แสงธรรมนำใจ > จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก
ความจริงนำทางไปสู่ความสุขที่แท้จริง
ต๊ะติ้งโหน่ง:
--- อ้างจาก: กวาดลานดิน ที่ ตุลาคม 31, 2011, 10:51:33 pm ---ต้นไม้เล็กๆ จะไหวเอนไปตามกระแสแรงลม แต่มันก็ยังยืนต้นอยู่ได้ ผลิดอก ออกใบ เมื่อถึงกาล
ดังเช่นกระแสใจเรา จริงแล้ว มักเอนไปตามทัศนคติของตนเป็นที่ตั้ง หากขจัดจิตแห่งตน ให้เป็นจิตอิสระ
..เราก็จะเป็นเหมือนต้นไม้เล็กๆที่รอการผลิใบที่สวยงามครับ
กัลยาณมิตรจะสัมผัสกันได้ และเป็นกำลังใจให้เสมอครับ :13:
--- End quote ---
อ่า แล้วเรื่องทรรศนะคติของตน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใช้อ่า
แม้แต่กาลามาสูตร ก็ไม่มีสอนทรรศนะคติ อ่า
แม้เรื่องคติทั้งหก ก็เหมือนกันอ่า นั่นมันเป็นคำสอนของลัทธิอื่น ที่ไม่ใช่พุทธศาสนานะครับ
:42: :42: :42:
จีรานุช:
:13: ขอบคุณสำหรับ กำลังใจ จาก น้องบอล ค่ะ :13:
lek:
สรุป...แว่
1.เจตนาดีทั้งนั้น...
2.ความเข้าใจคนละแบบ
3.ตายกันทุกคน
ต๊ะติ้งโหน่ง:
--- อ้างจาก: lek ที่ พฤศจิกายน 01, 2011, 07:26:56 am ---สรุป...แว่
1.เจตนาดีทั้งนั้น...
2.ความเข้าใจคนละแบบ
3.ตายกันทุกคน
--- End quote ---
สรุปตื้นๆ อย่างนี้ไม่ได้หรอกครับคุณพี่เล็ก ตื้นเขินปัญญาอ่า
เจตนาดี น่ะ เจตนาดี น้องต๊ะก็เจตนาดีอ่าจ๊ะ
แต่ความเข้าใจ ของน้องต๋ะ เข้าใจตามพระพุทธเจ้าสอน
ไม่ใช่เอาความเข้าใจของเดียร์ถีย ที่ขัดต่อพระธรรม ขัดต่อพระไตรปิฎก ขัดต่อพระอภิธรรม
และ ที่ว่าตายกันทุกคน
นั่นมันจริงแค่นิดเดียว อ่า
ตายทุกคน ก็ใช่อ่า
แต่ไม่ใช่เสมอไป ความตายแบบนั้น ความเห็นแบบนั้น มันแต่ตื้นๆๆ
ไม่ใช่สุดสายปลายทางของสัจธรรม
ปัญญาที่เห็น ไม่เกิดไม่ตาย จึงจะไม่ตื้นเขินอ่า
ไม่เกิด ไม่ตายก็มี อ่า
ตายแล้วไม่เวียนว่ายตายเกิด เพราะทำตาม ปฎิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอน
หรือไปเกิด ก็เหลืออีกไม่กี่ชาติ ถ้าได้อริยะเบื้องต้น เป็นต้นไป
กับตายแล้วต้องไปเวียนว่ายอย่างร่อแร่ อย่างอนาถา เพราะทำตามลัทธิเดียร์ถีย์
มันต่างกันลิบลับอ่า
:42: :42: :42:
ต๊ะติ้งโหน่ง:
:25: :25: :25:
น้องต๊ะ จะสอนบทเรียนที่หนึ่ง สำหรับล้างความเป็นเดียรถีย์ให้
ตัวอย่าง เช่นพระสารีบุตร เคยอยู่สำนักเดียรถีย์
ท่านล้างคำสอนเดียรถีย์ ทั้งหมดออกจากใจ ทิ้งไปหมดสิ้นก่อน
ถึงจะเข้าใจพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้
บทเรียนที่หนึ่ง เป็นปฐมบทที่สำคัญที่สุด ของการเรียน มีว่า
ก่อนอื่นตั้ง นะโม ขึ้นสามจบอ่าครับ
นะโม ตัสสะ ภควโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ฯ (3 หน )
ขอนอบน้อม เเด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง ฯ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย ฯ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระธรรมเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย ฯ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระสงฆเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย ฯ
ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สองฯ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระธรรมเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สอง ฯ
ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระสงฆเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สอง ฯ
ตะติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สาม ฯ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระธรรมเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สาม ฯ
ตะติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ฯ ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระธรรมเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สาม ฯ
การสวดไตรสรณคมน์ คือการกล่าวคำยอมรับ นับถือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงค์ หมายเอาสิ่งทั้งสามนี้ เป็นที่พึ่งสูงสุดอ่าครับ
เหตุที่ต้องกล่าวถึง 3 ครั้ง ก็เพราะว่า เพื่อให้เเน่ใจลงไปว่า บุคคลที่กล่าวนั้น ยินดียอมรับสิ่งทั้งสามนี้ด้วยความเต็มใจครับ และเพื่อให้เเน่ใจจึงให้กล่าวถึง 3 ครั้งอ่าครับ
:25: :25: :25:
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version