ริมระเบียงรับลมโชย > ธรรมะอินเทรนด์ - ธรรมะติดปีก
56 ปี "สตีฟ จ็อบส์" ชายผู้เป็นมากกว่าตำนาน
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: ขอบคุณครับพี่มด
ผมเองก็ชื่นชมระบบปฎิบัติการแมค ที่สตีปจอบทำมากครับ ถึงจะไม่มีตังค์ซื้อก็เถอะ
คุณค่าของคน อยู่ผลของงานจริงๆครับ
ดอกโศก:
ขอบคุณมดเอ็กซ์ที่นำมาปันให้อ่านค่ะ
จ๊อบเป็นคนที่น่าชื่นชม เขาเป็นอัจฉริยะ และเป็นคนที่เปลี่ยนโลกเทคโนโลยีอย่างมาก
และก็น่าเสียดายที่เขาจากโลกนี้ไปเร็วเหลือเกิน
ขอร่วมไว้อาลัยด้วยคนค่ะ :13:
มดเอ๊กซ:
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-'การเป็นคนรวยที่สุดในสุสานไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ แต่การที่ผมได้นอนหลับบนเตียงและพูดว่า วันนี้เราได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ทิ้งไว้ให้กับโลก คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด'
คือคำพูดที่สตีฟ จ็อบส์ กล่าวไว้ในช่วงปี 1993 และอาจทำให้หลายคนอดนึกถึงไม่ได้เมื่อวันที่ จ็อบส์ ได้ลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ
'จ็อบส์ ได้ทิ้งสิ่งมหัศจรรย์ไว้กับโลกมากมาย ตั้งแต่ แมคอินทอชจนถึงไอแพด' คือคำกล่าวของสังคมทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กในหลายประเทศ และเป็นสิ่งชี้ให้เห็นว่า จ็อบส์ พูดและทำได้จริงตามคำกล่าวด้านบน
แน่นอนว่าเขาเป็นมากกว่าตำนาน เพราะจ็อบส์ไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีหรือเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่โลกเพียงอย่างเดียว แต่จ็อบส์คือนักคิด นักพูด นักศิลปะ และเป็นตัวอย่างของนักสู้ ที่ทนต่อสู้กับมะเร็งโรคร้ายเป็นเวลามากกว่า 8 ปี โดยไม่ทิ้งบริษัทให้เดินลำพัง จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ตลอดระยะเวลา 56 ปี ตั้งแต่เด็กชายจ็อบส์ถึงซีอีโอแอปเปิลได้สร้างสิ่งที่เป็นมากกว่าตำนานให้แก่โลกมากมาย แต่ชีวิตทุกชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกสิ่งต้องมีจุดเริ่มต้นและแรงผลักดัน...
จ็อบส์เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรนอกสมรสของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัย กับศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ มารดายกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ครอบครัว “จ็อบส์” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นช่างเครื่อง โดยขอสัญญาว่าบุตรชายของเธอจะต้องได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
เมื่อโตขึ้นจ็อบส์เข้าศึกษาต่อที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เพียง 6 เดือนจ็อบส์ตัดสินใจลาพักเรียนเพราะเหตุผลว่าไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ แต่เขาก็กลับเข้าศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยลงเรียนเฉพาะคอร์สที่เขาสนใจ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร (ซึ่งภายหลังเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ Macintosh) หลังจากนั้น เขาหยุดเรียนถาวรและไม่ได้ศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย
ไม่ว่าจะปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด หรือแม้แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของแอปเปิล สตีฟ จ็อบส์ จะมาในชุดแต่งกายเรียบง่ายคือเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีดำ ยี่ห้อ St.Croix กางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น 501 และสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อ New Balance รุ่น 992 เป็นประจำจนกลายเป็นเอกลักษณ์
ทั้งนี้ ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple Inc. และผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (Pixar Animation Studios) อย่างจ็อบส์นั้น นับถือพุทธศาสนานิกายเซนอย่างเปิดเผย ตามประวัติระบุว่าจ็อบส์เป็นผู้ที่สนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพลสูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จ็อบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา เขาจึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป
ปี 1974 จ็อบส์ในวัย 19 ปีได้ขอลาพักงานประจำที่ทำอยู่ในบริษัทเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ Atari เพื่อเดินทางไปอินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับเพื่อนรัก “แดเนียล คอตคี” เพื่อแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการรู้แจ้งเห็นจริงด้านจิตวิญญาณ และเมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เขากลายเป็นพุทธศาสนิกชน สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณและโกนศีรษะ หลังจากนั้น จึงเริ่มฝึกการบำบัดแบบกรีดร้องดังๆ และรับประทานผลไม้เป็นอาหาร และผลไม้ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ แอปเปิล
ปี 1976 ขณะอายุ 21 ปี จ็อบส์ได้เข้าทำงานกับบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจ็อบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)
ในปีเดียวกัน จ็อบส์และเพื่อนสมัยเรียน “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งแอปเปิลขึ้นที่โรงรถในบ้านของจ็อบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จ็อบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่อง Apple I และเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน
หนึ่งในมรสุมชีวิตของจ็อบส์เกิดขึ้นเมื่อจ็อบส์อายุ 30 ปี หลังจากเพิ่งเปิดตัว Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของตัวเองได้ปีเดียว เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากทะเลาะกับผู้บริหาร และกรรมการบริษัทก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้น ครั้งนั้นจ็อบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา ถึงกับคิดจะออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต โดนไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันหลังจากนั้นอีกหลายเดือน
แต่จ็อบส์ก็ค้นพบว่า ตัวเองยังคงรักในสิ่งที่ตัวเองเคยทำมา และความล้มเหลวที่แอปเปิลไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่องานด้านไอที จ็อบส์จึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และลงทุนใน Pixar ซึ่งขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนแอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกอย่าง Toy Story ไม่นาน แอปเปิลตัดสินใจซื้อบริษัท NeXT เพื่อทำให้จ็อบส์ได้กลับคืนสู่แอปเปิลอีกครั้ง ทำให้เทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ NeXT กลายเป็นหัวใจในยุคฟื้นฟูของแอปเปิล
ในระหว่างอิ่มเอมกับความสำเร็จ จ็อบส์ก็เริ่มป่วยและมีอาการทรุดโทรมจากผลของมะเร็ง โดยในเดือนสิงหาคม 2004 ชายวัย 49 ปี ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับ
“หมอแนะนำว่าผมควรกลับไปจัดการธุระที่บ้านให้เรียบร้อยซะ ความหมายอีกนัยหนึ่งของหมอก็คือให้เตรียมพร้อมจะตายได้เลย หมายถึงให้กลับไปสั่งเสียลูกๆ ทั้งๆที่ ตอนแรกคุณนึกว่าจะได้มีเวลาบอกเขาอีกสักสิบปี แทนที่จะเหลือแค่ 2-3 เดือน”
จากนั้น ในปี 2009 จ็อบส์เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ และกลับไปทำงานที่แอปเปิลอีกครั้ง หลังลาหยุดเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนจะลางานรักษาตัวอีกครั้งช่วงเดือนมกราคม 2011 ที่ผ่านมา และลาออกจากตำแหน่งซีอีโอแอปเปิลในเดือนสิงหาคม ก่อนจะเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 54 รวมวัย 56 ปี
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000128102
มดเอ๊กซ:
บทเรียนชีวิต “สตีฟ จ๊อบส์” ทำวันนี้ให้ดีที่สุด…ถึงตายก็ไม่เสียชาติเกิด
ช่วงชีวิตของคนเรานั้นมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาให้กับการใช้ชีวิตตามคนอื่น…แต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เสมือนว่าเป็นวันสุดท้ายของชีวิต!! นี่คือสุดยอดปรัชญาการใช้ชีวิต ที่ศาสดาแห่งอารยธรรมโลกยุคใหม่ สตีฟ จ๊อบส์ ซีอีโอใหญ่ผู้ก่อตั้งแอปเปิล ได้ฝากไว้ให้เหล่าสาวกรุ่นหลัง เป็นเข็มทิศนำทางสู่ความสำเร็จตามวิถีของสตีฟ จ๊อบส์ ที่เรียบง่าย ทว่าทรงพลัง
สำหรับสาวกของ “สตีฟ จ๊อบส์” รวมถึงแฟนพันธุ์แท้ของ iPod, iPhone และ iPad คงไม่ต้องบอกว่ารู้สึกช็อกขนาดไหนกับข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของผู้ให้ กำเนิดแอปเปิล ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน ขณะอายุเพียง 56 ปี เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา (6 ต.ค.) เขาถือเป็นนัก สู้พันธุ์อึดตัวจริง ที่กัดฟันทนต่อสู้กับมะเร็งร้ายมาต่อเนื่องหลายปี ตราบจนถึง วินาทีสุดท้าย โดยไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้โลกเห็น
นอกจากการสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำ ยุคล้ำสมัย ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน จนพลิกโลกใบนี้ทั้งใบ และก่อให้เกิดอารยธรรมใหม่ที่เรียกว่า อารยธรรมแอปเปิล ซึ่งมีสาวกทั่วโลกเฝ้าติดตามสิ่งประดิษฐ์ของเขาอย่างใจจดใจจ่อ “สตีฟ จ๊อบส์” ยังได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ยุคใหม่ ที่โลก ทั้งโลกต้องหยุดฟังสิ่งที่เขาพูด เพราะแต่ละประโยคแต่ละถ้อยคำล้วนกลั่นออกจากความคิดที่ตกผลึกแล้ว อย่างคนที่รู้เท่าทันชีวิตจริงๆ
ชีวิตวัยเด็กของ “จ๊อบส์” ค่อนข้างสมบุกสมบันกว่าคนทั่วไป เขาเป็น ลูกที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของพ่อแม่วัยเรียน โดยพ่อเป็นชาวซีเรีย ส่วนแม่ เป็นสาวมะกัน ด้วยความไม่พร้อมหลายอย่างทำให้พ่อแม่แท้ๆยกเขาให้เป็น ลูกบุญธรรมของช่างซ่อมเครื่องยนต์ในย่านซิลิคอน วัลเลย์ ซึ่งมีฐานะยากจนและเป็นเพียงชนชั้นแรงงาน พ่อบุญธรรมสอนให้เขาเรียนรู้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆตั้งแต่เด็ก ส่วนแม่บุญธรรมสอนให้อ่านออกเขียนได้ก่อนเข้าโรงเรียน
แม้เขาจะไม่ ได้เกิดมาพร้อมกับวาสนา แต่ก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนดีเสมอ รวมถึงหุ้นส่วนธุรกิจคนสำคัญ “สตีเฟน วอซเนียก” รุ่นพี่ที่เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเจอกันในช่วงเรียนไฮสกูล ขณะนั้น “จ๊อบส์” อายุ 14 ปี ส่วน “วอซ” โตกว่า 5 ปี ต่อมาทั้งคู่ได้กอดคอกันทำธุรกิจ ล้มลุก คลุกคลานด้วยกันมาหลายปี กระทั่งจับจุดถูกจับมือกันก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ที่ชื่อว่า Apple Computer เป็นครั้งแรกที่โรงรถในบ้านของเขาเอง และ ภายในเวลาแค่ 3 ปีเศษ “จ๊อบส์” ก็กลายเป็นเจ้าของบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ ที่มีรายได้นับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะนั้นเขาอายุ 25 ปี
ก่อนจะค้น พบเส้นทางสู่ความเป็นหนึ่ง “จ๊อบส์” เคยสับสนในชีวิตพักใหญ่ เขาตัดสินใจหยุดเรียนกลางคัน เพราะผิดหวังกับระบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย และสงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักเพื่อจ่ายค่าเทอม แพงๆ ช่วงนั้นชีวิตของเขามืดมนเคว้งคว้าง ต้องไปอาศัยนอนที่พื้นห้องของเพื่อน และหารายได้ประทังชีวิตด้วยการเก็บขวดโค้กขาย และเข้าคิวรับบริจาค อาหารจากโบสถ์ ยังดีที่ภายหลังตัดสินใจกลับเข้าห้องเรียนอีกครั้ง (แม้จะ เรียนไม่จบ) โดยลงเรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการคิดค้น ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆในเวลาต่อมา
ช่วง ที่กลับมาเรียนมหาวิทยาลัยรอบสอง “จ๊อบส์” เริ่มหันมาศึกษาพุทธศาสนานิกายเซน และฝึกนั่งสมาธิ เมื่อลาออกจากมหาวิทยาลัยรีด เขาตัดสินใจเดินทางไปอินเดียกับเพื่อนรัก เพื่อค้นหาคำตอบเรื่องการรู้แจ้งเห็นจริง และการหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณ ตอนนั้นเขาโกนหัว ใส่ชุดนักบวช กินมังสวิรัติ และนั่งสมาธิด้วยศรัทธาแรงกล้า
ว่ากันว่าการเข้าถึงวิถีแห่งเซนที่ มุ่งศึกษามาหลายสิบปี โดยเน้นการ ปฏิบัติสมาธิ และแสวงหาหลักความจริง โดยถือคติว่าเวลาดีที่สุดคือปัจจุบัน ทำให้เขาเข้าใจแก่นแท้ของชีวิตและการทำงานอย่างมีสติ ที่สำคัญยังเป็นรากฐานหนุนส่งให้ “สตีฟ จ๊อบส์” กลายเป็น “สตีฟ จ๊อบส์” เช่นทุกวันนี้
“ถ้าคุณใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของ ชีวิต วันหนึ่ง คุณก็จะสมหวัง…ทุกเช้าผมจะมองกระจก และถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้เป็น วันสุดท้าย ผมอยากทำอะไร และวันนี้ผมจะทำอะไร หากได้คำตอบว่า ไม่อยากทำอะไรหลายๆวันติดต่อกัน ก็ต้องรู้ตัวว่าถึงเวลาเปลี่ยน แปลงบางอย่างในชีวิตได้แล้ว”
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ 8 ต.ค. 54
มดเอ๊กซ:
เรียน"วิชาสุดท้าย"กับ "สตีฟ จ๊อบส์"
ในวันที่บริษัทแอปเปิ้ลเปิดตัว iPhone4S โดยซีอีโอคนใหม่ "ทิม คุก" บรรดาสาวกแอปเปิ้ลต่างรู้สึกหวนคิดถึงภาพของ "สตีฟ จ๊อบส์" ในเสื้อผ้าลำลองกางเกงยีนส์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ล ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรมันก็ดูน่าหยิบจับน่าเลื่อมใสกับการเป็น ตำนาน ผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ลของเขา
นอกจากความเป็นตำนานนี้ ยังรวมถึงวิธีคิดวิธีทำงานและเส้นทางของจ๊อบส์เองที่เหมือนตะเกียงของคนที่สร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับโลกใบนี้ และเป็นไอคอนของแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนไม่น้อยในโลก
การเสียชีวิตของจ๊อบส์ที่มีขึ้นเพียงวันเดียวหลังแอปเปิ้ลเปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวใหม่ เสมือนเป็นจุดจบหนึ่งของจุดเริ่มต้นใหม่ของแอปเปิ้ลด้วยเช่นกัน ในแบบฉบับที่สตีฟ จ๊อบส์เรียกมันว่า "การเชื่อมจุด"
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ขอนำเสนอ "สุนทรพจน์" ที่ดีที่สุดและดังที่สุดของสตีฟ จ๊อบส์ ซึ่งเขาได้กล่าวถ้อยคำอันมีความหมายมากมาย ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อ 12 มิ.ย.2548
ผ่านจากวันนั้นถึงวันนี้ 6 ปี ของสุนทรพจน์ดังบทหนึ่งแห่งยุคได้ให้แนวทางและยังเป็นเหมือน "ตะเกียง" ให้คนรุ่นหลังได้ลองอย่างที่เขาได้ "ลอง" ด้วยวลีที่เขาประกาศว่า "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"
สุนทรพจน์นี้ทำให้เราเห็นตัวตนของเขาชัดเจน ตั้งแต่ความเป็นคนนอกกรอบ กล้าลอง เชื่อในความหวัง โชคชะตา และมีวิถีคิดในเชิงพุทธและสุดท้ายแม้สุนทรพจน์นี้จะผ่านมาแล้วถึง 6 ปี ทว่ามันกลับเหมือนเป็น "คำพูดบอกลา" ได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน
"ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่"--สตีฟ จ๊อบส์กล่าว
ประชาชาติธุรกิจแบ่งเนื้อหาของสุนทรพจน์นี้ออกเป็น 3 ช่วงของชีวิตสตีฟ จ๊อบส์ นั่นคือ การเชื่อมจุด , ความรักและการสูญเสีย, ความตาย
เนื้อหาของสุนทรพจน์เรียบเรียงจากหนังสือ "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ OpenBooks
**บทเรียนที่ 1 จ๊อบส์เรียกมันว่า "การเชื่อมจุด"
"ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆทั้งหลายในวันจบการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชึวิตจริง
ของผมให้น้องๆฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น"
"เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุดครับ"
"ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยรีดหลังจากไปเรียนอยู่ที่นั่น 6 เดือน แต่ก็ไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก?"
"เหตุมันเกิดก่อนผมเกิด แม่แท้ๆของผมเป็นนักเรียนสาวที่จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้แต่งงาน แม่อยากยกผมให้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่จบปริญญา ก็เลยจัดการให้ทนายคนหนึ่งกับภรรยารับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้คู่
นี้เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายขึ้นมา คิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า พ่อแม่ผมก็เลยต้องรับโทรศัพท์กลางดึก หมอถามว่า ทารกเป็นเด็กชายคุณยังอยากเลี้ยงเขาอยู่รึเปล่า?"
"พ่อแม่ผมตอบว่า แน่นอน ตอนหลังแม่แท้ๆของผมค้นพบว่า แม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของผมไม่เคยจบมัธยมปลาย แม่ก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม มายอมหลายเดือนหลังจากนั้น
ก็ตอนที่พ่อแม่ผมสัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย
หลังจากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดเพื่อส่งผมเรียน หลัง
จากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต
ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่
สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรีนยแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน
ชีวิตของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติกหรอกนะครับ ผมไม่มีหอพักแล้ว ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นในห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กไปแลกเงินค่าคืนขวด 5 เซ็นต์ เก็บไปซื้อข้าวกิน และทุกๆวันอาทิตย์ ผมจะเดิน 7 ไมล์จาก
ฟากหนึ่งของเมืองไปยังอีกฟากหนึ่งเพื่อไปกินข้าวดีๆซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ ผมรักมันมาก การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้เจอหลายสิ่งโดยบังเอิญ ผมจะยกตัวอย่างซัก
เรื่องนะครับ
มหาวิทยาลัยรีดสมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลา
ออกแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟแบบซานเซรีฟ เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็น
เรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีก 10 ปี ต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำ
ให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรุปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม และเพราะวินโดวส์ใช้
วิธีก๊อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แน่นอนครับ มันเป็นไปไม่
ได้ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต
ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้องๆต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้องๆต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะ
ครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตะ ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก
**บทเรียนที่ 2 ความรักและการสูญเสีย
ผมเป็นคนโชคดีที่ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซก่อตั้งแอปเปิ้ลในโรงรถของพ่อแม่ผม ตอนผมอายุ 20 ปี เราทำงานกันหนักมากครับ ภายใน 10 ปี แอปเปิ้ลขยายจากแค่เรา 2 คน ในโรงรถ เป็นบริษัท
มูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญที่มีพนักงานกว่า 4,000 คน ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา เครื่องแมคอินทอช 1 ปีก่อนหน้าที่ผมจะอายุเต็ม 30 ปี แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำยังไงคนเราถึงได้ถูกไล่
ออกจากบริษัทที่เราก่อตั้งมาเองกับมือหรือครับ?
คือว่าเมื่อแอปเปิ้ลโตขึ้น เราก็จ้างคนที่เราคิดว่าเก่งมากๆมาช่วยผมบริหารบริษัท ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มแยกทางกัน จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น คณะ
กรรมการบริษัทเลือกอยู่ข้างเขา ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุ 30 ปี แล้วก็ออกแบบเป็นข่าวดังมากด้วย ในพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผมก็สลายไป มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก
ผมไม่รู้จะทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้นผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวังรู้สึกว่าผมทำไม้ผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมันมาให้ผม ผมไปพบเดวิด แพคการ์ด กับบ๊อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษพวก
เขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่โด่งดัง ช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มคิดได้อย่างช้าๆว่าผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิ้ลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยุ่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่
ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฎว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ลกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดกับผมได้ ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อ
มั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพที่จะเข้าสู่ช่วงที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต
ในช่วง 5 ปี หลังจากนั้น ผมก่อตั้งบริษัทชื่อ เน็กสต์ อีกบริษัทชื่อ พิกซาร์ และตกหลุมรักผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาผม พิกซาร์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นล้วนๆ เรื่องแรกของ
โลก คือ ทอย สตอรี่ และตอนนี้เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก หนึ่งในเหตุการณ์พลิกผันอันน่าพิศวงคือ เมื่อแอปเปิ้ลซื้อกิจการของเน็กสต์ กลับคืนสู่แอปเปิ้ล และเทคโนโลยีที่พัฒนาที่เน็กสต์ก็
กลายเป็นหัวใจของแอปเปิ้ลยุครุ่งเรืองในปัจจุบัน ตอนนี้ลอรีน และผมมีครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน
ผมเชื่อว่าเรื่องราวเหลานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าแอปเปิ้ลไม่ไล่ผมออก แม้มันจะเป็นยาที่ขมมาก แต่ผมก็คิดว่าเป็นยาที่คนป่วยต้องการพอดี บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธานะครับ ผมเชื่อว่าสิ่งเดียว
ที่ทำให้ผมผ่านช่วงนั้นมาได้ คือความรักในสิ่งที่ผมทำ น้องๆต้องหาสิ่งที่ตัวเองรัก ผมหมายถึงทั้งงานและคนรัก เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน คือ เมื่อเราทำ
งานที่ยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้งานออกมายอดเยี่ยมคือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ ถ้าน้องๆยังหางานนั้นไม่เจอ จงหาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง งานก็เหมือนเรื่องของหัวใจเรื่องอื่นๆ ตรงที่เราจะรู้ว่ามัน "ใช่" เมื่อได้เจอ
กับมัน และการทำงานก็เหมือนความสัมพันธ์ที่ดีแบบอื่น คือมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นผมอยากย้ำให้น้องๆ ตามหางานที่รักจนกว่าจะเจอ อย่าท้อถอย
**บทเรียนที่ 3 ความตาย
ตอนผมอายุ 17 ปี ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้ ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็ วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมาก
ก่วา 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองวา ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า? แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ไม่ ติดกันหลายวัน ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยน
อะไรบางอย่างแล้ว
ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิด
พลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่
แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ
ประมาณ 1 ปีก่อน หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งผมไปเข้าเครื่องสแกนเวลา 7 โมงครึ่งตอนเช้า ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผม
เป็นมะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3-6 เดือน หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆที่คั่งค้างอยู่ก็เป็นโค้ดของหมอที่แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆ
ถึงสิ่งต่างๆที่คนปกติมีเวลา 10 ปีที่จะบอกให้บอกภายในไม่กี่เดือน แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา แปลว่าให้เอ่ยคำลา
ผมหมกหมุ่นอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคปลงไปในคอผมผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อนดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์
ออกมา ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์มะเร็ง หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายากที่สามารถรักษาให้หายได้
ด้วยการผ่าตัด หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต ผมหวังว่ามันจะไม่มาใกล้กว่านี้แล้วในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆฟังด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตายเป็นแค่นามธรรมสำหรับผม
ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมัน แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่
ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่ ตอนนี้น้องๆทุกคนเป็นของใหม่ แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆจะกลายเป็นของเก่าที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจฟังดู
เว่อร์นะครับ แต่มันเป็นความจริง
เวลาของน้องๆมีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์ นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจของ
เราเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจและสัญชาตญาณเรียกร้อง เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่าน้องๆอยากเป็นอะไรทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมาทั้งนั้น
ตอนผมเป็นเด็กมีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่มหนึ่งชื่อ แคตตาล็อกของโลก (The Whole Earth Catalog) ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม คนคิดแคตตาล็อกนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เป็นคน
เมืองเม็นโล ปาร์ค ไม่ไกลจากนี่เลยครับ เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี เรากำลังพูดถึงช่วงทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโปรแกรมเวิร์ด แปลว่าแคตตาล็อคนี้ผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีด
กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆกับกูเกิลในรูปกระดาษ 35 ปี ก่อนกูเกิลเกิด มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆมากมาย
สจวตและทีมของเขาผลิตแคตตาล็อกออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมาประมาณกลางทศวรร 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้ ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยาม
เช้า แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ ใต้รูปเขียนว่า อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ Stay Hungry. Stay Foolish. แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอด และในวันนี้วันที่น้องๆออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มชีวิตใหม่
ผมขออวยพรให้น้องๆด้วยประโยคนี้ครับ "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ" ขอบคุณมากครับ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1317895875&grpid=no&catid=04
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version