ผู้เขียน หัวข้อ: พระวังหน้า,ชมรมรักษ์พระวังหน้า และกองทุนหาพระถวายวัด  (อ่าน 102042 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ส. เพ็งพล

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 41
  • พลังกัลยาณมิตร 22
  • ชมรมพระวังหน้า
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมพระวังหน้า
  :yoyo003:  :yoyo0008:
วันนี้ผมได้โอนเงินทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง 30,000 บาท(สามหมื่นบาท) โดยได้รับความอนุเคราะห์จากคุณหนุ่ม รายละเอียดตามเอกสารการโอนเงิน

" อิทัง ปุญญะ พลัง " ผลบุญใดที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

และข้าพเจ้า  ขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักษ์รักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพญายมราช ขอพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา เทพเจ้าทั้งหลายและพญายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี ที่เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

ผลบุญใดที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า จงมีความคล่องตัวทุกประการจงมีแก่ข้าพเจ้า และความไม่มีจงอย่าเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า ( ทั้งหลาย ) ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด

อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ ( กราบ )

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ ( กราบ )

สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ ( กราบ )

.......โมทนาบุญทุกประการครับ
โมทนาสาธุครับท่าน :46:
ชมรมพระวังหน้า

ออฟไลน์ ส. เพ็งพล

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 41
  • พลังกัลยาณมิตร 22
  • ชมรมพระวังหน้า
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมพระวังหน้า
:39:
จตุคามรามเทพ  จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จตุคามรามเทพ หมายถึงเทพรักษาพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราชสององค์ คือ ท้าวขัดตุคาม และ ท้าวรามเทพ ซึ่งเดิมในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เป็นเทพชั้นสูง และมีอยู่ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย แต่เมื่อภูมิภาคแถบอุษาคเนย์นี้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาเข้ามา ท้าวขัดตุคาม และ ท้าวรามเทพ จึงถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุและเปลี่ยนชื่อให้เป็นมงคลเป็น ท้าวจตุคาม และสถิตอยู่บนที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2530 เมื่อมีการตั้งดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ จึงมีการอัญเชิญจตุคามรามเทพไปสถิต ณ ที่นั้นเป็นต้นมา

ความหมายและความเชื่อ

ชาวนครศรีธรรมราชมีคติความเชื่อที่ว่า องค์จตุคาม คือ พระเสื้อเมือง จตุ หมายถึง สี่ คาม (คาม-มะ) เขตคาม หมายถึง อาณาเขตหรือบ้าน เมื่อรวมกันนัยความหมายที่มากกว่าความเป็นทิศทั้ง 4 ของบ้าน หรืออาณาเขต คือทิศทั้งสี่ซึ่งหมายถึงทิศที่มีท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ดูแลอยู่ ความหมายของจตุคามจึงเป็น ตำแหน่งของผู้เป็นใหญ่ทั้งสี่ทิศมีท้าวจตุมหาราช ปกป้องคุ้มครองดูแล พระเสื้อเมืองจึงมีความหมายที่ควรเป็นตำแหน่งๆหนึ่ง เพียงแต่ปราชญ์โบราณของเมืองสมมติขึ้นเป็นท้าวจตุคาม ผู้เป็นใหญ่ใน 4 ทิศ

องค์รามเทพ คำว่า ราม มีรากฐานมาจากพระราม ที่หมายถึงพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ คำว่าเทพ ก็คือเทวดา นัยความหมายคือเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นสมมติเทพเมื่อองค์รามเทพเป็นพระทรง เมือง คำว่าทรงเมืองพ้องกับคำว่า ครองเมือง นั่งเมือง หรือผู้ปกครองบ้านเมืองซึ่งก็คือเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์

เชื่อกันว่าเดิมนั้น องค์จตุคามรามเทพ เป็นกษัตริย์ในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช มีพระนามอย่างเป็นทางการว่า พระเจ้าจันทรภาณุ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 2 ของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช เชื่อว่ามีพระวรกายเป็นสีเข้ม เป็นกษัตริย์นักรบที่แกร่งกล้า เมื่อสถาปนาอาณาจักรศรีวิชัยได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงได้สมัญญานามว่า " ราชันดำแห่งทะเลใต้ " หรือมีอีกราชสมัญญานามนึงว่า " พญาพังพกาฬ " และต่อมาสำเร็จวิชาจตุคามศาสตร์ และทรงบำเพ็ญบุญเพื่อสร้างบารมีอธิษฐานจิตเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อบรรเทาทุกข์แก่มนุษย์ทั้งปวง
ตราประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีรูปพระบรมธาตุอยู่ตรงกลาง

แต่หากเชื่อกันว่าจตุคามรามเทพคืออดีตกษัตริย์ศรีวิชัยแล้ว ดังเช่นพระเจ้าวิษณุราชที่ ปรากฏในหลักจารึกกรุงศรีวิชัย อยู่ในราว พ.ศ. 1318 ผู้สร้างพระบรมธาตุเมืองนครฯ จะดูขัดแย้งกันเพราะ เป็นยุคสมัยที่ห่างจากพระเจ้าจันทราภาณุ ก่อนถึง 400 ปี

พระบรมธาตุปรากฏชัดว่า มีสององค์ คือองค์จตุคามกับท้าวรามเทพ แต่ภายหลังได้รวมเป็นองค์จตุคามรามเทพเพียงองค์เดียว ก็มิได้ผิดจากหลักศาสตร์ของการสร้าง เฉกเช่นการอธิบายในหลักของตรีมูรติ ของศาสนาฮินดูที่เป็นการรวมกันของมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ ดังนั้น จตุคามรามเทพ จึงหมายถึง ดวงพระวิญญาณแห่งอดีตบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าผู้มาสถิตย์เป็นผู้คุ้มครองดูแล บ้านเมืองทั้งสี่ทิศทรงฤทธิ์อำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยบารมีธรรม 10 ประการ แห่งพระโพธิสัตว์ ผู้มีความเมตตาต่อมนุษย์ผู้ทุกนาม เป็นพระเทวราชโพธิสัตว์

จตุคามรามเทพ มีบริวารเป็นทหารกล้า 4 นาย คือ พญาชิงชัย, พญาหลวงเมือง, พญาสุขุม และพญาโหรา เป็นกำลังหลักในการปราบพราหมณ์ที่เคยปกครองเมืองอยู่ก่อน เมื่อได้บ้านเมืองแล้ว ก็ได้สร้างพระบรมธาตุ สถาปนาเมือง 12 นักษัตร หรือกรุงศรีธรรมาโศกราช ฝังรากฐานพระพุทธศาสนาอย่างถาวร จนได้รับเทิดพระเกียรติว่า พญาศรีธรรมาโศกราช หรือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช

ปัจจุบัน จตุคามรามเทพ ได้รับความนับถืออย่างกว้างขวาง โดยเชื่อว่าทรงฤทธานุภาพในทุก ๆ ด้าน ตามจารึกของชาวศรีวิชัยได้บอกว่า " มีอานุภาพดุจดังพระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่ขจัดความมืดมัวในโลก " การขออธิษฐานจากพระองค์นั้นทำได้โดยมีเงื่อนไข 3 ประการ

   1. อธิษฐานขอในสิ่งที่เป็นไปได้ โดยไม่ขัดต่อศีลธรรม
   2. เมื่อได้รับสิ่งที่หวังแล้ว ต้องรักษาสัจจะที่ได้ให้ไว้กับพระองค์
   3. ควรจะสร้างกุศลกรรมถวายแด่องค์จตุคามรามเทพ

แต่ที่สำคัญ อย่าลำพังเพียงอธิษฐาน ต้องสร้างกุศลกรรมให้แก่ตนเองให้ครบทุกด้านด้วย คือ ให้ทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา

ภาพลักษณ์ของจตุคามรามเทพ โดยมากจะปรากฏเป็นองค์เทพบุตรในท่านั่ง มี 4 กร ถืออาวุธต่าง ๆ และนายทหาร 4 นาย นั้น จะปรากฏในรูปของหนุมาน 4 กร ถืออาวุธในท่วงท่าต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เป็นไปตามศิลปะศรีวิชัยที่มักสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนความหมายต่าง ๆ

ประวัติ
ในการจัดสร้างรูปเคารพขององค์จตุคามรามเทพ เมื่อปี พ.ศ. 2530 เป็นครั้งแรกในรูปแบบพระผงสุริยัน-จันทรา ดวงตราพญาราหู มีแวดล้อมด้วยพระราหู 8 ตน ตรงกลางมีรูปของเทวรูปประทับนั่ง 2 เศียร 4 กร ทรงเครื่องอาวุธ และผู้สร้างในสมัยนั้นก็ให้ความหมายไว้ว่าคือรูปจำลองสมมติของพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร เป็นตัวแทนขององค์จตุคามรามเทพกษัตริย์แห่งศรีวิชัย

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2538 ทางโหราศาสตร์เกิดสุริยคราสพาดผ่านประเทศไทย ซึ่งเกิดกระแสตื่นตัวไปทั่วประเทศในเรื่องของพระราหูกินเมือง ประชาชนต่างก็หาวัตถุมงคลหาเครื่องรางของขลังมาแขวนติดตัวเพื่อแก้เคล็ดและ สะเดาะเคราห์ ประกอบกับนิตยสารพระเครื่องกรุงสยาม ได้ลงประวัติการสร้างทำให้มีคนรู้จักบ้าง จึงได้มีการเช่าหากันไปในบางส่วน

ในต้นปี พ.ศ. 2550 จตุคามรามเทพได้รับความนิยมอย่างยิ่ง จนกลายเป็นกระแสในสังคมไทย จากข่าวการพระราชทานเพลิงศพของขุนพันธรักษ์ราชเดช อดีตนายตำรวจมือ ปราบ ผู้ริเริ่มการจัดสร้างจตุคามรามเทพขึ้นเป็นบุคคลแรก ได้มีการสร้างจตุคามรามเทพขึ้นในวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ มีหลายรุ่น พระเกจิหลายองค์ปลุกเสก หลายคนพากันแย่งชิงจนเกิดเป็นเหตุให้ฆาตกรรมกัน ก็มี และผลจากกระแสนี้ส่งผลให้จตุคามรามเทพรุ่นแรกที่ผลิตออกมาในปี พ.ศ. 2530 มีราคาพุ่งไปถึงกว่า 40 ล้านบาท จากเดิมที่มีราคาเพียง 49 บาทเท่านั้น

กระแสความศรัทธาได้พุ่งทะยานขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็น พุทธพาณิชย์ และแฟชั่นบูชาขยายวงกว้างไปทุกชนชั้น จตุคามรามเทพได้ถึงจุดความนิยมสูงสุดกลายเป็นวัตถุบูชาที่ถูกผลิตขึ้นมากมาย ใกล้หนึ่งพันรุ่นที่มีการปลุกเสกแบบรายวัน เกือบทุกวัด เกือบทุกแผงพระ และแม้แต่ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สถาบัน และองค์กรต่าง ๆ นำจตุคามรามเทพมาจัดจำหน่ายเชิงพาณิชย์ทั้งการกุศลและไม่ใช่กุศล

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มีการประเมินมูลค่าเงินหมุนเวียนของจตุคามรามเทพมีมูลค่าสูงถึง 2.2 หมื่นล้านบาท ผลักดันจีดีพีของประเทศโตขึ้น 0.1-0.2 % ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา และทำให้กรมสรรพากรพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากการสร้างและเช่าบูชาจตุคามรามเทพด้วย

คาถาสำหรับบูชาจตุคามรามเทพ
ตั้งสมาธิให้จิตใจสงบจากนั้นท่อง ( นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมามัมพุทธัสสะ) 3 จบ แล้วให้กล่าวตามบทสวดดังต่อไปนี้ "จะตุคามรามะเทวัง โพธิสัตตัง มะหาคุณัง มะหิทธิกัง อะหัง ปูเชมิ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง นะโมพุทธายะ" ข้าพเจ้าขอบูชา ท้าวจตุคามรามเทพโพธิสัตว์ ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ มีฤทธานุภาพไพศาล ขอความสำเร็จและลาภ จงมีแก่ข้าพเจ้า เป็นนิรันดร
อ้างอิงจาก...http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E

.............    * พระวัชรสัตว์นาคปรก  *......................

เป็นพระพุทธรูปนาคปรกทรงเครื่อง ด้านหลังมีตัวนาคแผ่พังพาน เป็นพระวัชรสัตว์ในลัทธิวัชรยานของกัมพูชา คำว่า วัชรสัตว์ เป็นพระนามที่เขมรใช้เรียกพระอาทิพุทธะหรือพระมหาไวโรจนะ พระพุทธเจ้าองค์ที่ 6 ของพุทธศาสนาลัทธิวัชรยาน ซึ่งศิลปเขมรนิยมสร้างออกมาในรูปแบบพระพุทธรูปนาคปรก

................ผู้สร้างออกแบบในสมัย ร.5 ท่านไม่ได้สร้างรูปเหมือนของท้าวจตุคามรามเทพ แต่ที่สร้างเป็น พระวัชรสัตว์นาคปรก  คนไม่รู้เดวก็ได้งงและเข้าใจผิดได้นะจ๊ะ...ผมว่าอะไรคล้ายๆมีเยอะแต่ถามท่านซะหน่อยใช่ท่านป่าว
นับถือครับ ...ข้อความสำคัญๆสุดท้ายนะ ... สุดยอด!
เรียนท่าน NATACHAI
งั้นที่ถูกต้อง เราควรอาราธนาบูชา หรือกล่าวพระนามท่านว่าอย่างไรครับผม
พระวัชรสัตว์นาคปรกหรือพระอาทิพุทธะหรือพระมหาไวโรจนะ
หรือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 6 นั้น ใช่พระองค์เดียวกับพระมังคละพุทธเจ้าหรือไม่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 23, 2010, 03:49:46 pm โดย ส. เพ็งพล »
ชมรมพระวังหน้า

ออฟไลน์ NATACHAI

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 14
  • พลังกัลยาณมิตร 7
    • ดูรายละเอียด
    • http://dr-natachai.blogspot.com/

เรียนท่าน NATACHAI
งั้นที่ถูกต้อง เราควรอาราธนาบูชา หรือกล่าวพระนามท่านว่าอย่างไรครับผม
พระวัชรสัตว์นาคปรกหรือพระอาทิพุทธะหรือพระมหาไวโรจนะ
หรือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 6 นั้น ใช่พระองค์เดียวกับพระมังคละพุทธเจ้าหรือไม่
[/quote]

พระฯ ท่านบอกว่า...ไม่ใช่ครับ
ฉันทะ_มีความพอใจ
วิริยะ_มีความพากเพียรต่อสู้กับอารมณ์ที่เป็นข้าศึก
จิตตะ_สนใจฝักใฝ่ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง คือ พรหมวิหาร 4
วิมังสา_ใชัปัญญาดูว่าอารมณ์ที่ผ่านมาภายนอก เป็นอารมณ์ของความดี หรือว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ดีรับ-ชั่วไม่รับ

ออฟไลน์ ส. เพ็งพล

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 41
  • พลังกัลยาณมิตร 22
  • ชมรมพระวังหน้า
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมพระวังหน้า

เรียนท่าน NATACHAI
งั้นที่ถูกต้อง เราควรอาราธนาบูชา หรือกล่าวพระนามท่านว่าอย่างไรครับผม
พระวัชรสัตว์นาคปรกหรือพระอาทิพุทธะหรือพระมหาไวโรจนะ
หรือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 6 นั้น ใช่พระองค์เดียวกับพระมังคละพุทธเจ้าหรือไม่

พระฯ ท่านบอกว่า...ไม่ใช่ครับ
[/quote]
ขอบคุณมากครับ
เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หากท่านเปิดเผยความจริงมากเกินไปจะมีทั้ง+และ-กับคนทั่วๆไป
แต่สำหรับผม ยินดีรับฟังและจะสืบค้นให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นครับ  :46:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2010, 08:45:10 am โดย ส. เพ็งพล »
ชมรมพระวังหน้า

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
สวัสดีเช้าวันศุกร์แห่งชาติเช่นกันครับ

สำหรับงานใหญ่ปลายปีนี้ ผมจะเริ่มเตรียมงานไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไว้ผมจัดเตรียมรายละเอียด แล้วจะแจ้งให้ทราบกันอีกครั้ง

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ somlatri อ่านข้อความ
เรียน คุณ Nongnoo ครับ
ผมกราบขอความรู้ด้วยครับว่า พระพิมพ์สมเด็จหลังลายดอกพิกุลนั้น ท่านใดสร้าง และท่านใดเป็นผู้เสกครับ คือว่าผมได้รับความเมตตาจากพี่สิทธิพรมา 1 องค์ และได้มีวาสนาอารธนาบูชามาได้เพิ่มอีกครับ ขอบพระคุณในวิทยาทานล่วงหน้าครับ
คงภัค
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ somlatri อ่านข้อความ
น้อง ผู้หญิงในรูป เป็นลูกสาวผมเองครับ ตอนนี้เรียนอยู่ปี2 มศว ครับ เธอได้รับความเมตตาจากปู่ประถมให้พระพิมพ์เมตตาสามโลก และพระพิมพ์นางพญากรุใต้ฐานชุกชีครับ ตอนนี้ลูกสาวผมได้บูชาพระพิมพ์เมตตาสามโลกติดตัวอยู่ครับ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo อ่านข้อความ
My pleasure krub but for this question I would like khun sithiphong will answer better than me .I just tell that very good krub .(sorry I use iPhone answer)
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: อ่านข้อความ
มาปูเสื่อรอฟังด้วยคนครับ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: อ่านข้อความ
ชื่อพิมพ์มีความไพเราะเสนาะหูมากครับ ทำยังไงถึงจะได้มามั่งนะ...หุ...หุ..
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: อ่านข้อความ
ช่วยแปลให้ครับ..

ด้วยความยินดีครับ แต่คุณสิทธิพงศ์สามารถตอบคำถามนี้ได้ดีกว่าผม ซึ่งในเบื้องต้นผมสามารถกล่าวได้ว่าดีมากครับ (ขอโทษด้วยครับที่ผมเขียนตอบด้วยภาษาอังกฤษ)

-----------------------------------------------------------

sithiphong

ประเด็นที่ผมไม่ได้ตอบ หลังจากสอบถามผม มาทาง Email แล้ว

1.ในพระวังหน้า วังหลวง หลวงปู่เทพโลกอุดร พญาเหล็ก และอื่นๆ ยังไม่ถูกต้อง ซึ่งการที่ขึ้นความรู้ต่างๆ ต้องพิจารณาให้ถูกต้อง

โดยส่วนตัวผม องค์ความรู้ที่ได้มานั้น ต้องมาจาก จากท่านอาจารย์ประถม และครูบาอาจารย์ผมทั้งฆารวาสและพระภิกษุ ซึ่งผมเชื่อว่า ยังไม่มีคณะไหน ที่มีองค์ความรู้ที่รู้จริงได้ขนาดนี้


2.ในพระวังหน้า วังหลวง หลวงปู่เทพโลกอุดร พญาเหล็ก และอื่นๆ มีผู้ที่คัดลอกในเรื่องขององค์ความรู้ ท่านอาจารย์ประถม โดยไม่แจ้งว่า ข้อมูลอ้างอิง ได้มาจากไหน แล้วนำไปเพิ่มเติม ซึ่งความรู้ที่เพิ่มเติมก็ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้อง มั่วมา นั่นก็คือ สันยาสี ในเรื่องนี้ ผมเคยนำมาลงในกระทู้พระวังหน้าฯนี้แล้ว


3.ในพระวังหน้า วังหลวง หลวงปู่เทพโลกอุดร พญาเหล็ก และอื่นๆ มีเรื่องของ zeedflower หรือ โอม วังหลวง ซึ่งผมได้คัดออกจาก PaLungJit.com > กลุ่มชมรม > พระเครื่อง-วัตถุมงคล > พระวังหน้า

และในบล็อค รวมสุดยอดสมเด็จวัดพระแก้ว ที่ไปโฆษณา ตาม Profile ของสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และคณะพระวังหน้า ว่า มาชมได้นะครับฟรีตลอดงาน ไม่เสียตังค์ แล้วก็สบายใจไม่มีใครบังคับ ลิงค์นี้เลย >>ทั้งสมเด็จวังหน้าและวัดพระแก้วความรู้เพียบเชิญจ่ะ >>>>>>> รวมสุดยอดสมเด็จวัดพระแก้ว และด้านหน้า บอกว่า เป็นสมเด็จที่งดงามไม่แพ้วัดไหนๆ อยู่ที่การเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่บุญวาสนา..เวปนี้เป็นของเพื่อนๆบนโลกใบนี้ ทุกคน แต่ในความเป็นจริง พระวังหน้า ขึ้นอยู่กับ " วาสนา และ บารมี " ครับ

และ ในบล็อค รวมสุดยอดสมเด็จวัดพระแก้ว มีทั้งของจริง และ ของเก๊

แถมผมยังไม่เห็นว่า รุ่นไหน หรือ พิมพ์ไหน ในบล็อค รวมสุดยอดสมเด็จวัดพระแก้ว จะเป็นรุ่นที่สุดยอด เห็นแต่รุ่นที่ธรรมดา เท่านั้น

หวังว่า คงเข้าใจที่ผมไม่ได้ตอบไป เนื่องจาก เดี๋ยวจะมีผู้ไม่ประสงค์ดี นำข้อมูลผม(ที่ผมได้จากครูบาอาจารย์) นำไปยำกับข้อมูลเก๊ อีก ครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2033.html
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ somlatri อ่านข้อความ
ขอบพระคุณครับ.................................
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ somlatri
เรียน คุณ Nongnoo ครับ
ผมกราบขอความรู้ด้วยครับว่า พระพิมพ์สมเด็จหลังลายดอกพิกุลนั้น ท่านใดสร้าง และท่านใดเป็นผู้เสกครับ คือว่าผมได้รับความเมตตาจากพี่สิทธิพรมา 1 องค์ และได้มีวาสนาอารธนาบูชามาได้เพิ่มอีกครับ ขอบพระคุณในวิทยาทานล่วงหน้าครับ
คงภัค

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ somlatri
น้องผู้หญิงในรูป เป็นลูกสาวผมเองครับ ตอนนี้เรียนอยู่ปี2 มศว ครับ เธอได้รับความเมตตาจากปู่ประถมให้พระพิมพ์เมตตาสามโลก และพระพิมพ์นางพญากรุใต้ฐานชุกชีครับ ตอนนี้ลูกสาวผมได้บูชาพระพิมพ์เมตตาสามโลกติดตัวอยู่ครับ

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo
My pleasure krub but for this question I would like khun sithiphong will answer better than me .I just tell that very good krub .(sorry I use iPhone answer)

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
มาปูเสื่อรอฟังด้วยคนครับ

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
ชื่อพิมพ์มีความไพเราะเสนาะหูมากครับ ทำยังไงถึงจะได้มามั่งนะ...หุ...หุ..

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
ช่วยแปลให้ครับ..

ด้วยความยินดีครับ แต่คุณสิทธิพงศ์สามารถตอบคำถามนี้ได้ดีกว่าผม ซึ่งในเบื้องต้นผมสามารถกล่าวได้ว่าดีมากครับ (ขอโทษด้วยครับที่ผมเขียนตอบด้วยภาษาอังกฤษ)




อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
ประเด็นที่ผมไม่ได้ตอบ หลังจากสอบถามผม มาทาง Email แล้ว

1.ในพระวังหน้า วังหลวง หลวงปู่เทพโลกอุดร พญาเหล็ก และอื่นๆ ยังไม่ถูกต้อง ซึ่งการที่ขึ้นความรู้ต่างๆ ต้องพิจารณาให้ถูกต้อง

โดยส่วนตัวผม องค์ความรู้ที่ได้มานั้น ต้องมาจาก จากท่านอาจารย์ประถม และครูบาอาจารย์ผมทั้งฆารวาสและพระภิกษุ ซึ่งผมเชื่อว่า ยังไม่มีคณะไหน ที่มีองค์ความรู้ที่รู้จริงได้ขนาดนี้


2.ในพระวังหน้า วังหลวง หลวงปู่เทพโลกอุดร พญาเหล็ก และอื่นๆ มีผู้ที่คัดลอกในเรื่องขององค์ความรู้ ท่านอาจารย์ประถม โดยไม่แจ้งว่า ข้อมูลอ้างอิง ได้มาจากไหน แล้วนำไปเพิ่มเติม ซึ่งความรู้ที่เพิ่มเติมก็ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้อง มั่วมา นั่นก็คือ สันยาสี ในเรื่องนี้ ผมเคยนำมาลงในกระทู้พระวังหน้าฯนี้แล้ว


3.ในพระวังหน้า วังหลวง หลวงปู่เทพโลกอุดร พญาเหล็ก และอื่นๆ มีเรื่องของ zeedflower หรือ โอม วังหลวง ซึ่งผมได้คัดออกจาก PaLungJit.com > กลุ่มชมรม > พระเครื่อง-วัตถุมงคล > พระวังหน้า

และในบล็อค รวมสุดยอดสมเด็จวัดพระแก้ว ที่ไปโฆษณา ตาม Profile ของสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และคณะพระวังหน้า ว่า มาชมได้นะครับฟรีตลอดงาน ไม่เสียตังค์ แล้วก็สบายใจไม่มีใครบังคับ ลิงค์นี้เลย >>ทั้งสมเด็จวังหน้าและวัดพระแก้วความรู้เพียบเชิญจ่ะ >>>>>>> รวมสุดยอดสมเด็จวัดพระแก้ว และด้านหน้า บอกว่า เป็นสมเด็จที่งดงามไม่แพ้วัดไหนๆ อยู่ที่การเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่บุญวาสนา..เวปนี้เป็นของเพื่อนๆบนโลกใบนี้ ทุกคน แต่ในความเป็นจริง พระวังหน้า ขึ้นอยู่กับ " วาสนา และ บารมี " ครับ

และ ในบล็อค รวมสุดยอดสมเด็จวัดพระแก้ว มีทั้งของจริง และ ของเก๊

แถมผมยังไม่เห็นว่า รุ่นไหน หรือ พิมพ์ไหน ในบล็อค รวมสุดยอดสมเด็จวัดพระแก้ว จะเป็นรุ่นที่สุดยอด เห็นแต่รุ่นที่ธรรมดา เท่านั้น

หวังว่า คงเข้าใจที่ผมไม่ได้ตอบไป เนื่องจาก เดี๋ยวจะมีผู้ไม่ประสงค์ดี นำข้อมูลผม(ที่ผมได้จากครูบาอาจารย์) นำไปยำกับข้อมูลเก๊ อีก ครับ

--------------------------------------------------------------------

sithiphong
  #40659

ผมเองมีองค์ความรู้ เมื่อเทียบกับครูบาอาจารย์ผม ผมรู้้เพียง 1 - 2% เท่านั้น

แต่

zeedflower หรือ โอม วังหลวง และ สันยาสี มีความรู้เรื่องพระวังหน้า ยังสู้ผมไม่ได้ ยังห่างอีกเยอะครับ

ผมเอง เห็นพระวังหน้า มาไม่น้อยกว่า แสนองค์ครับ


.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2033.html
.


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน )     
sithiphong, somlatri, ชวภณ ศ.+, ปฐม, เอ๋เชียงใหม่

------------

สำหรับ โอม วังหลวง ยังดูแท้ เป็นเก๊ ดูเก๊ เป็นแท้ ครับ


อยากให้คุณอ๊อด ระวังเรื่องข้อมูลไว้ให้มากๆๆๆๆๆๆ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ ส. เพ็งพล

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 41
  • พลังกัลยาณมิตร 22
  • ชมรมพระวังหน้า
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมพระวังหน้า

เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมาผมได้จัดเตรียม
1. พระบรมฯสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามสมณโคดม
2. พระธาตุพระอรหันต์ประกอบด้วย พระธาตุพระสิวลีเถระเจ้า,พระอุบาลีเถระเจ้า
3. พระธาตุคณะเผยแผ่พระพุทธศาสนา มี หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า,หลวงปู่อุตตระเถระเจ้า,หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า,หลวงปู่พระมูนิยะเถระเจ้า(อิเกสาโร),หลวงปู่พระฌานิยะเถระเจ้า,หลวงปู่ภูริยะเถระเจ้า,หลวงปู่แจ้งฌาณเถระเจ้า,หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
4. พระพิมพ์วังหน้าพร้อมประวัติ

เพื่อมอบให้เจ้าหน้าที่ปลัดอำเภอศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย อัญเชิญไปวัดในต่างๆในเขตรับผิดชอบ รวมทั้งสิ้น 36 ชุด

และเมื่อบ่ายวันเสาร์ผมได้มอบอีก 1 ชุดให้คุณลุงผมได้ถวาย รษก.เจ้าอาวาสวัดสันเนินดินแดง ต.วังชะภู อ.ขาณุวลักษบุรี จ.กำแพงเพชร ในวาระฌาปนกิจศพบุตรชาย (น้องชายผม) ที่พึ่งจะได้รับตำแหน่งรองปลัดฯ - น่าเสียดายยิ่ง

โมทนาสาธุบุญร่วมกันครับ


       

   
ชมรมพระวังหน้า

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เรื่องของพระกริ่งปวเรศ
บาตรน้ำมนต์หลวงปู่กรมพระยาปวรศ
และขันสาครหลวงปู่กรมพระยาปวเรศ

สำหรับพระกริ่งปวเรศ เนื้อสเตอร์ริงซิลเวอร์ และ เนื้อทองคำ

ท่านผู้ให้สร้างพระกริ่งปวเรศ เป็นไวยาวัจกร และ กลุ่มศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่กรมพระยาปวเรศ

ปีที่สร้างคือ ปี พ.ศ.2434 สร้างที่ทวีปยุโรป (ประเทศฝรั่งเศษ อาจจะมีประเทศอังกฤษ และ ประเทศอิตาลี ด้วย)

เรื่องของเนื้อ จะประกอบไปด้วยเนื้อเงินสเตอร์ริงเป็นหลักใหญ่ครับ



.



.



.

พระกริ่งปวเรศ เนื้อทองคำ ที่ผมเคยนำไปสแกนมา
องค์นี้แท้ครับ



ทองคำ 65.30 %
เงิน 16.80 %
ทองแดง 17.80 %

น้ำหนัก 28.77 กรัม









สัมฤทธิ์ตอนที่ 1
คอลัมน์ ชมรมพระเครื่อง

โดย แทน ท่าพระจันทร์

สวัสดี ครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน มีท่านผู้อ่านได้ถามมาถึงเรื่องเนื้อโลหะผสมและเนื้อสัมฤทธิ์กันมาก ซึ่งความจริงผมเองเคยได้เขียนถึงโลหะสัมฤทธิ์ตามสูตรโบราณไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่บางท่านยังไม่ได้อ่านจึงขอให้เขียนถึงอีกครั้ง จึงได้นำเอาของเก่ามาเล่ากันใหม่ครับ แต่จะไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วทุกตัวอักษรเพราะผมไม่ได้เก็บต้นฉบับไว้ เขียนใหม่กันสดๆ แต่สูตรของโลหะยังคงเดิมตามแบบโบราณทุกประการ โดยขอนำข้อความบางตอนที่ท่านอาจารย์ ตรียัมปวายได้เคยเขียนไว้มาให้อ่านกันครับ

คำว่าสัมฤทธิ์ตาม พจนานุกรม หมายความว่า น. ความสำเร็จ ถ้าหมายถึงโลหะก็จะหมายถึงโลหะเจือชนิดหนึ่งประกอบด้วยทองแดงกับดีบุก ทองสัมฤทธิ์หรือสัมฤทธิ์ ก็เรียก เขียนว่าสำริดก็มี

โลหะผสมที่นำ มาสร้างพระพุทธรูปหรือพระรูปหล่อลอยองค์ โดยมากใช้โลหะธาตุทองแดงผสมกับดีบุกและโลหะธาตุอื่นๆ แล้วแต่จะผสมกันไปตามสูตรของใครของมัน และในปัจจุบันเรียกกันว่า "เนื้อสัมฤทธิ์" แต่ถ้าจะพูดถึงโลหะสัมฤทธิ์ตามสูตรโบราณแท้ๆ นั้นเขามีหลักมีเกณฑ์ในการผสมโลหะ และเพื่อให้เป็นสิริมงคล จึงได้ใช้คำเรียกโลหะผสมชนิดนี้ว่า "สัมฤทธิ์" ซึ่งหมายถึงการสัมฤทธิ์ผล หรือสัมฤทธิ์ประโยชน์ตามความปรารถนา ทั้งนี้หมายความถึง ความสำเร็จนับแต่เริ่มต้นในการผสมโลหะตามสูตร การลงอักขระเลขยันต์ให้สำเร็จเป็นอิทธิวัตถุ บังเกิดเป็นมงคลและความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และในประการสุดท้ายเมื่อนำอิทธิวัตถุสำเร็จไปใช้แล้ว ก็ย่อมจะอำนวยให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ปรารถนาได้ อาจสรุปได้ว่า แม้เพียงแต่การผสมโลหะต่างๆ ตามมูลสูตร แผ่เป็นแผ่นลงอักขระเลขยันต์ แล้วหล่อหลอมรวมกัน ก็ถือได้ว่าเป็นของวิเศษสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องรางของขลังได้ทันที ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า โลหะสัมฤทธิ์เป็นมงคลโลหะที่เหมาะสมที่สุดแก่การที่จะนำมาสร้างเป็นองค์พระ ปฏิมา

โลหะสัมฤทธิ์ตามโบราณ ซึ่งใช้โลหะธาตุบริสุทธิ์ต่างๆ ตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไปและอย่างมากที่สุดจะไม่เกิน 9 ชนิด หล่อหลอมผสมกันตามอัตราส่วนสำเร็จขึ้นมาเป็นโลหะชนิดใหม่เรียกว่า "สัมฤทธิ์" อย่างไรก็ดีโลหะสัมฤทธิ์จะต้องใช้โลหะตระกูลสูง 2 ชนิด คือ ทองคำและเงิน เป็นส่วนผสมหลักอยู่ด้วยเสมอ มิฉะนั้นจะไม่ถือว่าเป็นโลหะสัมฤทธิ์ นอกจากนี้จะต้องมีโลหะยืนโรงอีกชนิดหนึ่ง คือทองแดง ซึ่งจะต้องใช้มากเพื่อให้ได้ปริมาณ

ตระกูลของสัมฤทธิ์ที่ถูกต้องตามสูตรโบราณมีอยู่ 5 ตระกูล คือ สัมฤทธิ์ผล สัมฤทธิ์โชค สัมฤทธิ์ศักดิ์ สัมฤทธิ์คุณ และสัมฤทธิ์เดช รวมเป็นสัมฤทธิ์ 5 ตระกูล อันมีความพิสดารดังต่อไปนี้

1. สัมฤทธิ์ผล คือสัมฤทธิ์แดง หรือ ตริยโลหะ มีมงคลความหมายถึง พระรัตนตรัยเป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อสาม ผสมด้วยโลหะธาตุ 3 ชนิด คือ ทองแดง เป็นส่วนใหญ่และเจือด้วยเงินกับทองคำ สัมฤทธิ์ตระกูลนี้มีวรรณะแดงคล้ายนาก แต่มีผิวเจือด้วยวรรณะคล้ำๆ คล้ายสีมะขามเปียก โบราณถือว่าเป็นมงคลวัตถุ อำนวยผลนานาประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเมตตามหานิยม พระพุทธรูปสมัยอู่ทองโดยเฉพาะพระพุทธรูปอู่ทองหน้าแก่มักสร้างด้วยเนื้อนี้

2. สัมฤทธิ์โชค คือสัมฤทธิ์เหลือง หรือปัญจโลหะ เป็นโบราณนิยามหมายถึงเบญจขันธ์ (ขันธ์ 5) คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อห้า ได้แก่ ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี เงิน ทองคำ มีวรรณะเหลืองคล้ายเนื้อกลองมโหระทึก หรือขันลงหิน มีแววนกยูงภายในเนื้อ เป็นสัมฤทธิ์ที่ให้คุณหนักไปทางด้านลาภผล กับความสำเร็จ พระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัยบางยุคและพระเชียงแสน พระชัยวัฒน์ของสมเด็จพระสังฆราชแพ บางรุ่น และพระกริ่งพระชัยวัฒน์ของท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์บางรุ่นก็สร้างด้วยเนื้อนี้

วันนี้หมดหน้ากระดาษพอดี พรุ่งนี้ผมจะเล่าต่อเรื่องเนื้อสัมฤทธิ์ศักดิ์ สัมฤทธิ์คุณและสัมฤทธิ์เดชจนจบครับ

ด้วยความจริงใจ

แทน ท่าพระจันทร์


จากนสพ ข่าวสด




สัมฤทธิ์ตอนที่ 2
คอลัมน์ ชมรมพระเครื่อง
แทน ท่าพระจันทร์

สวัสดี ครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน วันนี้เราก็มาคุยเรื่องของโลหะเนื้อสัมฤทธิ์กันต่อ เมื่อวันก่อนก็ได้คุยกันถึงสัมฤทธิ์ผล และสัมฤทธิ์โชคกันไปแล้ว สัมฤทธิ์ที่เหลืออีก 3 เนื้อก็คือสัมฤทธิ์ศักดิ์ สัมฤทธิ์คุณ และสัมฤทธิ์เดช มาว่ากันต่อเลยนะครับ

3. สัมฤทธิ์ศักดิ์ คือสัมฤทธิ์ขาว หรือสัตตโลหะ เป็นมงคลนามหมายถึง โพชฌงค์ 7 คือ องค์ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ มี 7 ประการ ได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา สัมฤทธิ์ศักดิ์เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเจ็ด ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท เหล็กละลายตัว เงิน และทองคำ สัมฤทธิ์ตระกูลนี้มีวรรณะหม่นคล้ำน้อยๆ แต่มีแวววรรณะขาวผสมผสานอยู่ นับถือกันว่าอำนวยผลในด้านอำนาจ มหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด

4. สัมฤทธิ์คุณ คือสัมฤทธิ์เขียว หรือนวโลหะ หมายถึงนัยของธรรมอันสูงสุดในพระศาสนา อันได้แก่ นวโลกุตรธรรม อันมี มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 สัมฤทธิ์คุณเป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเก้า เช่นเดียวกับสัมฤทธิ์เดช ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท เหล็กละลายตัว ชิน จ้าวน้ำเงิน เงิน และทองคำ แต่สัมฤทธิ์ตระกูลนี้แก่ส่วนผสมของเนื้อเงินมากกว่าธรรมดา ฉะนั้น เนื้อภายในจึงมีวรรณะสีจำปาอ่อนหรือนากอ่อน แต่ผิวเนื้อเมื่อกลับคล้ำเพราะถูกไอเหงื่อ จะมีวรรณะคล้ำเจือเขียวเตยหม่นแกมเหลืองอ่อนคล้ำมีแววขาวโดยตลอดเนื้อ สัมฤทธิ์ชนิดนี้อำนวยคุณวิเศษเช่นเดียวกับสัมฤทธิ์เดชทุกประการ

5. สัมฤทธิ์เดช คือสัมฤทธิ์ดำ หรือนวโลหะ เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเก้า เช่นเดียวกับสัมฤทธิ์คุณ แต่มีสัดส่วนการผสมได้เกณฑ์ถูกต้องตามมูลสูตรมากที่สุด ดังนั้นภายในจึงมีวรรณะจำปาแก่ หรือสีนากแก่ ผิวเนื้อเมื่อกลับคล้ำเพราะต้องไอเหงื่อ จะดำสนิท ประหนึ่งนิลดำ เรียกกันว่า "สัมฤทธิ์เนื้อกลับ" โบราณถือว่าสัมฤทธิ์นวโลหะทั้ง 2 ประเภทนี้ เป็นสัมฤทธิ์ที่สมบูรณ์ที่สุด หรือเป็นยอดของสัมฤทธิ์ อำนวยผลในด้านมหาอุตม์อันสูงส่ง คืออำนาจตะบะเดชะ มหานิยม ลาภผล ความสำเร็จ คงกระพัน แคล้วคลาด ทุกประการ สูตรผสมเนื้อสัมฤทธิ์เดช หรือนวโลหะ ที่เป็นตำรับของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ยุคกรุงศรีอยุธยา ตกทอดมาอยู่กับ สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ พระพุฒาจารย์มา ครั้งยังเป็นพระมงคลทิพยะมุนี วัดจักรวรรดิฯ และสมเด็จพระสังฆราช แพ วัดสุทัศน์ ครั้งยังเป็นพระเทพโมลีตามลำดับ เกณฑ์อัตราส่วนผสมของโลหะทั้ง 9 ชนิด มีดังนี้

1) ชิน หนัก 1 บาท

2) จ้าวน้ำเงิน หนัก 2 บาท

3) เหล็กละลายตัว หนัก 3 บาท

4) ตะกั่วเถื่อน หนัก 4 บาท

5) ปรอท หนัก 5 บาท

6) สังกะสี หนัก 6 บาท

7) บริสุทธิ์ (ทองแดงเถื่อน) หนัก 7 บาท

8) เงิน หนัก 8 บาท

9) ทองคำ หนัก 9 บาท

เนื้อ ทองสัมฤทธิ์เดชนี้ เราจะเห็นได้ว่า ส่วนผสมใช้ทองคำมากกว่าโลหะอื่นๆ ซึ่งหนักถึง 9 บาท จึงจะได้น้ำหนักของเนื้อสัมฤทธิ์เดชเพียง 45 บาทเท่านั้น ซึ่งก็จะสร้างเป็นองค์พระไม่ได้มากนัก ในปัจจุบันจึงไม่มีใครกล้าทำเนื้อทองสัมฤทธิ์เดช ซึ่งเป็นนวโลหะจริงๆ ตามสูตรโบราณเนื่องจากจะสิ้นเปลืองมาก


การสร้างพระเครื่องและ เหรียญในปัจจุบันนี้ได้ทำให้คนเข้าใจผิดกันมาก โดยเรียกโลหะผสมชนิดเนื้ออ่อนๆ ชนิดหนึ่งว่าเป็นเนื้อนวโลหะ และเรียกโลหะผสมชนิดเนื้อกลับว่า เป็นเนื้อสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นการตรงกันข้าม เพราะคำว่านวโลหะ หมายถึงเนื้อทองสัมฤทธิ์เนื้อเก้าตามแบบโบราณเท่านั้น
ครับ เรื่องของเนื้อทองสัมฤทธิ์ก็มีเท่าที่เล่ามานี้แหละครับ ส่วนเนื้อโลหะอื่นๆ ที่นำมาสร้างพระเครื่องก็ยังมีอีกมาก เช่นเนื้อชิน เนื้อเมฆพัด เนื้อเมฆสิทธิ์ และเนื้ออัลปาก้าเป็นต้น ซึ่งถ้ามีโอกาสก็ค่อยมาเล่าสู่กันฟังใหม่นะครับ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนครับ

ด้วยความจริงใจ



แทน ท่าพระจันทร์


ที่มา นสพ ข่าวสด






.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)