ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : โลกนี้ - ธรรมะและธรรมชาติย่อมสำคัญที่สุด  (อ่าน 2133 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ผู้เขียนได้เคยเขียนในไทยโพสต์นานมาแล้วว่า ธรรมะและธรรมชาติมาจาก ”ธริ” ที่แปลว่า “สิ่งที่ค้ำชูการดำรงอยู่” (ของชีวิต) แต่อยากจะบอกท่านผู้อ่านว่า ธรรมะหรือสัจธรรมความจริงที่แท้จริงนั้นย่อมแตกต่างไปจากธรรมชาติ แต่ก็ได้รวมไว้ซึ่งธรรมชาติ “ที่มองเห็น” ด้วยตาเอาไว้ด้วย เช่น ป่าไม้ ต้นไม้ และสัตว์ป่าต่างๆ พูดง่ายๆ ธรรมะอยู่ลึกกว่าธรรมชาติมาก เพราะได้รวม ”สิ่งที่มองด้วยตาไม่เห็น” (ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ช่วยให้มองเห็นได้หรือไม่) เช่นจิต พระจิตหรือพระเจ้าในชื่อต่างๆ กัน ฯลฯ ดังนั้นธรรมะคือธรรมชาติที่บวกสิ่งที่มองไม่เห็นหรือคือธรรมชาติที่มีสองระดับแทนที่ธรรมชาติที่มีเพียงระดับเดียวเฉพาะสิ่งที่ตามองเห็นทั้งที่รู้ว่าธรรมชาติระดับเดียวนั้น เรารู้ว่ามันคือธรรมชาติปกติธรรมดาที่ทุกคนรู้จัก หรือเป็นสิ่งเดียวกันกับสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดแบบที่คนไทยทั่วไปในปัจจุบันคิด

ท่านผู้อ่านที่ติดตามอ่านงานพูดและงานเขียนของผู้เขียน ย่อมทราบดีโดยไม่ต้องอธิบายว่า ธรรมชาติที่ผู้เขียนพูดและเขียนมาตลอดนั้น กินความหมายที่กว้างและลึกอย่างไร แต่จริงๆ แล้วความเข้าใจของผู้อ่านกับผู้เขียนนั้นอาจจะไม่ตรงกันก็ได้ บทความนี้จะขยายที่จุดนี้ ที่บอกว่าไม่ต้องอธิบายนั้นเป็นการพูดกว้างๆ และพูดรวมๆ ซึ่งไม่แน่ว่าใครจะรู้อย่างลึกซึ้ง ฉะนั้น บทความนี้จึงมีเป้าหมายตรงนั้น

ชื่อของบทความวันนี้ความสำคัญมากกว่าในตอนหลังของชื่อ ธรรมะมีความสำคัญกว่าธรรมชาติ แต่ก็มีความหมายในประเด็นที่พูดได้ว่าผู้เขียนต้องการที่จะเน้นสิ่งอะไรที่เรา – ผู้อ่านกับผู้เขียนรู้จักพอสมควร เรารู้จักโลกของเราดีในทางวิทยาศาสตร์กายภาพเท่านั้น โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่ามันคืออะไร? ประกอบด้วยอะไร? และทำงานหรือสัมพันธ์กับสิ่งอื่นอย่างไร? แต่เราอาจไม่รู้จักจักรวาลของเราดีนัก และรู้แต่ในทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีแต่ข้อพิสูจน์ทางจักรวาลวิทยาใหม่ซึ่งมีคณิตศาสตร์เป็นแก่นแกนเพียงอย่างเดียว (ทฤษฎีซูเปอร์สตริง) ซึ่งมีว่าจักรวาลมีจำนวนอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุด และเฉพาะจักรวาลนี้ประกอบด้วยพลังงานมืด 73% (dark energy) และประกอบด้วยสสารวัตถุมืด (dark matter) 23% รวมสิ่งที่มืดหรือสิ่งที่เราไม่รู้ประกอบถึง 96% สิ่งที่เรารู้จักจึงมีเพียง 4% อันได้แก่ กาแล็กซี เนบูลา และดาวทั้งหลาย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าพลังงานมืด – ที่ก็คือปราณซึ่งแยกออกไม่ได้จากจิตไร้สำนึกร่วมจักรวาล (B.Alan Wallace : Hidden Dimensios, 2007) หรือโปรเซสจิต หรือไมนด์ (processmind) ของอาร์โนล์ด มินเดล ที่คุณวิศิษฐ วังวิญญู กำลังใช้สอนนักศึกษาปริญญาโท - จิตตปัญญาศึกษาอยู่ในขณะนี้ – ไม่ได้

ธรรมชาตินั้นนักจิตวิทยาเมืองนอกจะแยกออกไปเป็นสองระดับ คือที่มองเห็นและที่มองไม่เห็น (หรือไม่ทางเห็นไม่ว่าจะใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่น กล้องจุลทรรศน์ช่วย) ซึ่งธรรมชาติที่มองเห็นได้แก่สิ่งแวดล้อมธรรมชาติปกติธรรมดาๆ เป็นต้นว่า ป่าไม้ ต้นไม้ ภูเขา ทะเล ปะการัง และสัตว์โลกต่างๆ ภาษาอังกฤษเขียนด้วยตัวเอ็นเล็ก (nature) ส่วนธรรมชาติที่มองไม่เห็น หรือไม่มีทางเห็นได้แก่จิต พระจิต พระเจ้า (ที่หมายถึง mind of God) หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งก็คือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล (unconscious continuum ของคาร์ล  ซี. จุง) หรือเป็นโปรเซสจิตหรือไมนด์ (processmind) ของอาร์โนล์ด มินเดล ที่ว่าข้างบนนั้น โดยธรรมชาตินั้นภาษาอังกฤษจะเขียนด้วยตัวเอ็นตัวใหญ่ (Nature) ผู้เขียนยังคิดและเชื่อต่อไปว่า ความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรมซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จนรู้แจ้งเห็นจริงนั้น   พระองค์ที่ทรงเป็นสัพพัญญูและมีปัญญาสูงล้ำ และพระองค์ปฏิบัติวิปัสสนาสมาธิมานานกว่าใครแม้แต่อรหันต์ใดๆ พระองค์จึงรู้จริงและแจ่มแจ้งใน ”ธรรมชาติ” ทั้งสองระดับที่ว่ามานั้นของทุกๆ สรรพสิ่งทุกสรรพปรากฏการณ์เป็นอย่างดี

ผู้เขียนเชื่อมั่นและสอนลูกศิษย์ลูกหาด้วยธรรมชาติที่มีสองระดับนี้มานาน คนทั่วไปโดยเฉพาะบุคคลหรือบุคคลที่เป็นแมตทีเรียลลิสต์ ที่จะเชื่อสิ่งอะไรก็ตามเป็นตัวเองมองเห็น คือเชื่อในสิ่งที่ตามองเห็น คือเป็นสสารวัตถุหรืออะไรที่ประกอบเป็นรูปร่างกายภาพ (physical)  เช่นต้นไม้หรือภูเขาหรือคนเท่านั้น แต่จะไม่รู้จักว่าสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) โดยรู้จักแต่ธรรมชาติเท่าที่ตามองเห็น แต่จะไม่รู้จักอะไรที่ตามองไม่เห็น ดังนั้นภาวะจิตวิญญาณ หรือจิตไร้สำนึกที่ผ่านการบริหารของสมองแล้วหรือ หรือจิตรู้ (วิญญาณขันธ์) ก็คือสิ่งนั้นบวกกับธรรมชาติปกติธรรมดาที่ตามองเห็น เช่นต้นไม้หรือสัตว์ป่าต่างๆ คือระดับที่คนทั่วไปเรียกว่าธรรมชาติที่มีเพียงระดับหนึ่งเดียวนั่นเอง ซึ่งแตกต่างไปจากธรรมชาติที่มีสองระดับที่ผู้เขียนเชื่อมั่นหรือธรรมะอันเป็นความจริงที่แท้จริงในพุทธศาสนา

โดยความเห็นที่เป็นส่วนตัวของผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า ธรรมชาติไม่ว่าระดับไหนมีความสำคัญอย่างที่สุด โดยเฉพาะความจริงทางโลกที่คู่กับธรรมชาติระดับที่มีหนึ่งระดับที่ตามองเห็น ระดับที่ชาวตะวันตกที่มีมาจากชาวกรีกโบราณเชื่อ ที่ปัจจุบันชาวโลก รวมทั้งชาวไทยส่วนใหญ่เชื่อ นั่นคือความเป็นแมตทีเรียลลิสติก (materialistic) หรือวัตถุนิยม ตามที่ผู้เขียนคิด ส่วนความจริงทางธรรมหรือธรรมะในพุทธศาสนานั้น ผู้เขียนคิดว่าคู่กับธรรมชาติที่มีสองระดับซึ่งตรงกันกับควอนตัมเมคคานิกส์ตามที่นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ทั่วไปเชื่อ (ดู Fritjof Capra) ซึ่งภายหลังจากจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาลเฉพาะส่วนที่เข้ามาอยู่ในสมอง (unconscious continuum – Jung) ก่อนจะถูกบริหารเป็นจิตรู้หรือจิตสำนึก

อย่าลืมว่าธรรมชาติชาวโลกและชาวไทยส่วนมากในปัจจุบันนี้มักจะคิดเฉพาะธรรมชาติที่มองเห็นหรือรรมชาติที่มีระดับเดียว เช่น ต้นไม้ แม่น้ำและสัตว์ต่างๆ รวมทั้งคนหรือมนุษย์ นั่นเป็นอิทธิพลของกรีกกับชาวตะวันตกที่แพร่ไปทั่วโลกโดยเฉพาะในยุคสมัยล่าอาณานิคมเมื่อสอง-สามร้อยปีก่อน

  ที่เรียกว่าสิ่งแวดล้อมธรรมชาติซึ่งในปัจจุบันชาวโลกโดยเฉพาะชาวไทยเรามีการต่อต้านอย่างมากต่อสังคมไทยที่คนไทยส่วนหนึ่งมีความเคยชินว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ผู้เขียนต่อต้านอย่างแรง และแถมเป็นบ่อเกิดของคอรัปชั่นให้กับข้าราชการและนักการเมืองส่วนไม่น้อย รวมทั้งเป็นอาชญากรรมที่เป็นภัยอย่างมหาศาลที่รัฐบาลจะต้องกำจัด แต่ก็เป็นในปัจจุบันนี้เท่านั้น ดังนั้นคนไทยบางส่วนยังมีความเคยชินจึงยังคงปฏิบัติแบบเก่าแม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่มากๆ อยากจะรวยเร็ว ประกอบกับระบบสังคมโดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีที่เอื้ออำนวยกิเลสตัณหาอย่างที่พุทธศาสนาก็ช่วยได้ยาก นั่นคือสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่มีเพียงระดับเดียวคือระดับที่ตามองเห็น นั่นคือความจริงทางโลกอันไม่ใช่สัจธรรมความจริงที่แท้จริง เราถึงได้มีการค้นพบควอนตัมฟิสิกส์หริอมีวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ซึ่งตรงกับควอนตัมเมคคานิกส์หรือความจริงทางธรรม ซึ่งก็คือธรรมะของพุทธศาสนานั่นเอง เพียงแต่เพราะมันไปเหมือนกับศาสนาที่อยู่ตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์ และเป็นไม้เบื่อไม้เมาซึ่งกันและกันมานานนักหนา จนกระทั่งเรา - โดยเฉพาะนักวิชาการหรือคนที่มีการศึกษาดีหน่อยของชาวโลกรับที่จะเชื่อควอนตัมเมคคานิกส์ได้ยากมาก ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ใจกว้าง ที่ทุกวันนี้ต่างพากันหันมาเชื่อควอนตัมฟิสิกส์อย่างรวดเร็ว (ดู Noetic Science Institute Report 2007 and anyone of Sciences of the Newage)

จริงๆ แล้ว ธรรมะกับธรรมชาติ หรือธรรมชาติที่มีสองระดับหรือธรรมะที่ผู้เขียนคิด และธรรมชาติที่มีเพียงระดับเดียวซึ่งก็คือธรรมชาติที่เรา - คนทั้งโลกล้วนรู้จักกันดี ล้วนมีความสำคัญยิ่ง  แต่ทว่าเรา - ชาวโลกไม่รู้ว่ามันทั้งสองมีความสำคัญอย่างไร?  หรือเพียงไหน? ในด้านของธรรมะของพุทธศาสนานั้นมีความสำคัญสำหรับผู้ที่นับถือพุทธศาสนายิ่งนัก โดยเฉพาะมีความเป็นวิทยาศาสตร์และมีเหตุผลที่ปัญญาชนคิดเห็นตรงกับใจของตนเอง คือพูดง่ายๆ เหมือนกับความจริงทางโลกซึ่งไม่ใช่สัจธรรมความจริง พระพุทธเจ้าจึงแสวงหาความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรมหรือธรรมะ ซึ่งตรงกับควอนตัมเมคคานิกส์หรือฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหรือนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลมากหลายได้พากันเปลี่ยนศาสนา ผู้เขียนจึงไม่เคยคิดจะเปลี่ยนศาสนา และคิดเสมอว่าโชคดีที่ผู้เขียนเกิดมาภายใต้ร่มเงาของพุทธศาสนา เพราะว่าผู้เขียนเป็นแพทย์จึงได้เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งตรงกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและนักจิตวิทยาหลายต่อหลายคนต่างก็ได้หันมานับถือพระพุทธเจ้ามากยิ่งนัก ส่วนธรรมชาติที่มีหนึ่งระดับตามที่ตามองเห็นเช่น ป่าไม้ ต้นไม้ ฯลฯ นั้น เมื่อก่อนนี้เพียงสิบกว่าปี - แม้แต่สำหรับบางคนในวันนี้เดี๋ยวนี้ – เราถูกสอนมาว่าคือสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น ต้นไม้ ป่าไม้ ปะการัง ฯลฯ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต อย่างน้อยก็ไม่ใช่สัตว์โลก ซึ่งรวมทั้งมนุษย์ อันมีสปีชีส์เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งผู้เขียนแยกจากกันเป็นประเทศหรือวัฒนธรรมต่างๆ ได้ค่อนข้างยาก เราจึงคิดว่าสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้นใครจะทำอะไรก็ได้ เหมือนผู้เขียนเมื่อยังเป็นเด็กที่เห็นต้นไม้เล็กๆ ไม่ได้ จะต้องเด็ดใบหรือหักกิ่งมันให้ได้จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มแล้ว เราทั้งหลาย โดยเฉพาะเราในประเทศไทย จึงมีความเคยชินกับการทำร้ายหรือทำลายสิ่งแวดล้อมธรรมชาติดั่งว่าเพราะความไม่เดียงสาจนธรรมชาตินั้นเองได้หวนกลับมาทำร้ายเรา และเป็นเช่นปีเตอร์ รัสเซล ว่าไว้เมื่อค.ศ.1999 ร่วมสิบห้าปีมาแล้วว่า กว่าเราจะรู้ว่าชาวโลกได้ทำร้ายและทำลายธรรมชาติอย่างรุนแรงอย่างไม่ปรานีปราศรัยอะไรเลยก็เพราะอวิชชาและตัณหา ซึ่งมันก็สายเกินไปเสียแล้ว (Peter Russell Consciousness Revolution,1999) และปีเตอร์ รัสเซลยิ่งไม่ใช่คนธรรมดา เป็นทั้งนักฟิสิกส์หัวแก้วหัวแหวนของสตีเฟน  ฮอว์กิง นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักแม้แต่ที่เมืองไทยเราเอง

บทความบทนี้ชี้ว่า ธรรมชาติทั้งสองระดับทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น หรือรวมกันหรือธรรมะนั้น ทั้งสองคือธรรมชาติที่มีความสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะธรรมชาติที่มีสองระดับหรือธรรมะ ซึ่งก็คือความจริงทางธรรมหรือสัจธรรมความจริงของพุทธศาสนาอันเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งที่ทางวิทยาศาสตร์เองเพิ่งจะรู้และพิสูจน์ได้เมื่อ ค.ศ.1927 นี้เอง ทั้งๆ ที่ศาสนาเต๋าและพุทธศาสนารู้มาตั้งร่วม 2,600 ปีแล้ว และวัฒนธรรมพระเวทยิ่งนานกว่านั้นมากนัก นั่นคือควอนตัมฟิสิกส์ หรือฟิสิกส์ใหม่ (ดูเรื่อง พุทธศาสนาและควอนตัมฟิสิกส์ ที่ลงในไทยโพสต์และมติชนเมื่อเร็วๆนี้).

http://www.thaipost.net/sunday/010112/50458


" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...