วิถีธรรม > แนวทางปฏิบัติธรรม
“สภาวธรรม” ใน ศาสตร์อิสระ
ฐิตา:
กิริยาดับ สภาพที่ดับ อาการดับไปแห่งรูปนาม
ความทรงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ของรูปนาม
ท่านเรียกว่า “ทุกขัง” แปลว่า ทนอยู่ไม่ได้
ความเป็นไปต่างๆ นานา
ความไม่อยู่ในอำนาจ
ความไม่อยู่ในบังคับบัญชาของรูปนามนี้
เรียกว่า “อนัตตา” แปลว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล
อาการทั้ง ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้
ถูกเรียกรวมกันว่า “สามัญญสภาวะ” แปลว่าสภาวะสามัญทั่วไป
เป็นสาธารณะแก่รูปนามทุกชนิด ทุกทวาร
รวมไปจนกระทั่ง มหาภูตรูป อันเป็นส่วนของกายภาพด้วย
แม้ประทั่งรูปภายนอกทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต
วัตถุต่างๆ ที่มีในสากล จักรวาล
ชีวิตต่างๆ ในสากลจักรวาล
ก็ล้วนตกอยู่ในสามัญลักษณะนี้ เช่นเดียวกัน
คือ เสื่อมไป เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา
ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
และบังคับบัญชาก็ไม่ได้ด้วย
นี้คือความหมายของ “สามัญญสภาวะ”
บางทีก็เรียกกันว่า “สามัญญลักษณะ”
บางทีก็เรียกว่า “ไตรลักษณ์”
คำทั้ง ๓ นี้เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน
ต่อไปนี้จะใช้คำว่า “ไตรลักษณ์”
ในการกล่าวเรียกสภาวะทั้ง ๓ นี้
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ฐิตา:
ไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์มี ๒ ประเภท คือ
๑. ไตรลักษณ์โดยอาการ ๑
๒. ไตรลักษณ์โดยสภาวะ ๑
ไตรลักษณ์โดยอาการ
ถ้าเราได้ยินคำพรรณนาความไม่เที่ยงของชีวิต ว่า
เกิดขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
มีการเจริญเติบโต เป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วก็แก่เฒ่า
แล้วก็ตายไปในที่สุด
สังขารร่างกายมีความเสื่อมไปทุกขณะ
นี้เป็นความไม่เที่ยงโดยอาการ
หรือ “พรรณนาอนิจจังโดยอาการ”
ถ้าเราได้ยินคำพรรณนาว่า ชีวิตนี้
มีแต่ทุกข์ ทุกข์เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ทุกข์เพราะหิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ
นั่งนานก็เป็นทุกข์ ยืนนานก็เป็นทุกข์
เดินนานก็เป็นทุกข์ นอนนานก็เป็นทุกข์
การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
อันนี้เป็นการ “พรรณนาทุกขังโดยอาการ”
ถ้าเราได้ยินคำพรรณนาว่า
อัตภาพร่างกายนี้ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา
จะสั่งบังคับว่า ผมจงอย่าหงอกมันก็จะหงอก
หนังจงอย่าเหี่ยวมันก็จะเหี่ยว
ฟันจงอย่าหัก มันก็จะหัก
กายจงอย่าป่วยมันก็จะป่วย
ช่างบังคับบัญชาไม่ได้เอาเสียเลย
อันนี้เป็นการ “พรรณนาอนัตตาโดยอาการ”
ฐิตา:
ไตรลักษณ์โดยสภาวะ
ไตรลักษณ์โดยสภาวะนี้ได้แก่
ลักษณะของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของ รูปนาม
ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว อยู่ทุกนาที ทุกวินาที
มีลักษณะเกิดขึ้นแล้ว ดับไปอยู่ตลอดเวลา
สภาวะที่ว่านี้ไม่เคยหยุดยั้งความเป็นไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ถ้าฟังเรื่องนี้หรืออ่านเรื่องนี้แล้วยังไม่เข้าใจ
ก็ไม่ต้องนึกเสียใจ หรือนึกท้อ
เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ด้วยการอ่าน หรือการฟัง
แต่เป็นสิ่งที่จะรู้ได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น
และจะต้องปฏิบัติให้ได้วิปัสสนาญาณขั้นที่ ๓-๔ ขึ้นไปจึงจะเห็นได้
การอ่านและการฟัง
อย่างมากก็ช่วยให้คาดคะเน
ถึงไตรลักษณ์ว่าลักษณะเป็นอย่างไร
แต่เชื่อไหมว่า
ไม่ว่าจะคาดคะเนอย่างไร เป็นนักคิดแค่ไหน
ไตรลักษณ์ตามคาดคะเน
ก็จะไม่เป็นเหมือนอย่างที่เห็นเองจริงๆ เลย
คิดคาดคะเนอย่างไรก็ไม่ไกล้ความจริง
ส่วนไตรลักษณ์โดยอาการนั้น
แม้ผู้ไม่ปฏิบัติวิปัสสนา
ก็พอจะคาดคะเนได้ออก
คิดตามได้ตรงตามที่สภาพร่างกายควรจะเป็น
แม้ไม่ต้องปฏิบัติวิปัสสนาก็รู้ ก็เห็นว่า
ชีวิตร่างกายนี้ ไม่เที่ยงอย่างไร
เป็นทุกข์อย่างไร เป็นอนัตตาอย่างไร โดยอาการ
(มีต่อ : นิพพาน)
ฐิตา:
นิพพาน
แม้การเห็นนิพพาน ก็เป็นการเห็นที่สภาวะเหมือนกัน
เพียงแต่สภาวะของนิพพาน ไม่เป็นอย่างสภาวะทั้ง ๒ นี้
เพราะ นิพพาน เป็น อนิมิตสภาวะ
คือไม่มีนิมิตหมายให้กำหนดรู้ได้
ถ้าเป็นวิเสสลักษณะ
ยังมีลักษณะเฉพาะของรูปนามแต่ละชนิด
เป็นนิมิตหมายให้กำหนดรู้ได้
ถ้าเป็นสามัญญลักษณะยังมีลักษณะเกิดดับ
แปรปรวนของรูปนามเป็นนิมิตหมายให้กำหนดรู้ได้
แต่นิพพานไม่มีนิมิตหมายใดทั้งสิ้น
ดังนั้นสภาวะของนิพาน
จึงเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งรู้ได้ยาก
ข้อที่น่าคิดคือ
แม้ความไม่มีนิมิตหมายใดใด
ก็เป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่ง
สรุปความว่า
รูปนามมี วิเสสสภาวะ (วิเสสลักษณะ)
เป็นนิมิตหมายให้กำหนดรู้
สามัญญสภาวะเป็นลักษณะของความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เป็นนิมิตหมายให้กำหนดรู้
ส่วนนิพพานไม่มีนิมิตหมายใดใดให้กำหนดรู้
แต่ผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ กลับรู้เห็นในความไม่มีอะไรนั้น
ดังนั้น แม้ภาพความว่างเปล่า
ไม่มีอะไรก็เป็นสภาวะอย่างหนึ่ง
ซึ่งไม่เหมือนสภาวะใดใดที่โลกมี
สิ่งใดที่เกิดอยู่ในโลก
เป็นฝักฝ่ายของโลกีย์
สิ่งนั้นไม่มีในนิพพาน
เป็นฝักฝ่ายแห่งโลกุตตระ
สิ่งนั้นไม่มีอยู่ในโลกีย์
เป็นภาวะพ้นไปอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น คำว่า “หลุดพ้น”
จึงเป็นไวพจน์อีกคำหนึ่งของคำว่า “นิพพาน”
สรุปความว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
นั้นหมายถึง การเห็นในสภาวธรรมทั้ง ๓ อย่าง คือ
๑. เห็นวิเสสสภาวะตามความเป็นจริง
๒. เห็นสามัญญสภาวะตามความเป็นจริง
๓. เห็นสภาวะนิพพานตามความเป็นจริง
(ที่มา “สภาวธรรม” ในหนังสือ ศาสตร์อิสระ โดย นวองคุลี : วัดสุวรรณประสิทธิ์,
พิมพ์ครั้งที่ ๒, พ.ศ. ๒๕๔๓, หน้า ๓๔-๔๖)
คัดลอกโดย : กุหลาบสีชา
: http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15103
: http://www.sookjai.com/index.php?topic=5441.0
Pics by : Google
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ...
(〃ˆ ∇ ˆ〃):
อนุโมทนาสาธุค่ะพี่แป๋ม :13:
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version