(31-40) ส่วน
กรรมฐานอีก 6 ประการคือ
อัปปมัญญาพรหมวิหาร 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุวัตถาน 1 จะไม่อธิบาย จะได้อธิบายแต่
อรูปกรรมฐาน 4 ดังต่อไปนี้
โยคาวจรกุลบุตรผู้
เจริญอรูปกรรมฐานที่หนึ่งพึงกสิณทั้ง 9 มีปฐวีกสิณเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเว้นอากาศกสิณเสีย เมื่อสำเร็จรูปาวจรฌาณอันเป็นที่สุดแล้วเจริญอรูปาวจรฌาณในอรูปกรรมฐานต่อไป พึงเพิกกสิณนั้นเสีย คืออย่ากำหนดนึกหมายเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์ พึงตั้งจิตเพ่งนึกพิจารณาอากาศที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศ ที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศเปล่าเป็นอารมณ์ พิจารณาไปๆ จนอากาศเปล่าเท่าวงกสิณปรากฏในมโนทวารในกาลใด ในกาลนั้นให้โยคาวจรพิจารณาอากาศอันเป็นอารมณ์ บริกรรมว่า
อนนโต อากาโส อากาศไม่มีที่สิ้นสุดดังนี้ร่ำไป เมื่อบริกรรมนึกอยู่ดังนี้เนืองๆ จิตก็สงบระงับตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิไปจนถึงอัปปนาสมาธิโดยลำดับ สำเร็จเป็นอรูปฌาณที่ 1 ชื่อว่า อากาสานัญจายตนฌาณ
เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 2 ต่อไป พึงละอากาศนิมิตที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่แรกนั้นเสีย พึงกำหนดจิตที่ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์นั้นมาเป็นอารมณ์ต่อไป บริกรรมว่า
อนนตํ วิญญาณํ วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 2 ชื่อว่า วิญญาณัญจายตนฌาณ
เมื่อจะ
เจริญอรูปฌาณที่ 3 ต่อไป
พึงละอรูปวิญญาณทีแรกที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 2 นั้นเสีย
มายึดหน่วงเอาความที่ไม่มีของอรูปฌาณทีแรก คือ
กำหนดว่าอรูปวิญญาณแรกนี้ไม่มีในที่ใด ดังนี้เป็นอารมณ์แล้วบริกรรมว่า
นตถิกิญจิๆ อรูปวิญญาณทีแรกนี้มิได้มีมิได้เหลือติดอยู่ในอากาศดังนี้ เนืองๆ ไปก็จะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 3
ชื่อว่า อากิญจัญญายตนฌาณ
เมื่อจะเจริญ
อรูปกรรมฐานที่ 4 ต่อไป พึงปล่อยวางอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 3 คือ
ที่สำคัญมั่นว่าอรูปฌาณทีแรกไม่มีดังนี้เสีย พึงกำหนดเอาแต่ความละเอียดปราณีตของอรูปฌาณที่ 3 เป็นอารมณ์ทำบริกรรมว่า
สนตเมตํ ปณีตเมตํ อรูปฌาณที่ 3 นี้ละเอียดนักประณีตนัก จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ดังนี้เนืองๆ ไป ก็จะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 4
ชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณจะอธิบาย
ฌาณและสมาบัติต่อไป ฌาณนั้นว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่างคือ รูปฌาณและอรูปฌาณอย่างละ 4 ฌาน
เป็นฌาณ 8 ประการ ฌาณทั้ง 8 นี้ เป็นเหตุให้เกิดสมาบัติ 8 ประการ บางแห่งท่านก็กล่าวว่า
ผลสมาบัติ ต่อได้ฌาณมีวสี ชำนาญดีแล้ว จึงทำให้สมาบัติบริบูรณ์ขึ้นด้วยดีได้
เพราะเหตุนี้สมาบัติจึงเป็นผลของฌาณ ก็สมาบัติ 8 ประการนี้ ในภายนอกพระพุทธศาสนาก็มี
แต่ไม่เป็นไปเพื่อดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ได้แต่เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหารและเป็นไปเพื่อเกิดในพรหมโลกเท่านั้น เหมือนสมาบัติของอาฬารดาบส และอุทุกดาบสฉนั้น ส่วนสมาบัติพระพุทธศาสนานี้ ย่อมเป็นไป
เพื่อรำงับดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่าง คือ
ผลสมาบัติและนิโรธสมาบัติ ผลสมาบัตินั้นย่อมสาธารณะทั่วไปแก่พระอริยเจ้าสองจำพวกคือ พระอนาคามีกับพระอรหันต์ที่ได้สมาบัติ 8 เท่านั้น
อนึ่งฌาณและสมาบัตินี้ ถ้าว่า
โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เพราะฌาณนั้นเป็นที่ถึงด้วยดีของฌานลาภีบุคคล จริงอยู่ในอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า
ฌานลาภีบุคคล ถึงด้วยดีซึ่งสมาบัติ คือฌาณเป็นที่ถึงด้วยดี มีปฐมฌาณเป็นต้นดังนี้ อนึ่ง ในพระบาลีแสดง
อนุบุพพวิหารสมาบัติ 9 ไว้ คือ
ปฐม ทุติย ตติย จตุตถฌาณ อากาสานัญจายตน วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสมาบัติที่อยู่ตามลำดับของ
ฌาณลาภีบุคคลดังนี้ อนึ่งท่านแสดง
อนุบุพพนิโรธสมบัติ 9 ไว้ว่า ฌาณลาภีบุคคลเมื่อถึง
ด้วยปฐมฌาณ วิตก วิจารณ์ดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่ง
ตติยฌาณ ปิติดับไป เมื่อถึงด้วยดี ซึ่ง
จตุตถฌาณ ลมอัสสาสะปัสสาสะดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่ง
อากาสานัญจายตนฌาณ รูปสัญญาดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่ง
วิญญาณัญจายตนฌาณ สัญญาในอากาสานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากิญจัญญายตนฌาณ สัญญาในวิญญานัญจายตนฌาณ
ดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งเนวสัญญานาสัญญยตนฌาณสัญญาในอากิญจัญญายตนฌาณ
ดับไป เมื่อถึงด้วยดี
ซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนา
ดับไป ธรรม 9 อย่างนี้ชื่อ
อนุบุพพนิโรธสมาบัติ สมาบัติเป็นที่ดับหมดแห่งธรรม
อันเป็นปัจจนึกแก่ตนตามลำดับฉะนี้ คำในอรรถกถาและบาลีทั้ง 2 นี้ส่องความให้ชัดว่า ฌาณและสมาบัติ สมาบัติเป็นผล วิเศษแปลกกันแต่เท่านี้
บุคคลใดปฏิบัติชอบแล้ว บุคคลนั้น
ย่อมพิจารณาความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลาย
ย่อมเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีน้อยหนึ่งในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เห็นซึ่งอะไรๆ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุดในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งจะเข้าถึงความเป็นของไม่ควรถือเอา อุปมาเหมือนบุรุษไม่เห็นซึ่งที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุด
ในก้อนเหล็กแดงอันร้อนอยู่ตลอดวัน ที่เข้าถึงความเป็นของควรจับถือสักแห่งเดียวฉันใด บุคคล
พิจารณาเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายนั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดี
ในสังขารเหล่านั้นแม้น้อยหนึ่งฉันนั้น
เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นว่าเป็นของร้อนพร้อม ร้อนมาแต่ต้นตลอดโดยรอบ
มีทุกข์มากมีคับแค้นมาก ถ้าใครมาเห็นได้ซึ่งความไม่เป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายไซร้ ธรรมชาตินี้คือธรรมชาติเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สลัดคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา ธรรมชาติเป็นที่ปราศจากเครื่องย้อม ธรรมชาติเป็นที่ระงับความกระหาย ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ ธรรมชาตินั้นเป็นที่สงบ เป็นของปราณีตดังนี้ ฐานที่ตั้งแห่งธรรมอันอุดมนี้คือ
ศีล บุคคลตั้งมั่นในศีลแล้ว เมื่อกระทำในใจ
โดยชอบแล้ว จะอยู่ในที่ใดๆ ก็ตาม
ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมทำให้
แจ้งซึ่ง
พระนิพพานด้วยประการฉะนี้
เมื่อโยคาวจร
ตั้งธรรม 6 กอง มีขันธ์ 5 เป็นต้น มี
ปฏิจจสมุปบาทเป็นที่สุดได้เป็นพื้น คือพิจารณาให้รู้จักลักษณะแห่งธรรม 6 กอง ยึดหน่วงเอาธรรม 6 กองไว้เป็นอารมณ์ได้แล้ว
ลำดับนั้นจึงเอาศีลวิสุทธิและจิตตวิสุทธิมาเป็นรากฐาน ศีลวิสุทธินั้นได้แก่
ปาฏิโมกขสังวรศีล จิตตวิสุทธินั้นได้แก่
อัฏฐสมาบัติ 8 ประการ เมื่อตั้งศีลวิสุทธิ และจิตตวิสุทธิเป็น
รากฐานแล้ว ลำดับนั้นโยคาวจร
พึงเจริญวิสุทธิทั้ง 5 สืบต่อไปโดยลำดับๆ เอา
ทิฏฐิวิสุทธิและกังขาวิตรณวิสุทธิเป็นเท้าซ้ายเท้าขวา เอามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นมือซ้ายมือขวา เอา
ญาณทัสสนวิสุทธิเป็นศีรษะเถิด
จึงจะอาจสามารถยกตนออกจากวัฏฏสงสารได้ทิฏฐิวิสุทธินั่นคือ
ปัญญาอันพิจารณาซึ่งนามและรูปโดย
สามัญลักษณะ มี
สภาวะเป็นปริณามธรรม
มิได้เที่ยงแท้ มีปกติแปรผันเป็นต้น เป็นปัญญาเครื่อง
ชำระตนให้บริสุทธิ์จากความเห็นผิดต่างๆ โยคาวจรเจ้าผู้ปรารถนาจะยังทิฏฐิวิสุทธิให้บริบูรณ์ พึงเข้าสู่ฌาณสมาบัติตามจิตประสงค์ ยกเว้นเสียแต่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เพราะละเอียดเกินไป
ปัญญาของโยคาวจรจะพิจารณาได้โดยยาก พึงเข้าแต่เพียง
รูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 3 ประการนั้นเถิด เมื่อออกจาก
ฌาณสมาบัติอันใดอันหนึ่งแล้ว
พึงพิจารณาองค์ฌาณ มีวิตกวิจารณ์เป็นต้น แล้วเจตสิกธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนั้น
ให้แจ้งชัดโดยลักษณะ กิจ ปัจจุปัฏฐานและอาสันนการณ์ แล้วพึงกำหนดกฏหมายว่า องค์ฌาณและธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนี้
ล้วนแต่เป็นนามธรรม เพราะเป็นสิ่งที่
น้อมไปสู่อารมณ์สิ้นด้วยกัน แล้วพึงกำหนดพิจารณา
ที่อยู่ของนามธรรม จนเห็นแจ้งว่า
หทัยวัตถุ เป็นที่อยู่แห่ง
นามธรรม อุปมาเหมือนบุรุษเห็นอสรพิษภายในเรือน เมื่อติดตามสกัดดูก็รู้ว่าอสรพิษอยู่ที่นี่ๆ ฉันใด โยคาวจรผู้แสวงหาที่อยู่แห่ง
นามธรรมฉันนั้น ครั้นแล้วพึงพิจารณา
รูปธรรมสืบต่อไป จนเห็นแจ้งว่า
หทัยวัตถุนั้นอาศัยซึ่งภูตรูปทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้อุปาทานรูปอื่นๆ ก็อาศัยภูตรูปสิ้นด้วยกัน
รูปธรรมนี้ย่อมเป็นสิ่งฉิบหายด้วยอันตรายต่างๆ มีหนาวร้อนเป็นต้น เมื่อโยคาวจรมาพิจารณารู้แจ้งซึ่ง
นามและรูปฉะนี้แล้ว พึงพิจารณา
ธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นแจ้งด้วยปัญญาโดยสังเขปหรือพิสดารก็ได้ ตามแต่ปัญญาของโยคาวจรจะพึงหยั่งรู้หยั่งเห็น ครั้น
พิจารณาธาตุแจ่มแจ้งแล้ว พึงพิจารณา
อาการ 32 ในร่างกาย มีเกสา โลมา เป็นต้น จนถึงมัตถลุงคังเป็นที่สุด ให้เห็นชัด
ด้วยปัญญา โดย
วณโณ สี คนโธ กลิ่น รโส รส โอช ความซึมซาบ สณฐาโน สัณฐาน สั้นยาวใหญ่น้อย แล้วพึงประมวลรูปธรรมทั้งปวงมาพิจารณาในทีเดียวกันว่า
รูปธรรมทั้งปวงล้วนมีลักษณะฉิบหายเหมือนกัน จะมั่น จะคง จะเที่ยง จะแท้
สักสิ่งหนึ่งก็มิได้มี เมื่อโยคาวจรเจ้าพิจารณาเห็น
กองรูปดังนี้แล้ว
อรูปธรรมทั้ง 2 คือจิต เจตสิก ก็ปรากฏแจ้งแก่พระโยคาวจรด้วย
อำนาจทวาร คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ เพราะว่าจิตและเจตสิกนี้
มีทวารทั้ง 6 เป็นที่อาศัย เมื่อพิจารณาทวารทั้ง 6 แจ้งประจักษ์แล้ว ก็รู้จัก
จิตและเจตสิกอันอาศัยทวารทั้ง 6 นั้นแน่แท้
จิตที่อาศัยทวารทั้ง 6 นั้นจัดเป็นโลกีย์ 81 คือทวิปัญจวิญญาณ 10 มโนธาตุ 3 มโนวิญญาณธาตุ 68 และเจตสิกที่เกิดพร้อมกับโลกียจิต 81
คือผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิต อินทรีย์ มนสิการ ทั้ง 7 นี้เป็นเจตสิกที่สาธารณะทั่วไปในจิตทั้งปวง การกล่าวดังนี้มิได้แปลกกัน
เพราะจิตทั้งปวงนั้น ถ้ามีเจตสิกอันทั่วไปแก่จิตทั้งปวงเกิดพร้อมย่อมมีเพียง 7 ประการเท่านี้เมื่อโยคาวจรบุคคลมา
พิจารณา นามและรูปอันกล่าวโดยสรุปคือ
ขันธ์ 5 แจ้งชัดด้วย
ปัญญาญาณตามความเป็นจริงแล้ว ย่อม
ถอนความเห็นผิด และ
ตัดความสงสัยในธรรมเสียได้ ย่อมรู้จักทางผิดหรือถูกความดำเนินและไม่ควรดำเนิน แจ่มแจ้งแก่ใจ
ย่อมสามารถถอนอาลัยในโลกทั้งสามเสียได้ ไม่ใยดีติดอยู่ในโลกไหนๆ จิตใจของโยคาวจรย่อม
หลุดพ้นจาก
อาสวกิเลส เป็น
สมุจเฉทประหารได้โดยแน่นอนด้วยประการฉะนี้แล
(มีต่อค่ะ)