำมาใช้ได้กับการงานของเรา ที่วัดจะสอนตรงนี้มากเกี่ยวกับการทำงาน สอนให้ทำงานอย่างมีความสุข คนปลูกต้นไม้ขนาดฝนตกยังใส่เสื้อกันฝนไปปลูกต้นไม้กัน นี่มันเป็นความขยันนะโยม มองให้มันเป็นความงาม หลวงพ่อกำลังจะเน้นว่า การทำงานอย่างมีความสุขในปัจจุบันขณะ มันสำคัญมากที่เราจะมองมันให้เหมือนดอกไม้ที่บานใน แต่ละขณะ ซึ่งจะบานไม่ซ้ำกันในแต่ละนาที ก็เหมือนกับการทำงานของเรา เราสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างนี้ให้มีความสุข โดยที่ไม่ต้องไปรอว่าเดี๋ยวเลิกงานจะมีความสุข เดี๋ยวพระหยุดเทศน์จะมีความสุข สมัยก่อนตอนเด็กๆ วันศุกร์ก่อนกลับบ้านเขาจะให้สวดมนต์นะ ก็คิดว่าเมื่อไหร่สวดมนต์จะเสร็จ จะได้มีความสุขเพราะได้กลับบ้าน วันหนึ่งหลวงพ่อไปเจอหนังสือโบราณที่เขาใช้สวดมนต์ตอนเย็น รู้สึกว่าเพราะมากอยากจะกลับไปสวดมนต์ตอนเย็นอีก นั่นเป็นตัวอย่างที่เราสูญเสียความสุขในปัจจุบันขณะไป โดยไปรอว่ากลับบ้านเราจะมีความสุข
ขอให้เรารู้จักอยู่กับความสุขในปัจจุบัน รู้จักต้อนรับคนรอบข้างเราให้เป็น เพราะทุกคนเป็นคนใหม่ในทุกขณะ เขาไม่เคยเป็นคนเดิมเลย อารมณ์ก็ไม่ซ้ำกัน ไม่เคยมีใครเหมือนเดิมเลย คนที่เคยอยู่ในช่วงวิกฤติให้ใช้วิกฤตินั่นให้เป็นโอกาส ปัญหานั้นหลวงพ่อคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่ช่วยพัฒนาตัวเรา ใครที่คิดว่าเจอปัญหานั้นไม่ดี นั่นเป็นความคิดที่ผิด แต่ถ้าใครคิดว่าปัญหานั้นเป็นการพัฒนาตัวเรามันจะมีค่ามหาศาลเลยทีเดียว เพราะเวลาที่เสียอย่างหนึ่ง มันจะได้อีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อเคยถูกรถชนเหมือนจะตายเลย รถพังหัวแตก แต่อีกใจหนึ่งคิดว่ามันจะต้องเกิดโชคดีขึ้นกับเรา เพราะมันมีโชคร้ายมาแล้ว แล้วใช้โอกาสนั้นเป็นการพัฒนา เช่น ตอนประสบอุบัติเหตุได้พัฒนาหลายอย่างดีมาก หนึ่งได้พัฒนาการปล่อยวาง การทิ้งความกังวล การปล่อยจิตใจไม่ให้ไปคิดเรื่องความเจ็บ ทำให้จิตใจเราเข้มแข็ง เราต้องอย่าไปโอดครวญหรืออยากให้มันหายเจ็บ พยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดให้เป็น
เพราะฉะนั้นใครที่ประสบอุบัติเหตุหรือพบสิ่งที่ไม่สมหวังหรือสิ่งที่เป็นวิกฤติต้องถือว่ากำลังจะโชคดี คือ ได้พัฒนาตัวเองแน่นอน ยิ่งถ้ามีความทุกข์เกิดขึ้นในใจให้รีบดูเลย แสดงว่าเรากำลังวางใจ วางจุดยืนหรืออะไรสักอย่างผิดไปแน่นอน มันถึงได้เกิดความทุกข์ในใจขึ้นมาอย่างนี้ แต่ถ้าไม่เกิดความทุกข์ เราจะไม่รู้เลยว่าเราวางจิตวางใจผิดจุดไปหรือเปล่า หลายคนคิดว่าชีวิตนี้ทำอะไรจะต้องได้เปรียบคนอื่น ไปไหนก็จะต้องได้ พบกับใครจะต้องได้ มาเพื่อจะมาขุดทองหรือว่าต้องได้อะไร สักอย่างกลับไป โยมลองนึกภาพดูถ้าเจอคนที่เข้ามาหาเราที่ไม่รู้จักกันเลย โยมเห็นแววตา เห็นสิ่งที่เขาทำว่าจะต้องได้อะไรสักอย่าง อย่างนี้มันน่ากลัวไหม แล้วเขาจะไม่รู้ตัวเลยจนกว่าเขาจะเริ่มเจ็บตัว เมื่อเขาเกิดความทุกข์เขาถึงจะเริ่มรู้ว่าเขาไปผิดทางแล้ว เขาตั้งศูนย์กลางไว้ผิดทำให้เขาได้รับความทุกข์ ไม่ได้รับความรักจากคนอื่น ไม่ได้ความไว้วางใจ ความเชื่อถือจากคนอื่น ไม่ได้รับอะไรที่มนุษย์ควรจะได้จากกันและกัน
การแบ่งชีวิตเป็นช่วงสั้นๆ มีช่วงทำงาน
ช่วงครอบครัว ช่วงส่วนตัว ช่วงปฏิบัติธรรม
เราอาจพลาดทำความดี และพบสุขในปัจจุบันขณะไปได้
อย่าทิ้งทุกหยาดมณีของมัน ทำชีวิตให้มีความสุข
ทั้งการงานและการปฏิบัติธรรม
ทำชีวิตให้เป็นการเอื้อเฟื้อ มีความรักทุกขณะ
หากเข้าถึงได้ตลอดเวลา แต่ละวันมันจะไม่น่าเบื่อเลย
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version