ผู้เขียน หัวข้อ: พระวังหน้า,ชมรมรักษ์พระวังหน้า และกองทุนหาพระถวายวัด  (อ่าน 101782 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
นอก จากโพสนี้ที่แจ้งว่า พระกริ่งปวเรศ รุ่นเนื้อเงินสเตอร์ริง ซิลเวอร์ ที่หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ท่านอธิษฐานจิตเดี่ยวแล้ว ยังมีบางองค์ ที่กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ ท่านอธิษฐานจิตกับหลวงปู่กรมพระยาปวเรศด้วย ซึ่งผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นคนละพระราชพิธีหลวง แต่ในปีเดียวกันคือ ปี พ.ศ.2434 ครับ

.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Natachai อ่านข้อความ

พิธีนี้เป็นพิธีใหญ่ระดับที่เรียกว่า "พระราชพิธีหลวง" มีพระเกจิฯที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นหลายองค์ที่ได้ร่วมอธิฐานจิต ภายหลังจากที่เสร็จพิธีอธิฐานจิต ผู้สร้างเก็บเข้าวังหมด สามัญชนในวัดแทบจะไม่ได้สัมผัส จึงทำให้ไม่ได้มีการบรรทึกไว้ในประวัติศาสตร์ พระกริ่งฯรุ่นนี้แจกจ่ายเฉพาะลูกหลานและคนสนิทของพระองค์ท่าน จึงทำให้รู้จักเฉพาะในวงบรมวงศานุวงศ์ที่ใกล้ชิดเท่านั้น


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sittiporn.s อ่านข้อความ
จารทั้งองค์ ,หมุดทอง ,ใต้ฐานบุทอง ,กริ่งระฆังทอง ตกสำรวจ


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sittiporn.s อ่านข้อความ
พระราชพิธีหลวง"ฉลองสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังราช "หลังจากว่างเว้นอยู่หลายปี


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Natachai อ่านข้อความ

ส่วนผสมของโลหะที่ใช้สร้างพระเครื่อง

คง มีหลายท่านที่ชื่นชอบพระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆ ที่มีส่วนผสมของโลหะหลายชนิดและมีชื่อเรียกเฉพาะเช่น เนื้อสำริดหรือสัมฤทธิ์ เนื้อสัตตโลหะ เนื้อนวโลหะ เป็นต้น
ใน การทำ พระเครื่องและวัตถุมงคลนั้น ในสมัยโบราณได้มีการเล่นแร่แปรธาตุกัน แต่ละสำนักซึ่งส่วนใหญ่สามารถแบ่งหรือแจกแจงมวลสารโลหะที่ใช้ทำพระเครื่อง ได้ดังนี้
เนื้อนวโลหะ ประกอบไปด้วย โลหะ 9 อย่างได้แก่ ทองคำ เงิน ทองแดง จ้าวน้ำเงิน เหล็กละลายตัว ชิน ตะกั่วน้ำนม ปรอท สังกะสี
เนื้อสัตตโลหะประกอบด้วย ทองคำ ทองแดง จ้าวน้ำเงิน เหล็ก ตะกั่ว ปรอท
โลหะ สัมฤทธิ์โบราณ ประกอบไปด้วยธาตุบริสุทธิ์ตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไปโดยมี แร่ทองคำและเงินเป็นหลัก ถ้าไม่มีจะไม่ถือว่าเป็นสัมฤทธิ์ และที่เป็นหลักอีกอย่างคือทองแดง ซึ่งจะใช้มากเพื่อให้ได้ปริมาณ

เนื้อ สำริดหรือสัมฤทธิ์ ประกอบด้วยตระกูลของสัมฤทธิ์ที่ถูกต้องตามสูตรโบราณมีอยู่ 5 ตระกูล คือ สัมฤทธิ์ผล สัมฤทธิ์โชค สัมฤทธิ์ศักดิ์ สัมฤทธิ์คุณ และสัมฤทธิ์เดช รวมเป็นสัมฤทธิ์ 5 ตระกูล อันมีความพิสดารดังต่อไปนี้

1. สัมฤทธิ์ผล คือสัมฤทธิ์แดง หรือตริยโลหะ มีมงคลความหมายถึง พระรัตนตรัยเป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อสาม ผสมด้วยโลหะธาตุ 3 ชนิด คือ ทองแดง เป็นส่วนใหญ่และเจือด้วยเงินกับทองคำ สัมฤทธิ์ตระกูลนี้มีวรรณะแดงคล้ายนาก แต่มีผิวเจือด้วยวรรณะคล้ำๆ คล้ายสีมะขามเปียก โบราณถือว่าเป็นมงคลวัตถุ อำนวยผลนานาประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเมตตามหานิยม พระพุทธรูปสมัยอู่ทองโดยเฉพาะพระพุทธรูปอู่ทองหน้าแก่มักสร้างด้วยเนื้อนี้

2. สัมฤทธิ์โชค คือสัมฤทธิ์เหลือง หรือปัญจโลหะ เป็นโบราณนิยามหมายถึงเบญจขันธ์ (ขันธ์ 5) คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อห้า ได้แก่ ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี เงิน ทองคำ มีวรรณะเหลืองคล้ายเนื้อกลองมโหระทึก หรือขันลงหิน มีแววนกยูงภายในเนื้อ เป็นสัมฤทธิ์ที่ให้คุณหนักไปทางด้านลาภผล กับความสำเร็จ พระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัยบางยุคและพระเชียงแสน พระชัยวัฒน์ของสมเด็จพระสังฆราชแพ บางรุ่น และพระกริ่งพระชัยวัฒน์ของท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์บางรุ่นก็สร้างด้วยเนื้อนี้

3. สัมฤทธิ์ศักดิ์ คือสัมฤทธิ์ขาว หรือสัตตโลหะ เป็นมงคลนามหมายถึง โพชฌงค์ 7 คือ องค์ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ มี 7 ประการ ได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา สัมฤทธิ์ศักดิ์เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเจ็ด ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท เหล็กละลายตัว เงิน และทองคำ สัมฤทธิ์ตระกูลนี้มีวรรณะหม่นคล้ำน้อยๆ แต่มีแวววรรณะขาวผสมผสานอยู่ นับถือกันว่าอำนวยผลในด้านอำนาจ มหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด

4. สัมฤทธิ์คุณ คือสัมฤทธิ์เขียว หรือนวโลหะ หมายถึงนัยของธรรมอันสูงสุดในพระศาสนา อันได้แก่ นวโลกุตรธรรม อันมี มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 สัมฤทธิ์คุณเป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเก้า เช่นเดียวกับสัมฤทธิ์เดช ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท เหล็กละลายตัว ชิน จ้าวน้ำเงิน เงิน และทองคำ แต่สัมฤทธิ์ตระกูลนี้แก่ส่วนผสมของเนื้อเงินมากกว่าธรรมดา ฉะนั้น เนื้อภายในจึงมีวรรณะสีจำปาอ่อนหรือนากอ่อน แต่ผิวเนื้อเมื่อกลับคล้ำเพราะถูกไอเหงื่อ จะมีวรรณะคล้ำเจือเขียวเตยหม่นแกมเหลืองอ่อนคล้ำมีแววขาวโดยตลอดเนื้อ สัมฤทธิ์ชนิดนี้อำนวยคุณวิเศษเช่นเดียวกับสัมฤทธิ์เดชทุกประการ

5. สัมฤทธิ์เดช คือสัมฤทธิ์ดำ หรือนวโลหะ เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเก้า เช่นเดียวกับสัมฤทธิ์คุณ แต่มีสัดส่วนการผสมได้เกณฑ์ถูกต้องตามมูลสูตรมากที่สุด ดังนั้นภายในจึงมีวรรณะจำปาแก่ หรือสีนากแก่ ผิวเนื้อเมื่อกลับคล้ำเพราะต้องไอเหงื่อ จะดำสนิท ประหนึ่งนิลดำ เรียกกันว่า "สัมฤทธิ์เนื้อกลับ" โบราณถือว่าสัมฤทธิ์นวโลหะทั้ง 2 ประเภทนี้ เป็นสัมฤทธิ์ที่สมบูรณ์ที่สุด หรือเป็นยอดของสัมฤทธิ์ อำนวยผลในด้านมหาอุตม์อันสูงส่ง คืออำนาจตะบะเดชะ มหานิยม ลาภผล ความสำเร็จ คงกระพัน แคล้วคลาด ทุกประการ สูตรผสมเนื้อสัมฤทธิ์เดช หรือนวโลหะ ที่เป็นตำรับของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ยุคกรุงศรีอยุธยา ตกทอดมาอยู่กับ สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ พระพุฒาจารย์มา ครั้งยังเป็นพระมงคลทิพยะมุนี วัดจักรวรรดิฯ และสมเด็จพระสังฆราช แพ วัดสุทัศน์ ครั้งยังเป็นพระเทพโมลีตามลำดับ เกณฑ์อัตราส่วนผสมของโลหะทั้ง 9 ชนิด มีดังนี้

1) ชิน หนัก 1 บาท
2) จ้าวน้ำเงิน หนัก 2 บาท
3) เหล็กละลายตัว หนัก 3 บาท
4) ตะกั่วเถื่อน หนัก 4 บาท
5) ปรอท หนัก 5 บาท
6) สังกะสี หนัก 6 บาท
7) บริสุทธิ์ (ทองแดงเถื่อน) หนัก 7 บาท
8) เงิน หนัก 8 บาท
9) ทองคำ หนัก 9 บาท

เนื้อ ทองสัมฤทธิ์เดชนี้ เราจะเห็นได้ว่า ส่วนผสมใช้ทองคำมากกว่าโลหะอื่นๆ ซึ่งหนักถึง 9 บาท จึงจะได้น้ำหนักของเนื้อสัมฤทธิ์เดชเพียง 45 บาทเท่านั้น ซึ่งก็จะสร้างเป็นองค์พระไม่ได้มากนัก ในปัจจุบันจึงไม่มีใครกล้าทำเนื้อทองสัมฤทธิ์เดช ซึ่งเป็นนวโลหะจริงๆ ตามสูตรโบราณเนื่องจากจะสิ้นเปลืองมาก

การ สร้างพระเครื่องและเหรียญใน ปัจจุบันนี้ได้ทำให้คนเข้าใจผิดกันมาก โดยเรียกโลหะผสมชนิดเนื้ออ่อนๆ ชนิดหนึ่งว่าเป็นเนื้อนวโลหะ และเรียกโลหะผสมชนิดเนื้อกลับว่า เป็นเนื้อสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นการตรงกันข้าม เพราะคำว่านวโลหะ หมายถึงเนื้อทองสัมฤทธิ์เนื้อเก้าตามแบบโบราณเท่านั้น
ครับ เรื่องของ เนื้อทองสัมฤทธิ์ก็มีเท่าที่เล่ามานี้แหละครับ ส่วนเนื้อโลหะอื่นๆ ที่นำมาสร้างพระเครื่องก็ยังมีอีกมาก เช่นเนื้อชิน เนื้อเมฆพัด เนื้อเมฆสิทธิ์ และเนื้ออัลปาก้าเป็นต้น

โดย Dumrong
...............................................................
จาก ข้อมูลของบทความด้านบนนำมาศึกษา เมื่อใช้ครีม wenol ขัดผิวเนื้อพระกริ่งปวเรศ (สมเด็จวังบูรพา) พ.ศ.2434 ที่มีสีผิวกลับดำ โดยการสังเกตุความเข้มของสีผิวที่แตกต่างกัน ทำให้ทราบว่าในขณะที่นำโลหะฯทั้งหมดมาใส่เบ้าหลอมโลหะการกระจายตัวของโลหะมี ความแตกต่างกัน เกิดจากคุณสมบัติความถ่วงจำเพาะของโลหะทำให้พบเนื้อของพระกริ่งฯ 2 วรรณะหลักๆ ดังนี้คือ
สัมฤทธิ์คุณ เนื้อภายในจึงมีวรรณะสีจำปาอ่อนหรือนากอ่อน พระส่วนใหญ่ที่พบจะมีเนื้อนี้มากที่สุด
สัมฤทธิ์เดช เนื้อภายในจึงมีวรรณะจำปาแก่ หรือสีนากแก่ มีจำนวนไม่มากนัก(แก่ทองคำ)


---------------------------------------------------------

sithiphong

สำหรับรุ่นพระกริ่งปวเรศ มีมากกว่าที่บอกนะครับ ทั้งพระกริ่งปวเรศเนื้อสเตอร์ริง ซิลเวอร์ หรือ ที่พี่สิทธิพรแจ้งว่า หมุดทอง ,ใต้ฐานบุทอง ,กริ่งระฆังทอง ตกสำรวจ

ยังมี บุทองคำ และ หลายพิมพ์ที่สร้างในเมืองไทยอีกครับ

และการนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง พิธีเดียวกันกับ พระกริ่งปวเรศ เนื้อสเตอร์ริง ซิลเวอร์ เช่นกัน

อยู่กับผม ผมไม่ได้ให้ใครไปเลยครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพิมพ์ละ 1 องค์ครับ

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ที่มา ���������

อยากโชคดี อยากมีโชคลาภ ควรทำอย่างไร?


ถาม - อยากโชคดี อยากมีโชคลาภ จะไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนดี ?


ตอบ - นี่คุณกำลังจะถามผมล่ะซิว่า จะไปขอหวยที่ไหนดี ?
ถ้าผมรู้นะคุณ ผมไปขอเองดีกว่า จะได้รวย ไม่ต้องมานั่งตอบปัญหาอย่างนี้หรอก
บอกคุณได้เลยนะครับว่า ไม่มีที่ไหนหรอกครับ ที่คุณจะไปขอให้รวย ขอให้มีความสุข ขอให้มีความสำเร็จได้
เพราะทุกอย่างที่คุณ "ขอ" น่ะ คุณต้องทำเองครับ

นี่คือกฎแห่งกรรม ตามหลักศาสนาพุทธ เพราะ "กรรม" คือการกระทำ ทำกรรมใดก็ได้กรรมนั้น ไม่ทำ
ก็ไม่ได้ เด็ดขาด!
คุณอาจจะเถียงว่า ไปหาพระ หาหลวงพ่อ หาเจ้าพ่อเจ้าแม่ ไปไหว้พระที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพระพุทธรูปและพระสงฆ์ ท่านเหล่านี้สามารถบันดาลให้คุณมี คุณได้ คุณเป็นตามปรารถนาหลวงพ่อ หลวงปู่ เจ้าพ่อเจ้าพ่อเจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงก็เลยได้หน้าไป

ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงได้มี ได้เป็น ได้ดังใจปรารถนาน่ะ คุณทำเองทั้งนั้น
แต่คุณไม่รู้ตัวเองต่างหาก

สมมติว่าคุณไปขอให้พระ หรืออะไรก็ได้ที่ศักดิ์สิทธิ์ขอให้ถูกหวย คนที่ไปขอน่ะมีกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสนคน ขอรางวัลที่ 1 ทั้งนั้น นาน ๆ หรอกครับ จะมีบอกว่า ขอให้ถูกรางวัลที่ 4 ที่ 5

แล้วรางวัลที่ 1 น่ะ มีกี่รางวัล รางวัลเดียวครับ คนไปขอกันเป็นแสน คุณก็ต้องไปเข้าคิวรออีกแสนงวด ถึงจะได้ ลองคำนวณดูนะครับว่า แสนงวดน่ะมันกี่ชาติ ????

ก็จะมีคนเถียงล่ะว่า ไปไหว้พระ หรือไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา กลับมาถูกหวยเลย แต่ถ้าคุณศึกษาเรื่องกรรมให้ดี คุณจะรู้ว่ามันเป็น "กรรม" ของคุณเองที่คุณจะต้องได้ อย่างเช่น ถึงเวลาแล้ว ไม่ต้องซื้อหวยซื้อล็อตเตอรี่ ไม่ต้องทำอะไร ก็ได้มาเอง

เรื่องนี้เป็นข่าวมาตั้งไม่รู้กี่ร้อยครั้ง อย่างเช่น สามล้อถีบรถรับจ้างอยู่ดี ๆ ร้อยวันพันเดือนไม่เคยซื้อล็อตเตอรี่เลย พอซื้อคู่เดียว รวยเป็นล้าน คนบางคนได้เงินมาอย่างไม่รู้ตัว ได้โชคมาอย่างชนิดไม่คาดฝัน

นั่นเป็นเพราะเมื่ออดีต (เวลาที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะนานแค่ 1 นาที หรือนานเป็นชาติ ๆ) คุณทำมาแล้วตรงนั้น คุณถึงได้ตรงนี้

เพราะศาสนาสอนว่า ไม่มีเหตุก็ไม่มีปัจจัย คือไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ

และไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นเพราะ "บังเอิญ"
ไม่มีอะไร "ได้" มาโดยไม่มีการ "ให้" ก่อน

คุณได้เงิน ได้โชค เพราะคุณเคยให้เงิน ให้โชคมาก่อน (กับใคร กับอะไร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คุณต้องเคยให้มาก่อน)
นี่ก็เป็นเหมือนตรรกวิทยาที่บอกคุณว่า เมื่อคุณ "ได้" ตรงนี้ ปัจจุบันนี้ เพราะคุณเคย "ให้" มาก่อนในอดีต

ถ้าอนาคตคุณอยากได้อย่างนี้ (อย่างปัจจุบันที่คุณได้) คุณก็ต้องให้ตั้งแต่วันนี้ (ซึ่งจะกลายเป็นอดีตในวันข้างหน้า)

เพราะฉะนั้น ในวันนี้คุณต้องเริ่มต้นให้ก่อน แล้วอนาคตคุณก็จะได้เอง
ตรงนี้อ่านดี ๆ อย่างง ค่อย ๆ อ่าน ถ้างง นั่งพักก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่อ่านอย่างช้า ๆ
ผมล่ะชอบใจที่ หลวงพ่อคูณ ท่านตอบคำถามคนที่ถามท่านว่า มากราบหลวงพ่อ มาให้หลวงพ่อเคาะกระบาลแล้วถูกหวย ท่านตอบว่า กูไม่ได้ทำให้มันถูกหวย มันจะถูกของมันอยู่แล้ว โชคของมัน ดวงของมัน พอดีมันมาหากู ถึงมันไม่มาหากู มันก็ถูกก็ได้ของมันอยู่ดี

ผมฟังแล้ว แอบกราบหลวงพ่อในใจนับครั้งไม่ถ้วน

จำไว้นะครับ ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้ร้องขอ ไม่ได้สอนให้บนบานศาลกล่าว ไม่ได้สอนให้เป็นผู้รับอย่างเดียว

แต่ศาสนาพุทธสอนให้เราปฏิบัติ สอนให้กระทำ สอนให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
ลองคิดด้วยเหตุผลนะครับ ถ้าใครก็ตามที่ "ขอ" ได้ ก็จะมีคนขออีกเป็น....


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ NATACHAI

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 14
  • พลังกัลยาณมิตร 7
    • ดูรายละเอียด
    • http://dr-natachai.blogspot.com/
ฉันทะ_มีความพอใจ
วิริยะ_มีความพากเพียรต่อสู้กับอารมณ์ที่เป็นข้าศึก
จิตตะ_สนใจฝักใฝ่ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง คือ พรหมวิหาร 4
วิมังสา_ใชัปัญญาดูว่าอารมณ์ที่ผ่านมาภายนอก เป็นอารมณ์ของความดี หรือว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ดีรับ-ชั่วไม่รับ

ออฟไลน์ ส. เพ็งพล

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 41
  • พลังกัลยาณมิตร 22
  • ชมรมพระวังหน้า
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมพระวังหน้า
ชมรมพระวังหน้า

ออฟไลน์ NATACHAI

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 14
  • พลังกัลยาณมิตร 7
    • ดูรายละเอียด
    • http://dr-natachai.blogspot.com/
 :yoyo039: :yoyo031: :yoyo003:

ขอบคุณครับ พระกริ่งปวเรศ 2434 หากปล่อยทิ้งไว้สัก 10 วันจะเห็นเนื้อภายในมีวรรณะดั่งสีทองคำ และหากปล่อยทิ้งไว้สัก 3 เดือนมองผ่านๆ คนไม่รู้จะมองคล้ายๆวรรณะทองเหลือง

หากพระกระทบกันจะมีเสียงก้องกังวานคล้ายเสียงลูกแก้วกระทบกัน

 :yoyo072:
ฉันทะ_มีความพอใจ
วิริยะ_มีความพากเพียรต่อสู้กับอารมณ์ที่เป็นข้าศึก
จิตตะ_สนใจฝักใฝ่ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง คือ พรหมวิหาร 4
วิมังสา_ใชัปัญญาดูว่าอารมณ์ที่ผ่านมาภายนอก เป็นอารมณ์ของความดี หรือว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ดีรับ-ชั่วไม่รับ

ออฟไลน์ ส. เพ็งพล

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 41
  • พลังกัลยาณมิตร 22
  • ชมรมพระวังหน้า
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมพระวังหน้า
:yoyo039: :yoyo031: :yoyo003:

ขอบคุณครับ พระกริ่งปวเรศ 2434 หากปล่อยทิ้งไว้สัก 10 วันจะเห็นเนื้อภายในมีวรรณะดั่งสีทองคำ และหากปล่อยทิ้งไว้สัก 3 เดือนมองผ่านๆ คนไม่รู้จะมองคล้ายๆวรรณะทองเหลือง

หากพระกระทบกันจะมีเสียงก้องกังวานคล้ายเสียงลูกแก้วกระทบกัน

 :yoyo072:
อ่าใช่ครับ ขอบคุณมากครับ
พูดไปแล้วก็อดเห็นใจพวกที่เรียกว่าเซียน...ไม่ได้
เขาขอดูเพราะสนิทกัน...และบอกว่า "พระใหม่พี่" ผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เขาตามหาพระพานิชย์เพื่อปากท้องเขาต่อไป
สำหรับผม ผ่านภายนอกตั้งแต่เห็นงานระดับเทพแล้วนะครับ ยิ่งเอาไปล้างแล้วเห็นผิวไฟแวววาวเป็นรุ้งเลย
ตามข้อมูลที่ท่านเผยแพร่มา ผมว่า...ท่านเป็นพระกริ่ง...ที่ยิ่งกว่าพระกริ่ง...จริงๆ สาธุ สาธุ
ชมรมพระวังหน้า

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
นำมาฝากกันแต่เช้า เดี๋ยววันนี้ งานยังยุ่งมากเหมือนเมื่อวาน
ตอนกลับมาจากอบรม งานเต็มโต๊ะ ต้องพยายามรีบเคลียร์งานออกไปให้ได้มากที่สุดครับ

จตุคามรามเทพ (รุ่นนี้ เป็นรุ่นสมัยรัชกาลที่ 5ครับ)

ขอเชิญทัศนา

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ ส. เพ็งพล

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 41
  • พลังกัลยาณมิตร 22
  • ชมรมพระวังหน้า
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมพระวังหน้า
นำมาฝากกันแต่เช้า เดี๋ยววันนี้ งานยังยุ่งมากเหมือนเมื่อวาน
ตอนกลับมาจากอบรม งานเต็มโต๊ะ ต้องพยายามรีบเคลียร์งานออกไปให้ได้มากที่สุดครับ

จตุคามรามเทพ (รุ่นนี้ เป็นรุ่นสมัยรัชกาลที่ 5ครับ)

ขอเชิญทัศนา


สวยขนาดนี้ ขออนุญาตอัญเชิญมาชมสักองค์นะครับท่านพี่  :08:
ชมรมพระวังหน้า

ออฟไลน์ NATACHAI

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 14
  • พลังกัลยาณมิตร 7
    • ดูรายละเอียด
    • http://dr-natachai.blogspot.com/
 :39:
จตุคามรามเทพ  จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จตุคามรามเทพ หมายถึงเทพรักษาพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราชสององค์ คือ ท้าวขัดตุคาม และ ท้าวรามเทพ ซึ่งเดิมในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เป็นเทพชั้นสูง และมีอยู่ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย แต่เมื่อภูมิภาคแถบอุษาคเนย์นี้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาเข้ามา ท้าวขัดตุคาม และ ท้าวรามเทพ จึงถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุและเปลี่ยนชื่อให้เป็นมงคลเป็น ท้าวจตุคาม และสถิตอยู่บนที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2530 เมื่อมีการตั้งดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ จึงมีการอัญเชิญจตุคามรามเทพไปสถิต ณ ที่นั้นเป็นต้นมา

ความหมายและความเชื่อ

ชาวนครศรีธรรมราชมีคติความเชื่อที่ว่า องค์จตุคาม คือ พระเสื้อเมือง จตุ หมายถึง สี่ คาม (คาม-มะ) เขตคาม หมายถึง อาณาเขตหรือบ้าน เมื่อรวมกันนัยความหมายที่มากกว่าความเป็นทิศทั้ง 4 ของบ้าน หรืออาณาเขต คือทิศทั้งสี่ซึ่งหมายถึงทิศที่มีท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ดูแลอยู่ ความหมายของจตุคามจึงเป็น ตำแหน่งของผู้เป็นใหญ่ทั้งสี่ทิศมีท้าวจตุมหาราช ปกป้องคุ้มครองดูแล พระเสื้อเมืองจึงมีความหมายที่ควรเป็นตำแหน่งๆหนึ่ง เพียงแต่ปราชญ์โบราณของเมืองสมมติขึ้นเป็นท้าวจตุคาม ผู้เป็นใหญ่ใน 4 ทิศ

องค์รามเทพ คำว่า ราม มีรากฐานมาจากพระราม ที่หมายถึงพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ คำว่าเทพ ก็คือเทวดา นัยความหมายคือเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นสมมติเทพเมื่อองค์รามเทพเป็นพระทรง เมือง คำว่าทรงเมืองพ้องกับคำว่า ครองเมือง นั่งเมือง หรือผู้ปกครองบ้านเมืองซึ่งก็คือเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์

เชื่อกันว่าเดิมนั้น องค์จตุคามรามเทพ เป็นกษัตริย์ในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช มีพระนามอย่างเป็นทางการว่า พระเจ้าจันทรภาณุ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 2 ของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช เชื่อว่ามีพระวรกายเป็นสีเข้ม เป็นกษัตริย์นักรบที่แกร่งกล้า เมื่อสถาปนาอาณาจักรศรีวิชัยได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงได้สมัญญานามว่า " ราชันดำแห่งทะเลใต้ " หรือมีอีกราชสมัญญานามนึงว่า " พญาพังพกาฬ " และต่อมาสำเร็จวิชาจตุคามศาสตร์ และทรงบำเพ็ญบุญเพื่อสร้างบารมีอธิษฐานจิตเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อบรรเทาทุกข์แก่มนุษย์ทั้งปวง
ตราประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีรูปพระบรมธาตุอยู่ตรงกลาง

แต่หากเชื่อกันว่าจตุคามรามเทพคืออดีตกษัตริย์ศรีวิชัยแล้ว ดังเช่นพระเจ้าวิษณุราชที่ ปรากฏในหลักจารึกกรุงศรีวิชัย อยู่ในราว พ.ศ. 1318 ผู้สร้างพระบรมธาตุเมืองนครฯ จะดูขัดแย้งกันเพราะ เป็นยุคสมัยที่ห่างจากพระเจ้าจันทราภาณุ ก่อนถึง 400 ปี

พระบรมธาตุปรากฏชัดว่า มีสององค์ คือองค์จตุคามกับท้าวรามเทพ แต่ภายหลังได้รวมเป็นองค์จตุคามรามเทพเพียงองค์เดียว ก็มิได้ผิดจากหลักศาสตร์ของการสร้าง เฉกเช่นการอธิบายในหลักของตรีมูรติ ของศาสนาฮินดูที่เป็นการรวมกันของมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ ดังนั้น จตุคามรามเทพ จึงหมายถึง ดวงพระวิญญาณแห่งอดีตบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าผู้มาสถิตย์เป็นผู้คุ้มครองดูแล บ้านเมืองทั้งสี่ทิศทรงฤทธิ์อำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยบารมีธรรม 10 ประการ แห่งพระโพธิสัตว์ ผู้มีความเมตตาต่อมนุษย์ผู้ทุกนาม เป็นพระเทวราชโพธิสัตว์

จตุคามรามเทพ มีบริวารเป็นทหารกล้า 4 นาย คือ พญาชิงชัย, พญาหลวงเมือง, พญาสุขุม และพญาโหรา เป็นกำลังหลักในการปราบพราหมณ์ที่เคยปกครองเมืองอยู่ก่อน เมื่อได้บ้านเมืองแล้ว ก็ได้สร้างพระบรมธาตุ สถาปนาเมือง 12 นักษัตร หรือกรุงศรีธรรมาโศกราช ฝังรากฐานพระพุทธศาสนาอย่างถาวร จนได้รับเทิดพระเกียรติว่า พญาศรีธรรมาโศกราช หรือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช

ปัจจุบัน จตุคามรามเทพ ได้รับความนับถืออย่างกว้างขวาง โดยเชื่อว่าทรงฤทธานุภาพในทุก ๆ ด้าน ตามจารึกของชาวศรีวิชัยได้บอกว่า " มีอานุภาพดุจดังพระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่ขจัดความมืดมัวในโลก " การขออธิษฐานจากพระองค์นั้นทำได้โดยมีเงื่อนไข 3 ประการ

   1. อธิษฐานขอในสิ่งที่เป็นไปได้ โดยไม่ขัดต่อศีลธรรม
   2. เมื่อได้รับสิ่งที่หวังแล้ว ต้องรักษาสัจจะที่ได้ให้ไว้กับพระองค์
   3. ควรจะสร้างกุศลกรรมถวายแด่องค์จตุคามรามเทพ

แต่ที่สำคัญ อย่าลำพังเพียงอธิษฐาน ต้องสร้างกุศลกรรมให้แก่ตนเองให้ครบทุกด้านด้วย คือ ให้ทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา

ภาพลักษณ์ของจตุคามรามเทพ โดยมากจะปรากฏเป็นองค์เทพบุตรในท่านั่ง มี 4 กร ถืออาวุธต่าง ๆ และนายทหาร 4 นาย นั้น จะปรากฏในรูปของหนุมาน 4 กร ถืออาวุธในท่วงท่าต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เป็นไปตามศิลปะศรีวิชัยที่มักสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนความหมายต่าง ๆ

ประวัติ
ในการจัดสร้างรูปเคารพขององค์จตุคามรามเทพ เมื่อปี พ.ศ. 2530 เป็นครั้งแรกในรูปแบบพระผงสุริยัน-จันทรา ดวงตราพญาราหู มีแวดล้อมด้วยพระราหู 8 ตน ตรงกลางมีรูปของเทวรูปประทับนั่ง 2 เศียร 4 กร ทรงเครื่องอาวุธ และผู้สร้างในสมัยนั้นก็ให้ความหมายไว้ว่าคือรูปจำลองสมมติของพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร เป็นตัวแทนขององค์จตุคามรามเทพกษัตริย์แห่งศรีวิชัย

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2538 ทางโหราศาสตร์เกิดสุริยคราสพาดผ่านประเทศไทย ซึ่งเกิดกระแสตื่นตัวไปทั่วประเทศในเรื่องของพระราหูกินเมือง ประชาชนต่างก็หาวัตถุมงคลหาเครื่องรางของขลังมาแขวนติดตัวเพื่อแก้เคล็ดและ สะเดาะเคราห์ ประกอบกับนิตยสารพระเครื่องกรุงสยาม ได้ลงประวัติการสร้างทำให้มีคนรู้จักบ้าง จึงได้มีการเช่าหากันไปในบางส่วน

ในต้นปี พ.ศ. 2550 จตุคามรามเทพได้รับความนิยมอย่างยิ่ง จนกลายเป็นกระแสในสังคมไทย จากข่าวการพระราชทานเพลิงศพของขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตนายตำรวจมือ ปราบ ผู้ริเริ่มการจัดสร้างจตุคามรามเทพขึ้นเป็นบุคคลแรก ได้มีการสร้างจตุคามรามเทพขึ้นในวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ มีหลายรุ่น พระเกจิหลายองค์ปลุกเสก หลายคนพากันแย่งชิงจนเกิดเป็นเหตุให้ฆาตกรรมกัน ก็มี และผลจากกระแสนี้ส่งผลให้จตุคามรามเทพรุ่นแรกที่ผลิตออกมาในปี พ.ศ. 2530 มีราคาพุ่งไปถึงกว่า 40 ล้านบาท จากเดิมที่มีราคาเพียง 49 บาทเท่านั้น

กระแสความศรัทธาได้พุ่งทะยานขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็น พุทธพาณิชย์ และแฟชั่นบูชาขยายวงกว้างไปทุกชนชั้น จตุคามรามเทพได้ถึงจุดความนิยมสูงสุดกลายเป็นวัตถุบูชาที่ถูกผลิตขึ้นมากมาย ใกล้หนึ่งพันรุ่นที่มีการปลุกเสกแบบรายวัน เกือบทุกวัด เกือบทุกแผงพระ และแม้แต่ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สถาบัน และองค์กรต่าง ๆ นำจตุคามรามเทพมาจัดจำหน่ายเชิงพาณิชย์ทั้งการกุศลและไม่ใช่กุศล

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มีการประเมินมูลค่าเงินหมุนเวียนของจตุคามรามเทพมีมูลค่าสูงถึง 2.2 หมื่นล้านบาท ผลักดันจีดีพีของประเทศโตขึ้น 0.1-0.2 % ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา และทำให้กรมสรรพากรพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากการสร้างและเช่าบูชาจตุคามรามเทพด้วย

คาถาสำหรับบูชาจตุคามรามเทพ
ตั้งสมาธิให้จิตใจสงบจากนั้นท่อง ( นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมามัมพุทธัสสะ) 3 จบ แล้วให้กล่าวตามบทสวดดังต่อไปนี้ "จะตุคามรามะเทวัง โพธิสัตตัง มะหาคุณัง มะหิทธิกัง อะหัง ปูเชมิ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง นะโมพุทธายะ" ข้าพเจ้าขอบูชา ท้าวจตุคามรามเทพโพธิสัตว์ ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ มีฤทธานุภาพไพศาล ขอความสำเร็จและลาภ จงมีแก่ข้าพเจ้า เป็นนิรันดร
อ้างอิงจาก...http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E

.............    * พระวัชรสัตว์นาคปรก  *......................

เป็นพระพุทธรูปนาคปรกทรงเครื่อง ด้านหลังมีตัวนาคแผ่พังพาน เป็นพระวัชรสัตว์ในลัทธิวัชรยานของกัมพูชา คำว่า วัชรสัตว์ เป็นพระนามที่เขมรใช้เรียกพระอาทิพุทธะหรือพระมหาไวโรจนะ พระพุทธเจ้าองค์ที่ 6 ของพุทธศาสนาลัทธิวัชรยาน ซึ่งศิลปเขมรนิยมสร้างออกมาในรูปแบบพระพุทธรูปนาคปรก

................ผู้สร้างออกแบบในสมัย ร.5 ท่านไม่ได้สร้างรูปเหมือนของท้าวจตุคามรามเทพ แต่ที่สร้างเป็น พระวัชรสัตว์นาคปรก  คนไม่รู้เดวก็ได้งงและเข้าใจผิดได้นะจ๊ะ...ผมว่าอะไรคล้ายๆมีเยอะแต่ถามท่านซะหน่อยใช่ท่านป่าว
ฉันทะ_มีความพอใจ
วิริยะ_มีความพากเพียรต่อสู้กับอารมณ์ที่เป็นข้าศึก
จิตตะ_สนใจฝักใฝ่ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง คือ พรหมวิหาร 4
วิมังสา_ใชัปัญญาดูว่าอารมณ์ที่ผ่านมาภายนอก เป็นอารมณ์ของความดี หรือว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ดีรับ-ชั่วไม่รับ

ออฟไลน์ NATACHAI

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 14
  • พลังกัลยาณมิตร 7
    • ดูรายละเอียด
    • http://dr-natachai.blogspot.com/
  :yoyo003:  :yoyo0008:
วันนี้ผมได้โอนเงินทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง 30,000 บาท(สามหมื่นบาท) โดยได้รับความอนุเคราะห์จากคุณหนุ่ม รายละเอียดตามเอกสารการโอนเงิน

" อิทัง ปุญญะ พลัง " ผลบุญใดที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

และข้าพเจ้า  ขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักษ์รักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพญายมราช ขอพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา เทพเจ้าทั้งหลายและพญายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี ที่เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

ผลบุญใดที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า จงมีความคล่องตัวทุกประการจงมีแก่ข้าพเจ้า และความไม่มีจงอย่าเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า ( ทั้งหลาย ) ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด

อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ ( กราบ )

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ ( กราบ )

สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ ( กราบ )

.......โมทนาบุญทุกประการครับ
ฉันทะ_มีความพอใจ
วิริยะ_มีความพากเพียรต่อสู้กับอารมณ์ที่เป็นข้าศึก
จิตตะ_สนใจฝักใฝ่ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง คือ พรหมวิหาร 4
วิมังสา_ใชัปัญญาดูว่าอารมณ์ที่ผ่านมาภายนอก เป็นอารมณ์ของความดี หรือว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ดีรับ-ชั่วไม่รับ